“ตู้เจวียน คัมภีร์ที่ถวายไว้หน้าพระพุทธรูปจะครบสี่สิบเก้าชั่วยามเมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน ในเมื่อรถม้าจวนไป๋มาถึงแล้ว หากข้าไม่กลับไปเกรงว่าท่านน้าจะกังวล เ้าอยู่ที่นี่ก่อน พอเลยเที่ยงวันแล้วค่อยนำคัมภีร์กลับจวนไป๋”
“เ้าค่ะ คุณหนู” ตู้เจวียนย่อมเต็มใจ เห็นคุณหนูให้ความสำคัญกับคัมภีร์ถึงขนาดนี้ หากนายหญิงทราบท่านต้องปลาบปลื้มอย่างแน่นอน
ชีวิตในจวนของพวกนางไม่ต่างจากก้าวเท้าเดินบนแผ่นน้ำแข็งบาง หากคุณหนูได้รับความเอ็นดูจากนายหญิง ชีวิตของคุณหนูก็จะไม่ลำบากลำบนเช่นนี้อีกต่อไป
ในด้านไป๋เซียงจู๋ รถม้าเคลื่อนตัวอย่างอืดอาด ไม่รู้ว่าเข้าเส้นทางเปลี่ยวร้างั้แ่เมื่อไร คนบังคับรถค่อยๆ ลดความเร็วให้ชายคนหนึ่งขึ้นรถ
ชั่วขณะที่ความเร็วของรถม้าลดลงนั้น ไป๋เซียงจู๋ที่หลับตาพักผ่อนในรถลอบแสยะยิ้ม ปลาติดเบ็ดแล้ว
หากนางฟังเสียงนี้ไม่ผิด คนคนนี้ก็คือลู่ชางหลง หลานชายแท้ๆ ของน้าสะใภ้แสนดีของนาง จวนลู่โหว [1] มั่งคั่งมาก แม้ทั้งชีวิตนี้จะมีแต่ทายาทหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ก็ได้รับสืบทอดตำแหน่งโหวต่อเช่นเดียวกันทั้งหมด พอถึงทายาทรุ่นล่าสุดแล้วไซร้มีลู่ชางหลงเป็หลานชายเพียงคนเดียว คนในจวนจึงรักและตามใจเป็ที่สุด ส่งผลให้ลู่ชางหลงนิสัยเสียชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น
เมื่อพบอาคันตุกะ ไป๋เซียงจู๋ลืมตาขึ้นเล็กน้อย ส่งรอยยิ้มเสียดสีไปให้พร้อมคำถาม “ท่านพี่มาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุอันใด”
ลู่ชางหลงสะดุ้งโหยง นึกไม่ถึงว่าไป๋เซียงจู๋ในรถม้าไม่ได้หลับสนิท ทว่าเมื่อเห็นดวงหน้างามสะท้านแผ่นดินของนาง ก็คิดได้แค่ว่ากระทั่งนางถลึงตาจ้องเขม็งยังพริ้งเพริศ เห็นแล้วน้ำลายสอจนแทบไหลย้อย เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มประจบประแจง “ห่างหายไปนาน ข้าคิดถึงเ้ายิ่งนัก วันนี้บังเอิญได้พบกัน มา ‘รำลึกความหลัง’ กับข้าหน่อยเป็อย่างไร”
เซียงจู๋มีหรือจะไม่เข้าใจความคิดสกปรกของเขา นางย้อนอย่างเ็า “รำลึกความหลังหรือ รำลึกความหลังทำให้ท่านถึงกับต้องควบรถม้ามาด้วยตนเองเชียวหรือ”
