เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้คนต่างตกตะลึงพร้อมกับจ้องมองไปทางเขา
ทังอวิ๋นฉีที่เดิมทีรอดูเขาขายหน้าก็ขมวดคิ้วขึ้น สีหน้าเหี้ยมอำมหิตจ้องมองเตาหลอมที่อยู่ตรงหน้าเขา แววตานั้นมีไฟปะทุเดือดดาล กำหมัดแน่นจนแดงไปหมด เห็นได้ว่านางใช้แรงมากแค่ไหน
ผู้เฒ่านั้นคิ้วกระตุกเบาๆ พลันเดินมาหาเขา เอ่ยถามเสียงเรียบ “ตรงไหนพังรึ?”
โหยวเสี่ยวโม่จับเตาหลอมพลิกขึ้นมา ด้านล่างนั้นมีรอยแยกออกจากกัน จากเดิมมีเพียงรอยเดียว แต่เพราะ่ที่เขาหลอมทำให้รอยแยกถึงได้กว้างขึ้น
ผู้เฒ่ายักคิ้ว ไม่เอ่ยอะไรจากนั้นให้คนเอาเตาหลอมมาเปลี่ยน เพราะเตาหลอมพังจึงทำให้เสียส่วนผสมชุดแรกไป เขาก็ไม่ได้ให้คนหยิบมาเพิ่มให้แต่อย่างใด
เมื่อรับเตาหลอมจากคนแจกส่วนผสมมาแล้ว โหยวเสี่ยวโม่รีบตรวจสอบต่อหน้าเขาก่อนว่าไม่มีรอยแยกตรงไหนอีก จึงวางใจ เขาไม่อยากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ตอนนี้ส่วนผสมเหลือแค่ชุดเดียว หากยังไม่ผ่านอีก เขาก็จะไม่ผ่านการทดสอบ
ชายหนุ่มก้มหน้า ราวกับไม่เห็นท่าทีเขา เมื่อเดินผ่านผู้เฒ่า ฝีเท้าก็หยุดเองอย่างฝืนไม่ได้ พอเดินถึงจุดประจำที่ ขอบตาแดงก่ำ
โหยวเสี่ยวโม่โล่งอก อันที่จริงเขาก็ไม่อยากเป็คนพิเศษเกินไป
แต่เื่นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา หากว่าเตาหลอมะเิ มีความเป็ไปได้ว่าจะะเิโดนศิษย์อีกสองคนข้างๆ กัน หากพวกเขาเป็ศิษย์ทัพ์เขาคงไม่ใส่ใจ แต่คนด้านข้างคือศิษย์ทัพพิภพ
เขาไม่ใช่เทพ ไม่ได้จิตใจดีปานนั้น
แต่หากเขาทำให้ศิษย์คนนี้ไม่ผ่านการทดสอบ เขารับประกันได้เลยว่ากลับไปคงต้องจมกองน้ำลายตายแน่นอน ศิษย์คนนั้นเองก็คงโบ้ยที่ตัวเองไม่ผ่านเพราะเขา เขาเองไม่อาจรับผลลัพธ์เช่นนี้ได้ ดังนั้นจึงเลือกที่จะหยุด
เพราะเหตุการณ์นี้ เวลานาฬิกาทรายนั้นเหลือไม่ถึงครึ่ง
โหยวเสี่ยวโม่กวาดตามองผ่านเตาหลอมของคนอื่นๆ หลายคนเริ่มขั้นตอนการนวดยาแล้ว
จากนั้นโยนส่วนผสมสุดท้ายลงเตาหลอม โหยวเสี่ยวโม่ตั้งสมาธิอีกครั้ง ดวงตาหลายร้อยคู่ถูกเขาเมินไว้ด้านหลังอีกครั้ง ในสายตาเหลือไว้เพียงหญ้าเซียนในเตาหลอม ครึ่งหนึ่งของเวลาก็เท่ากับสิบห้านาที จากสายตาคนอื่นเวลานี้อาจกระชั้นชิด แต่กับโหยวเสี่ยวโม่แล้วไม่ตื่นเต้นเลย
จากที่ได้คุยกับศิษย์พี่ใหญ่ เขาเรียนรู้ถึงอีกด้านของพลังปราณิญญา
