จื่อต้าหลงหันไปมองทางเ้าของเสียงด้วยดวงตาหนักปรือพลางกล่าว
“ช่ายยย! แล้วเ้าอ่ะเป็คราย? เอ๋…? เดี๋ยวก่อนนะ หน้าตาคุ้นๆ ข้าจำจ้าวด้ายยย” จื่อต้าหลงพยายามเลิกตาให้กว้างขึ้นจากนั้นจึงกล่าวว่า “เ้า… คุณชายบัณฑิต ลวี่อะไรสักอย่างใช่หรือไม่? อึ้ก..!!”
สภาพเด็กน้อยในตอนนี้… ทั้งหน้าแดง… ดวงตาปรือครึ่งหลับครึ่งลืม สภาพเมาไม่ไหวแล้ว ทว่ายังคงวางท่าอยู่
“ฮึ! นายน้อยตระกูลจื่อ อายุเพียงสิบสาม ตัวเท่าลูกหมาเยี่ยงเ้าก็หัดดื่มสุราแล้วงั้นรึ?” คุณชายบัณฑิตลวี่เหรินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ห๊าาา!! เ้าว่าครายเป็เด็กน้อยตัวเท่าลูกหมากันวะ!! แน่จริงก็เข้ามาฟัดกันเลยดีกว่า!! ใครจะเหมือนเ้า หน้าตางดงามราวอิสตรี กริยางดงามชดช้อย ขนาดข้ายังคิดว่าจ้าวเป็… อึก…อุ๊บ… อิ..สตรีเลย หรือที่แท้เ้าเป็ผู้หญิงกันแน่วะ คิดจะแย่งชิงตำแหน่งหญิงงามกับหลิวสุ่ยเยว่หรือ? ฮ่าๆๆ ตลกเป็บ้า” จื่อต้าหลงกล่าวจบก็เอามือปิดปาก เพราะตอนนี้สุราที่ดื่มเข้าไปนั้นเริ่มมาจ่อที่คอหอยแล้ว แต่ก็ยังไม่วายพูดจากวนประสาท วอนมือวอนเท้าจากอีกฝ่ายได้ทุกคำ
“เ้า…!! ว่าไงนะ… สตรีงั้นรึ?!”ลวี่เหรินได้ยินดังนั้นถึงกับไหล่สั่น สุ้มเสียงพลันเปลี่ยนเป็เ็าขึ้นไปอีกระดับ
“ทำไม? เ้าหาเื่ข้าก่อนนะ จะเอาก็เข้ามาเด้ เ้าตุ๊ด ฮ่าๆ” จื่อต้าหลงกล่าวพร้อมตั้งท่าสู้จากนั้นจึงกวักมือท้าทายอีกฝ่ายให้เข้ามา
ลวี่เหรินในตอนนี้กัดฟันกำหมัดแน่น เด็กหนุ่มพยายามดึงสติไม่ให้ตัวเองโมโหไปมากกว่านี้
“ฮึ! เห็นแก่ตระกูลจื่อและเ้าที่ยังเป็แค่เด็กน้อย…. เื่ในวันนี้ ข้าจะไม่เอาความ” ลวี่เหรินกล่าวอย่างเ็า เขาเกือบจะหลุดการควบคุมตบบ้องหูจื่อต้าหลงไปแล้ว หลังจากกล่าวจบเด็กหนุ่มจึงรีบเดินจากไปเพราะไม่อยากฟังอะไรจากปากสุนัขของจื่อต้าหลงอีก
“อ้าว? เฮ้ จะไปแล้วรึจ้าววครึ่งหญิงครึ่งชาย โธ่เอ้ยยย นึกว่าจาแน่ที่แท้ก็ปอดแหก ฮ่าๆๆ อึ้ก…!!”
หลังจากกล่าววาจากวนบาทาผู้อื่นเสร็จ เด็กน้อยจึงเดินชมบรรยากาศในเมืองไปเรื่อยๆ ในขณะที่สติเลือนลางเดินเซไปเซมาอยู่นั้น เขาพลางตระหนักได้ว่า…. นี่สินะ รสชาติของการร่ำสุราเมรัย ทำไมของดีเช่นนี้ถึงพึ่งได้ลองกันนะ รอบนี้แม้เขาจะดื่มไปหนึ่งป้านเท่าเดิมแต่สติกลับยังแจ่มใสในระดับนึง ไม่มีอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรงอีกแล้ว มีเพียงความรู้สึกสุขสม หัวสมองโล่งโปร่ง ช่างผ่อนคลายเป็อย่างยิ่ง!