ลู่ชางหลงถูกนางมองด้วยแววตาสุกสว่าง ในหัวใจยิ่งคันยุบยิบ ค่อยๆ กระแซะกายเข้าใกล้ “คนพวกนั้นน่ารำคาญเหลือทน ฤกษ์งามยามดีมีทิวทัศน์ประโลมใจเช่นนี้ ย่อมต้องใช้เวลาร่วมกันสองต่อสองสิ ไม่ว่าผู้ใดก็แลดูระคายตาทั้งนั้น น้องรัก เ้ายอมข้าแต่โดยดีเถิด ให้ข้าสู่ขอเ้าเข้าเรือน อยู่ดีกินดี ทำไมต้องกลับจวนไป๋ไปลำบากอีกเล่า”
ไป๋เซียงจู๋หัวเราะเย้ยหยันเบาๆ แล้วกล่าวอย่างเฉยเมย “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะฟ้องให้ท่านน้าทราบหรือ”
ลู่ชางหลงย่อมไม่เกรงกลัวเป็ธรรมดา นอกจากสีหน้าหื่นกระหายจะไม่เสื่อมคลายแล้วยังแสดงออกชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก เขาถลาไปหาร่างอรชรของไป๋เซียงจู๋ “แม่เ้าน่ะทำลายชื่อเสียงของจวนไป๋หมดสิ้นไปตั้งนานแล้ว ทั่วทั้งเมืองเหลียงมีผู้ใดไม่รู้บ้าง คนเขาว่าคานบนไม่ตรงคานล่างย่อมเอียง [2] ในเมื่อแม่ของเ้าทำเื่แปดเปื้อนเยี่ยงนั้นแล้ว ลูกสาวอย่างเ้าจะทำบ้างก็ไม่น่าประหลาดใจ... ถึงเวลาพอเ้ากับข้าลงเอยกัน ต่อให้นายท่านไป๋นั่นรังเกียจข้าเพียงใดก็จะกล่าวโทษว่าเ้านำความอัปยศมาให้วงศ์ตระกูลและยกเ้าให้เป็ภรรยาน้อยข้าอยู่ดี... เ้าวางใจเถิด ส่วนท่านน้าน่ะ... ไม่ถือโทษข้าแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า น้องหญิง ยอมข้าเสียดีกว่า ข้าจะให้เ้าได้ลิ้มรสชาติสิ่งนั้น แค่เ้าได้ลิ้มลองแล้วก็จะลืมไม่ลงเลย...”
“ได้ ท่านเข้ามาสิ” ยิ่งรอยยิ้มของเซียงจู๋เบิกบาน ภายในใจก็ยิ่งเยือกเย็น
นี่คือเหตุผลว่าทำไมลู่ชางหลงถึงบังอาจกระทำเื่แบบนี้ได้ลง ที่แท้ทุกสิ่งถูกจัดแจงพร้อมสรรพแล้ว น้าสะใภ้คนดีของนางวางแผนไว้อย่างรอบคอบจริงๆ ! ชาติก่อนนางเพิ่งรู้แจ้งในตอนท้ายว่าลู่ชางหลงถูกส่งมาโดยอวี๋ซื่อนั่นเอง เนื่องจากอวี๋ซื่อหวั่นเกรงความงามของไป๋เซียงจู๋มานาน แม้จะขังนางให้ทำงานหนักอยู่ในเรือนมาตลอด แต่รูปโฉมของหญิงสาวกลับเป็หนามทิ่มแทงใจเสมอ เพื่ออนาคตของไป๋ชิงโหรวบุตรสาวตน คนเป็แม่ย่อมต้องถอนรากถอนโคนปูทางให้ลูกรัก