เดิมทีเขานึกว่าพลังปราณิญญาสามารถส่งออกมาจากทางไหนก็ได้ผ่านร่างกาย ตอนนี้พึ่งรู้ว่า ความคิดแบบนี้คือผิด มีเพียงคนที่พึ่งหัดเรียนเท่านั้นที่จะคิดแบบนี้ พลังปราณิญญาที่แท้จริงนั้น ต้องผ่านมือทั้งสิบนิ้ว มีเพียงวิธีนี้ที่จะไม่ฟุ่มเฟือย ทั้งยังไม่ให้คนอื่นได้เห็นถึงพลังที่แท้จริง
เพราะว่านักหลอมโอสถระดับอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ เพียงแค่มองแวบเดียวก็อาจรู้ได้ถึงพลังก้นบึ้งของเขาคนนั้น
ดังนั้นการซ่อนเร้นพลังของตัวเองก็เป็เนื้อหาหนึ่งที่นักหลอมโอสถต้องเรียนรู้
หลังปรับสภาพจิตใจได้แล้ว โหยวเสี่ยวโม่ใช้พลังปราณิญญาหลอมหญ้าเซียนให้เป็ของเหลว ค่อยๆ หลอมร้อนทั้งสามก้อนนั้น ผ่านไปชั่วครู่ สิ่งแปลกปลอมทั้งหลายหล่นลงไปยังที่รองตรงก้นเตา จากนั้นจึงเริ่มหลอมร้อนรอบที่สอง…
ตลอด่เขาสมาธิแน่วแน่มาก คนอื่นต่างดูออกว่าเขากำลังหลอมร้อนอยู่ แต่ไม่อาจเห็นสถานการณ์ภายในเตาได้
ต่อมาศิษย์คนแรกก็หลอมเม็ดยาสำเร็จ ต่อด้วยคนที่สอง คนที่สาม โชคดีคือ หนึ่งในนั้นคือศิษย์ทัพพิภพที่อยู่ข้างโหยวเสี่ยวโม่ ใบหน้ายิ้มระรื่นดีใจ ส่วนด้านศิษย์ทัพพิภพที่เห็นเช่นนั้นก็พากันเฮ สีหน้าตึงเครียดของขงเหวินก็อ่อนโยนขึ้นมาบ้าง
นี่คือศิษย์คนที่สามที่ผ่านการทดสอบ เพราะว่าก่อนหน้านี้ล้มเหลวไปสี่คน
จากความสำเร็จของศิษย์พี่ผู้นี้ ศิษย์อีกคนงถูกกระตุ้น ขณะที่เวลาเหลือเพียงหนึ่งในแปดส่วน จึงต้องใช้ส่วนผสมชุดที่สอง
ตอนนี้เอง เวลาเริ่มคับขัน แท่นหินเก้าอันตอนนี้เหลือเพียงสองคน
หนึ่งในนั้นคือโหยวเสี่ยวโม่ อีกคนนั้นเหนือความคาดหมาย ซึ่งก็คือเจียงหลิว จากทัพ์นั่นเอง เขายืนอยู่ตรงแท่นหินอันที่หนึ่งซึ่งห่างจากโหยวเสี่ยวโม่ไปห้าอัน ทั้งสองอยู่ในขั้นตอนการนวดเม็ดยา เวลากระชั้นชิดเข้ามา แต่ท่าทีทั้งสองนั้นไม่กังวลแต่อย่างใด
ทัพ์และทัพพิภพต่างดูกันอย่างตื่นเต้น
สำหรับทัพ์นั้น เจียงหลิวนับว่าเป็คนที่โดดเด่นที่สุด หากเขาไม่ผ่าน คงทำให้ทัพ์ขายหน้า
แต่กับทัพพิภพนั้น โหยวเสี่ยวโม่เป็ศิษย์สายตรงของผู้นำ ในฐานะศิษย์หลัก หากไม่สามารถผ่านได้ คนที่ขายหน้าก็คือขงเหวินและทัพพิภพ
โจวเผิงรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน แม้กระทั่งตอนที่ประลองกับเหลวจวี้บนเวทีก็ตาม เขายังไม่ตื่นเต้นเพียงนี้เลย เื่ทั้งหมดนี้เป็เพราะคนที่หลอมยาอยู่คือโหยวเสี่ยวโม่ “ศิษย์พี่ใหญ่ ใกล้ถึงเวลาแล้ว ทำไมศิษย์น้องเล็กของท่านยังไม่เสร็จอีก?”
