ท่าทางสูงส่งเช่นนี้ มิน่าเล่าว่านฟางจึงเก็บอนุผู้นี้เอาไว้ในเรือน
มู่หรงฉือพูดสบายๆ “สามีของเ้าเป็ขุนนางมิใช่หรือ? ไปบอกกับสามีของเ้าก็พอ”
ครั้นลวี่หลิวได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็สงบนิ่งลงไปได้ ถึงแม้จะเดาไม่ถูกว่าสามคนนี้มีที่มาอย่างไร แต่ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกเขาจะต้องไม่ใช่โจรที่มาปล้นแน่นอน สามีของนางเป็ขุนนางใหญ่ของกองทัพ นางคิดได้ว่าสามคนนี้คงจะมาหาสามีของนาง นางจึงนิ่งสงบขึ้นมา เชิดหน้ายืดอกพูด “ในเมื่อพวกเ้ารู้ว่าสามีของข้าเป็ขุนนาง ก็คงจะรู้ว่าสกุลว่านของพวกเรานั้นมีเื่ได้ด้วยยาก”
เหอะ ให้หน้าหน่อยนางก็ทำเป็เชิดขึ้นมาเชียว
มู่หรงฉือหยอกนางเล่น “เ้าเป็แค่อนุที่เชิดหน้าชูตาไม่ได้ สามีของเ้าคงรังเกียจชาติกำเนิดต่ำต้อยของเ้าสินะ”
ลวี่หลิวโกรธจนควันออกหู แต่กลับไม่สามารถโต้แย้งได้ เป็เช่นนั้นจริงๆ ชาติกำเนิดของนางยากจน ไม่ได้มีหน้ามีตาจนต้องมาเป็สตรีที่ขายศิลปะอย่างแสดงผีผา หากไม่ใช่เพราะว่านฟางเอ็นดูนาง นางก็ไม่มีทางหลุดพ้นชีวิตที่ยากลำบากจนได้มีชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้
แต่ว่านางรู้ สามีรังเกียจตนจริงๆ
แม้ปากจะไม่ได้พูด แต่บางครั้งเขากลับแสดงความเหยียดหยามออกมาหลายทาง
“ว่านฟางหัวหน้ากองทัพตรวจสอบอาวุธ ทำผิดมีโทษปะาเก้าชั่วโคตร พรุ่งนี้จะทำการปะาต่อหน้าประชาชน”
มู่หรงฉือมีความสุขกับการชื่นชมสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนาง ดวงตาของลวี่หลิวค่อยๆ เบิกกว้าง ความหวาดหวั่น เกรงกลัวค่อยๆ แผ่ขยายจนกลายเป็ท่าทางไม่อยากจะเชื่อ
สามีตายแล้ว เช่นนั้นนางจะทำเช่นไร? กว่านางจะมีชีวิตที่สงบสุขมั่นคงเช่นนี้ได้...
ลวี่หลิวตวาดออกมา “ไม่มีทาง! เ้าพูดจาไร้สาระ!”
“เปิ่นกงมาหาเ้าในกลางดึกค่อนคืนอย่างยามสามเช่นนี้เ้ายังจะคิดว่าเปิ่นกงพูดไร้สาระ? เ้าคิดว่าเปิ่นกงว่างนักหรือ?” มู่หรงฉือเดินเข้าไปหานาง นิ้วเรียวยาวเชยคางนางขึ้น “คนสี่สิบกว่าคนในจวนสกุลว่านถูกจับไปยังคุกของกรมราชทัณฑ์แล้ว เหลือก็แค่เ้าคนเดียว”
“ไม่มีทาง....เป็ไปไม่ได้...” ลวี่หลิวส่ายหน้า ยังคงจมอยู่ในความใ
“หากเ้าสารภาพเื่ราวทั้งหมดออกมา เปิ่นกงจะให้เ้าได้ตายอย่างร่างกายครบสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นเปิ่นกงจะจับเ้าเปลื้องผ้าต่อหน้าทุกคน แล้วให้คนทั้งเมืองหลวงได้พิศดูเรือนร่างของเ้า” มู่หรงฉือคลี่ยิ้มเ็าน้อยๆ
“ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น พวกเ้าจะมาบีบบังคับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร?” ใบหน้าของลวี่หลิวเต็มไปด้วยความแตกตื่น “พวกเ้าเป็ใครกันแน่?”