และแม้ว่าตระกูลลู่จะมีหลานชายสุรุ่ยสุร่ายน่าผิดหวังอย่างลู่ชางหลงคนนี้ ทว่าครอบครัวของเขาฐานะดี มีเงินเหลือเฟือ ในขณะที่ั้แ่อวี๋ซื่อเริ่มบริหารกิจของจวนเป็ต้นมา เงินส่วนใหญ่ก็ถูกบุตรชายและครอบครัวฝ่ายมารดาสูบไปจนเกลี้ยงแล้ว เพื่ออุดช่องโหว่ขนาดใหญ่นี้ นางจึงโยนโอกาสอันดีให้หลานชายผู้ร่ำรวยของตน เมื่อถึงเวลา นางได้ทั้งขับไล่ไป๋เซียงจู๋ อีกทั้งเรียกสินสอดทองหมั้นเป็กอบเป็กำได้ ศรดอกเดียวเหยี่ยวสองตัวโดยแท้
เมื่อลู่ชางหลงได้รับอนุญาตก็พุ่งเข้ามาทันทีทันใด ทว่ากลับถูกเซียงจู๋ถีบบริเวณเป้ากางเกงอย่างแรง กระเด็นจนอีกนิดเดียวเกือบจะตกจากรถม้า
“โอ๊ย!” ลู่ชางหลงกุมกล่องดวงใจ เจ็บจนหน้าซีด ชี้ไปยังไป๋เซียงจู๋เพื่อจะด่า
แต่ก็เห็นไป๋เซียงจู๋ใช้สายตาเย้ายวนชวนฝันมองเขา ตามด้วยคำกล่าวตำหนิ “จะรีบร้อนขนาดนั้นไปไย ข้ายืนยังไม่มั่นด้วยซ้ำ”
ลู่ชางหลงที่กุมเป้ากางเกงอยู่ถึงกับมุมปากกระตุก ทว่าเมื่อเจอแววตาไร้พิษภัยคู่นั้นของไป๋เซียงจู๋เข้า เขาก็เชื่อว่าไป๋เซียงจู๋ไม่ได้ตั้งใจ ปากก็ยิ้มกลัดมัน ตัณหาฉายชัด “เ้าเคืองที่ข้าใจร้อนเกินไปหรือ เช่นนั้นข้าจะอ่อนโยนแล้วกัน”
ไป๋เซียงจู๋แสร้งหลับตาลงด้วยความเขินอาย ไม่ขัดขืนอีกต่อไป “ที่แท้ท่านพี่ก็ปรารถนามากขนาดนี้...”
เมื่อลู่ชางหลงเห็นนางไม่ดิ้นรน ปากสุนัขก็รีบพุ่งไปขบแทะเซียงจู๋ เซียงจู๋ฉีกยิ้มเย็นเยียบ ความเหี้ยมโหดแล่นผ่านั์ตางาม ระหว่างนิ้วเรียวยาวขาวผ่องของนางเผยประกายแสงสีเงิน
ลู่ชางหลงยลโฉมพิลาศล้ำของไป๋เซียงจู๋ด้วยสีหน้าเมามาย มือเลื้อยล้อมเอวบาง เกือบจะคลายผ้าคาดเอวไป๋เซียงจู๋อยู่รอมร่อ
ไป๋เซียงจู๋แสยะ เข็มเงินในมือมุ่งเป้าแทงไปที่หน้าผากลู่ชางหลงด้วยความว่องไวและแม่นยำ
ลู่ชางหลงกรีดร้องแล้วล้มลงกองบนพื้น กลิ้งขลุกๆ ไปกระแทกผนังห้องโดยสารฝั่งหนึ่งตามแรงกระแทกของรถม้า ทุรนทุรายเหมือนหมูตาย
ไป๋เซียงจู๋พลิกกายออกมาด้านนอกรถ ควบคุมม้าที่กำลังตื่น แล้วบังคับรถม้าเลี้ยวเข้าสู่ทางมืดสลัวอีกเส้นหนึ่ง
เชิงอรรถ
[1]侯 โหว คือ บรรดาศักดิ์ที่แต่งตั้งโดยฮ่องเต้ โดยจะแต่งตั้งให้พระประยูรญาติหรือสามัญชนที่ทำความดีความชอบก็ได้
[2]上梁不正下梁歪 คานบนไม่ตรงคานล่างย่อมเอียง หมายถึง เมื่อผู้าุโกว่าปฏิบัติตนไม่ดี ผู้น้อยก็จะเอาเป็เยี่ยงอย่างไปด้วย เหมือนคานบ้านที่หากวางคานบนไม่ตรง คานล่างจะเอียงตาม