“คนหลอมไม่ใช่เ้าซะหน่อย ตื่นเต้นอะไรกัน” หลิงเซียวจ้องโหยวเสี่ยวโม่หน้านิ่ง
“ข้าก็ตื่นเต้นแทนท่านไง ยังไงก็เป็ศิษย์น้องเล็กของท่าน หากเป็คนอื่นข้าคงไม่สน” โจวเผิงรู้สึกว่าตัวเองตื่นเต้นจนตัวบิดเป็เกลียว แต่ศิษย์พี่ใหญ่กลับไม่มีท่าทีอะไร อารมณ์ประมาณ ‘ฮ่องเต้ไม่ร้อนรนแต่ที่ร้อนรนจะเป็จะตายคือขันที’
พูดถึง โจวเผิงก็ยังไม่รู้จักหลิงเซียวดีพอ
หากโหยวเสี่ยวโม่เห็นหลิงเซียวตอนนี้ ต้องรู้แน่ว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดี
“อ่ะฮ้า ศิษย์น้องเจียงสำเร็จแล้ว!”
เสียงดีใจดังขึ้นจากกลุ่มคน หลิงเซียวได้ยินเสียงเฮดังมาจากฝั่งทัพ์ จึงยักคิ้วทีหนึ่ง
ตอนนี้ เจียงหลิวที่ยืนอยู่บนหน้าแท่นหินก็หลุดยิ้มท่าทางภูมิใจ ในมือถือเม็ดยาที่สมบูรณ์แบบไว้ สีของเม็ดยาเป็สีฟ้าอ่อน แต่ก็เข้มกว่าสีฟ้าอ่อนทั่วไปเล็กน้อย เมื่อเทียบกับของศิษย์คนอื่น ก็ดีกว่ามาก ถึงว่าเขายิ้มไม่หุบทีเดียว
คนของทัพ์ก็ดีใจ ส่วนทัพพิภพเริ่มหน้าถอดสี
มองไปยังฝั่งทัพ์ที่ดีใจออกนอกหน้า ศิษย์ทัพพิภพหน้ามืดมัว จากนั้นทอดสายตาไปทางโหยวเสี่ยวโม่
ขณะนี้เวลาบนนาฬิกาทรายนั้นเหลือเพียงน้อยนิด
หลิงเซียวหน้าตึงเครียดเห็นไหล่โหยวเสี่ยวโม่ที่ผ่อนคลายลง ก็โล่งอกตาม มุมปากค่อยๆ โค้งขึ้น แต่โจวเผิงที่อยู่ข้างๆ ยังคงตื่นเต้นแทบตาย
“หมดเวลา!” ผู้เฒ่าขานเสียงประกาศ
เวลาเดียวกันนั้น ยาเซียนตันเม็ดสีแดงอ่อนเด้งออกมาจากเตาหลอม โหยวเสี่ยวโม่รีบยื่นมือไปรับไว้
คนของทัพพิภพเหมือนได้หัวใจกลับคืนมา น่าใจหายจริงๆ ยังนึกว่าโหยวเสี่ยวโม่จะหลอมไม่ทัน ดีที่เขาทำสำเร็จ
“ให้ตายสิ!” ทังอวิ๋นฉีขบริมฝีปากล่าง สายตาไม่อาจซ่อนความอำมหิต สีหน้าชิงชังมองเม็ดยาสีแดงอ่อนในมือโหยวเสี่ยวโม่ นางอุตส่าห์วางแผนซ้อนสองชั้น กลับล้มเหลวไม่เป็ท่า
คนข้างๆ มองหน้ากันไปมา พูดปลอบใจไม่ออกแม้แต่คำเดียว พวกเขาตอนนี้ทำได้แค่ภาวนาว่ายาของโหยวเสี่ยวโม่จะเป็ยาที่ใช้การไม่ได้
เจียงหลิวเดินไปหน้าโหยวเสี่ยวโม่ ใบหน้าใสซื่อส่งยิ้มกว้างแล้วเอ่ย “ศิษย์พี่โหยว ยินดีด้วยนะ!”