“คนผู้นี้คืออวี้หวาง ส่วนเปิ่นกงคือรัชทายาท” มู่หรงฉือค่อยๆ แนะนำตัวเองอย่างช้าๆ
ราวถูกฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ!
สีหน้าของลวี่หลิวเปลี่ยนไปมา เนื่องจากใมากเกินไป ขาทั้งสองข้างอ่อนยวบราวกับน้ำก่อนจะไหลไปนั่งอยู่กับพื้นแข็งค้างเป็ท่อนไม้
อวี้หวาง!
องค์รัชทายาท!
นี่เป็คนในครอบครัวโอรส์! มีอำนาจล้นฟ้า! สามารถบีบนางให้ตายได้ราวกับมดตัวหนึ่ง!
นางไม่มีสิ่งใดจะต่อต้านได้เลย!
มู่หรงอวี้นั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธานด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อยราวกับกำลังดูละครฉากหนึ่ง บรรยากาศสูงส่งและเย็นะเืวนเวียนอยู่รอบกายพาให้คนหัวใจสั่นไหว ท่าทีหยิ่งยโสเจือเหยียดหยันนั้นน่ากลัวจนคนไม่กล้ามองตรงๆ
นางลอบมองเพียงแวบเดียวก่อนจะรีบหลุบตาลงทันที ราวกับหากแอบมองอีกครั้งนางคงจะกลายเป็ศพอยู่ที่นี่
“ท่านทั้งสอง...อยากจะรู้เื่อะไรโปรดถามมาเถิด หากหม่อมฉันรู้ยอมต้องบอกให้หมดสิ้น ขอเพียงท่านทั้งสองจะเมตตาไว้ชีวิตหม่อมฉัน” ลวี่หลิวมองสถานการณ์ตอนนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง จึงเอ่ยปากอ้อนวอนออกมาอย่างน่าอดสู
“คิดได้แล้วก็ดี หากเ้าตอบกลับมาอย่างซื่อตรง อีกทั้งยังตอบได้ดี ไม่แน่ว่าเปิ่นกงดีใจจะไว้ชีวิตเ้า" มู่หรงฉือกล่าว
“เพคะ เชิญถามมาเถิด”
“ว่านฟางมาหาเ้าที่นี่บ่อยหรือไม่?”
“ก่อนหน้านี้มาหาหม่อมฉันบ่อยเพคะ แต่ว่าครึ่งปีนี้กลับมาน้อยมาก สิบวันครึ่งเดือนถึงจะมาสักครั้ง หม่อมฉันสอบถามเขา เขาก็บอกว่ากองทัพตรวจสอบอาวุธมีงานให้ทำมากมาย ไม่มีเวลาปลีกตัวออกมาเพคะ”
“เขาเคยพูดถึงหลิงหลงเซวียนกับเ้าหรือไม่?”
“หลิงหลงเซวียน...” ลวี่หลิวขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด “หม่อมฉันนึกออกแล้ว เขาเคยพูดถึงอยู่ครั้งหนึ่ง บอกว่าจะไปดูหยกแกะสลักที่หลิงหลงเซวียนเพคะ”
“ยังพูดอะไรอีกหรือไม่?” มู่หรงฉือถามต่อ
“เื่พวกนี้ไม่ได้พูดอะไรเพคะ ตอนนั้นหม่อมฉันรู้สึกว่าแปลกเล็กน้อย ปกติเขาไม่ค่อยชอบหยกแกะสลัก แล้วก็ไม่มีทางซื้อหยกแกะสลัก แต่ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ ถึงสนใจขึ้นมาได้”
“นอกจากเข้าเวรที่กองทัพในตอนกลางคืน อยู่ที่เรือนใหญ่ มาหาเ้าที่นี่ เขายังไปที่อื่นอีกหรือไม่?”
“ไม่มีแล้วเพคะ”
“ทางที่ดีเ้าคิดให้ดีก่อนค่อยตอบ ไม่เช่นนั้นเปิ่นกงจะอารมณ์ไม่ดี...”