ขณะเดินเล่นทอดน่องอยู่ภายในเมืองนั้น เด็กน้อยมองดูทั้งถนนหนทาง ทั้งผู้คนมากหน้าหลายตา บรรยากาศโดยรวมถือว่าดีมาก เขาเดินไปแบบไร้จุดหมาย เดินไปเรื่อยๆจนสร่างเมา รู้สึกตัวอีกทีก็มาถึงสำนักปลาทองเสียแล้ว หลังจากมาถึงสำนักเด็กน้อยก็กลับไปยังที่พักของตน จากนั้นก็ทิ้งตัวลงที่นอนแล้วหลับไป
หลังจากตื่นขึ้นมาจื่อต้าหลงรู้สึกวิงเวียนศรีษะเล็กน้อย เขาจึงโคจรลมปราณทั่วร่างไปสองรอบ ผ่านไปชั่วครู่จึงรู้สึกดีขึ้น วันนี้ เขานัดกับเฉิงไฉเซียวว่าจะไปฝึกประลองยุทธกันในยามบ่าย เมื่อถึงเวลา เด็กน้อยก็ไปยังที่พักของเฉิงไฉเซียว และพบว่าอีกฝ่ายกำลังฝึกวิชาหมัดคลุ้มคลั่งอยู่พอดี
“เ้ามาตรงเวลาดีนะ” เฉิงไฉเซียวกล่าวหลังจากที่เห็นจื่อต้าหลงเดินเข้ามา
“แน่นอน ข้าอยากท่องไปทั่วหล้า ก็เลยต้องฝึกวิชาไว้ป้องกันตัวกันบ้าง เราเริ่มกันเลยดีไหม?” จื่อต้าหลงตอบพร้อมกับถามขึ้น
“ได้สิ หากเ้าพร้อมแล้วเข้ามาจู่โจมข้าได้เลย” เฉิงไฉเซียวกล่าว
ปกติจื่อต้าหลงไม่ใช่แนวรุก เขาชอบเป็ฝ่ายตั้งรับมากกว่า เฉิงไฉเซียวบอกว่าในการฝึกห้ามใช้พลังลมปราณเด็ดขาด อีกทั้งยังห้ามใช้วิชายุทธ ให้เริ่มจากการชกต่อยหมัดเท้าเข่าศอกฝ่ามือธรรมดาก่อน นี่เพื่อเรียนรู้พื้นฐานการต่อสู้ หลังจากชำนาญแล้วจึงค่อยใช้พลังลมปราณ และเคล็ดวิชายุทธต่างๆ
จื่อต้าหลงพยักหน้าตกลงอย่างไม่มีปัญหา เมื่อการฝึกเริ่มขึ้น เด็กน้อยพุ่งเข้าไปหมายชิงจังหวะเป็ฝ่ายจู่โจมก่อน เขายิงหมัดซ้ายไปบริเวณใบหน้าของเฉิงไฉเซียว อีกฝ่ายโยกคอหลบนิดหน่อยพร้อมกับสวนกลับมาด้วยหมัดขวา หมัดของเฉิงไฉเซียวพุ่งเข้าลิ้นปี่ของเด็กน้อยเข้าอย่างจัง เพียงแค่กระบวนท่าแรกจื่อต้าหลงก็หงายแล้ว
“อั๊ก!! อ๊ากกก!! จุกว้อยยย!!”