โหยวเสี่ยวโม่กำลังจ้องเม็ดยาอย่างจอจ่อ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ถึงกับเอะใจจนหันมองไป พึ่งเห็นว่าเป็เจียงหลิวที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน ั้แ่การประลองที่สายกลางจบไป พวกเขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย คิดไม่ถึงว่าจะมาอยู่นี่
โหยวเสี่ยวโม่จ้องยาในมือเขา แล้วเอ่ย่ “ศิษย์น้องเจียง ข้าก็ยินดีกับเ้าด้วย ดูเหมือนว่าเ้าจะผ่านการทดสอบด้วยสินะ”
เจียงหลิวแลบลิ้น เอ่ยอย่างดีใจ “ศิษย์พี่โหยวรอพูดคำนี้กับข้าหลังจากตรวจสอบเม็ดยาแล้วดีกว่านะ แบบนั้นข้าจะดีใจกว่า”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่น้ำเสียงดีใจนั้นชัดเจนมากพอแล้ว
เนื่องจากมีแค่พวกเขาที่ยังไม่ได้ตรวจสอบเม็ดยา ดังนั้นทั้งสองจึงไปยังหน้าผู้เฒ่า เจียงหลิวยื่นยาไปให้ก่อน สีฟ้าอ่อนกลิ้งไปมาบนอุ้งมือเขา ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ
ผู้เฒ่านั้นเป็นักหลอมโอสถขั้นหก แม้ความสามารถไม่เท่าพวกขงเหวิน แต่การตรวจสอบเม็ดยาเซียนตันเขาช่ำชองกว่าพวกนั้น ดังนั้นเมื่อเขาตรวจสอบยาเม็ดใดแล้ว ก็ไม่มีใครครหาได้อีก
เห็นเพียงเขาหยิบยาของเจียงหลิวมาดู สายตาหลักแหลมจ้องมองยานั้นเพียงครู่เดียว ใบหน้าเผยความใจดี จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ยาธาตุฟ้าคราม หลอมร้อนสองรอบ เป็ยาชั้นล่างคุณภาพระดับกลาง ข้าขอประกาศว่า เจียงหลิวศิษย์ทัพ์ผ่านการทดสอบ”
เมื่อกล่าวจบ คนของทัพ์ก็เฮลั่นขึ้นมา
การจำกัดส่วนผสม เม็ดยาที่หลอมออกมาจึงเป็ยาชั้นล่าง แต่ถึงแม้เป็ยาชั้นล่าง แต่เพราะจำนวนการหลอมร้อนต่างกัน ก็ส่งผลให้คุณภาพที่ได้นั้นต่างกัน ดังนั้นการหลอมร้อนหนึ่งรอบคือคุณภาพระดับล่าง สองรอบคือระดับกลาง และสามรอบคือระดับสูง
ทว่าศิษย์คนอื่นจะหลอมแค่รอบเดียว ดังนั้นสำหรับเจียงหลิวที่หลอมร้อนสองรอบและสำเร็จในคราวเดียว ถือได้ว่าเป็ผลลัพธ์ที่น่าชื่นชม
เจียงหลิวเ้าตัวเองก็ปลื้มปริ่มอย่างมาก แววตาเผยให้เห็นถึงความโอ้อวดเล็กๆ จนนึกได้ว่าโหยวเสี่ยวโม่ยังอยู่ข้างๆ จึงรีบเก็บแววตาโอ้อวด แล้วหันมายิ้มกับเขา “ศิษย์พี่โหยว ถึงตาท่านแล้ว”