เห็นแววตาของนางแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร ลวี่หลิวก็ตั้งใจตรึกตรอง จากนั้นก็พูด “ท่านผู้สูงศักดิ์ หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ ทุกครั้งที่เขามาหา หม่อมฉันจะปรนนิบัติเขาทานอาหาร ชำระกาย จากนั้น...เขาก็ไม่ค่อยจะพูดเื่ด้านนอกกับหม่อมฉันเท่าใด แต่หม่อมฉันรู้ว่าเขาเป็คนมีความสามารถ ต่อไปจะต้องกลายเป็คนร่ำรวย...”
ตอนนั้นเองที่นางรู้ตัวว่าตัวเองพูดผิดไปจึงรีบพูดต่อ “คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำผิดจนต้องโทษถึงตาย หม่อมฉันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เพคะ...”
มู่หรงฉือถามอีก “ปกติแล้วงานอดิเรกของว่านฟางคืออะไร?”
ลวี่หลิวตอบ “เขาไม่มีงานอดิเรกใดเลยเพคะ ชอบเขียนตัวอักษรอยู่ไม่กี่ตัว อักษรภาพในห้องก็ล้วนเป็เขาเขียนออกมา”
มู่หรงฉือเห็นอักษรภาพที่แขวนอยู่บนกำแพงทั้งสองข้างตรงห้องโถงนานแล้ว นางจึงเดินไปมองสามภาพนั้นที่ตรงกำแพงทิศตะวันออก
ว่านฟางเป็คนที่มีความสามารถอยู่เล็กน้อยจริงๆ ภาพอักษรนี้แสดงให้เห็นถึงฝีมืออันน่าใ ไม่ได้ต่างจากผู้มีความสามารถเท่าใดนัก
ตัวอักษรมั่นคงทว่าเป็อิสระไม่ถูกควบคุม ความไหลลื่นของพู่กันราวกับธารน้ำไหลอย่างอิสระเสรีเข้าได้กับทุกสิ่ง เพียงแต่ขาดความหยิ่งในศักดิ์ศรี จนกลายมาเป็คนที่อาศัยช่องโหว่ของคนอื่น กระทำเื่ผิดออกมา
ครั้นเห็นว่าผู้สูงศักดิ์ทั้งสองมองภาพอักษรอย่างตั้งใจ ลวี่หลิวก็คิดขึ้นมาได้ นางรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปด้านนอกทันที
เพียงแต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกกุ่ยหยิงที่สังเกตนางอยู่ตลอดจับตัวเอาไว้ กุ่ยหยิงตวาดเสียงดุ “ซื่อสัตย์หน่อย!”
มู่หรงอวี้ยืนขึ้นไปอยู่ตรงหน้ากำแพงฝั่งตะวันตกแล้วมองอักษรภาพนั้น จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “เตี้ยนเซี่ย มาดูนี่”
มู่หรงฉือเดินเข้าไป “มีอะไรหรือ?”
ครั้นมองตามสายตาของเขาไป บนกำแพงมีภาพทิวทัศน์ที่ดูคุ้นเคยอยู่ภาพหนึ่ง
“บึงเสวียนเยว่!”
พวกเขาพูดออกมาพร้อมกัน ก่อนจะยิ้มออกมา
ว่านฟางวาดบึงเสวียนเยว่เอาไว้หนึ่งภาพ บังเอิญไปหรือไม่?”
“ภาพนี้วาดขึ้นมาเมื่อไหร่?” มู่หรงฉือถามลวี่หลิว
“ราวสองเดือนก่อนเพคะ” ลวี่หลิวตอบ
มู่หรงฉือกับมู่หรงอวี้สบตากัน ่เวลาก็เหมาะเจาะ นี่จะบังเอิญไปแล้วกระมัง
เขานำภาพนั้นลงมา ม้วนเก็บให้เรียบร้อยเตรียมตัวจะเอาไปดวย ต่อมาก็สั่งกุ่ยหยิง “จับนางไปขังไว้ที่คุกของกรมราชทัณฑ์!”
ลวี่หลิวกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว “ผู้สูงศักดิ์...ท่านผู้สูงศักดิ์โปรดเมตตา...ว่านฟางกระทำผิดหม่อมฉันไม่ได้รู้อะไรเลย...”
กุ่ยหยิงรำคาญจึงสกัดจุดใบ้ของนางแล้วจับตัวนางออกไป
...