จื่อต้าหลงกรีดร้องในใจ เขาลงไปนอนดิ้นพราดๆตัวงอเป็กุ้งอยู่บนพื้นดินอย่างหมดท่า เพียงแค่หนึ่งกระบวนท่าเด็กน้อยก็พ่ายแพ้เสียแล้ว…. ตัวเขาเมื่อไม่ได้โคจรพลังลมปราณก่อเกิด และวิชาเกราะกายานั้นได้รับความเ็ปไปแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
“พี่ไฉเซียวท่านแข็งแกร่งยิ่งนัก” จื่อต้าหลงเอ่ยพร้อมกับกดมือไว้ที่บริเวณลิ้นปี่
เฉิงไฉเซียวกล่าวว่า “เลิกสำออยได้แล้วข้ารู้ว่าเ้าไม่ได้เจ็บมากมายอะไรขนาดนั้น เวลาลงมือต้องเล็งโจมตีจุดอ่อนของอีกฝ่ายเสมอ ในร่างกายคนเรานั้นมีจุดอ่อนอยู่มากมาย เราต้องคอยระวังไม่ให้ผู้ใดโจมตีจุดอ่อนของเราได้ และต้องหาทางโจมตีจุดอ่อนอีกฝ่ายให้ได้เช่นกัน”
“มาเถอะ มาเริ่มกันใหม่อีกรอบ” เฉิงไฉเซียวกล่าวยิ้มๆเด็กหนุ่มรู้สึกเบิกบานที่ได้อัดคนเล่น
หลังจากฝึกไปได้สักระยะ จื่อต้าหลงก็เริ่มรับมือเฉิงไฉเซียวได้หลายกระบวกท่า ห้ากระบวนท่า สิบกระบวนท่า หลังจากฝึกกันจนถึงยามเย็น ตอนนี้เด็กน้อยสามารถรับมือเฉิงไฉเซียวได้กว่าร้อยกระบวนท่าก่อนจะพ่ายแพ้ไป… เฉิงไฉเซียวรู้สึกทึ่งมากที่จื่อต้าหลงเรียนรู้ได้รวดเร็วขนาดนี้ เด็กหนุ่มเริ่มลำบากขึ้นเรื่อยๆในการประมือกับจื่อต้าหลง เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งวันจากแรกเริ่มที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ บัดนี้แทบไม่หลงเหลือช่องโหว่ใดๆให้ฉกฉวยอย่างง่ายดายอีกแล้ว เขาไม่นึกเลยว่าจื่อต้าหลงจะมีพร์ขนาดนี้ นี่ถ้าเขาตั้งใจฝึกต่อไป… เกรงว่า คงหาคนเทียบฝีมือได้ยากแล้ว
ทั้งคู่ใช้เวลาฝึกฝนเช่นนี้ในทุกๆวัน ่แรก เริ่มจากไร้พลังปราณ ไร้วิชายุทธ หลังจากผ่านไปเกือบเดือนพวกเขาต่างใช้วิชายุทธเข้าห้ำหั่นกันโดยที่ไม่มีฝ่ายใดแพ้หรือชนะ… ประลองกันอยู่นานนับชั่วยาม ปะทะกันไปมากกว่าพันกระบวนท่าก็ยังสรุปผลมิได้ สุดท้ายจึงหยุดมือ ผลคือเสมอกัน
“เหลือเชื่อจริงๆ เ้าใช้เวลาเพียงไม่ถึงเดือนก็สามารถประลองกับข้าอย่างสูสีได้แล้ว” เฉิงไฉเซียวกล่าวเสียงห้าว
ตัวของเฉิงไฉเซียวนั้นผ่านศึกเป็ตายมานับสิบนับร้อยจึงจะมีฝีมือเช่นนี้ได้ ทว่า ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าจื่อต้าหลงคืออัจฉริยะฟ้าประทานของจริง ไม่เสียแรงที่เขาช่วยฝึกฝนให้ แรกเริ่มผิวเผินดูเหมือนเป็การฝึกสอนชี้แนะให้สหายผู้ด้อยประสบการณ์ ทว่า ใน่หลัง จากการชี้แนะกลับกลายเป็การประลองของจริงด้วยพลังฝีมือเต็มที่ ไม่มีผู้ใดออมมือให้อีกฝ่ายเลยแม้แต่นิด ตัวเขาเองก็ถือว่าพัฒนาฝีมือขึ้นไปได้อีกระดับเพราะมีคู่ซ้อมที่เหมาะสม เช่นนี้… จึงเรียกได้ว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้เถอะพี่ไฉเซียว เราไปที่เดิมกันดีกว่า” จื่อต้าหลงกล่าวชักชวนหลังจากที่ฝึกฝนฝีมือกันมาแล้วทั้งวัน