ระหว่างทางกลับจวนอวี้หวาง มู่หรงอวี้กับมู่หรงฉือก็ต่างคนต่างขี่ม้าไปด้านหน้าช้าๆ
ท้องฟ้ากว้างไกล ตอนกลางคืนเงียบสงบ ดวงดาวส่องแสงอยู่เป็เพื่อนพวกเขาเดินทางไปบนถนนช้าๆ สายลมอ่อนๆ พัดผ่านไล้ข้างแก้มไปเบาๆ พาให้รู้สึกเย็นสบาย
ตอนนี้พวกเขาไม่รู้สึกง่วงสักนิด ขบคิดถึงเื่ราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ความคิดก็วุ่นวายอยู่เล็กน้อย
คุณชายชุดทองวางแผนเอาไว้ดีมาก ราวกับนำหน้าพวกเขาอยู่ก้าวหนึ่ง ทั้งยังหลอกพวกเขาไปครั้งหนึ่ง แต่พวกเขาก็ได้เบาะแสเพิ่มมาบ้างแล้วเช่นกัน
“ท่านมีความคิดอย่างไร?” มู่หรงฉือตื่นเต้น
“ยังไม่ต้องคิดอะไรมาก รอให้ผ่านไปอีกสักหลายชั่วยามฟ้าก็จะสางแล้ว เตี้ยนเซี่ยเองก็ไม่ต้องกลับตำหนักแล้ว พักอยู่ที่จวนหวางเถิด” มู่หรงอวี้พูดเสียงทุ้ม
“พรุ่งนี้ไม่มีอะไรต้องทำ เปิ่นกงกลับตำหนัก...”
“พรุ่งนี้มีอะไรให้ทำแน่นอน เปิ่นหวางจะเอาตัวว่านฟางกับหวังเทาไปตัดหัวต่อหน้าประชาชน”
นางชะงักไป นางเพียงแค่พูดไปเฉยๆ แต่เขากลับทำเช่นนั้นจริงๆ
เพียงแต่การนำตัวว่านฟางกับหวังเทามาตัดหัวต่อหน้าประชาชน ถึงแม้วิธีการลงมือจะโหดร้ายไปสักหน่อย แต่สำหรับขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนัก และราษฎรในเมืองหลวงแล้วเป็อะไรที่น่ากลัวมาก อีกทั้งยังเป็การเตือนคุณชายชุดทองอย่างหนักครั้งหนึ่ง
นางชื่นชมการตัดสินใจกับความชาญฉลาดของเขา
ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าการที่พวกเขาขี่ม้าเดินไปด้วยกันช้าๆ ภายใต้แสงดาวเช่นนี้มันให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง
นางลอบเหลือบมองผ่านหางตา เห็นเขานั่งอยู่บนม้า เรือนกายเหยียดตรงราวสันเขา ใบหน้าประดับไปด้วยแสงจางๆ จากดวงดาว แฝงไปด้วยเสน่ห์งดงาม ทำให้คนที่เห็นเข้าอดจับจ้องอย่างไม่อาจละสายตา
“เตี้ยนเซี่ยมองอะไรหรือ?” จู่ๆ มู่หรงอวี้ก็หันมา
“ไม่...ไม่มีอะไร...” มู่หรงฉือดึงสายตากลับมาอย่างลุกลี้ลุกลน ยกมือลูบหัวอย่างเขินอาย “แค่ปวดขมับเล็กหน่อย”
“ยากที่จะคิดว่าเตี้ยนเซี่ยจะมาขี่ม้าตอนกลางคืนบนถนนกับเปิ่นหวางอย่างปรองดองกันแบบนี้” เขาพูดเย้ยหยันตัวเอง พลางยิ้มน้อยๆ
“นั่นสิ เปิ่นกงเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน...” จู่ๆ นางก็คิดอะไรขึ้นมาได้จึงรีบหุบปากทันที
พูดอะไรออกไป?
เขาบังคับม้าเข้ามาใกล้นาง จับมือเล็กที่กุมบังเหียนม้าอยู่ นางชักมือหลบ พูดอย่างหงุดหงิด “ท่านจะทำอะไร?”
มู่หรงอวี้บังคับจับมือเล็กของนาง แล้วจ้องนางนิ่ง “เตี้ยนเซี่ย ศัตรูของเ้าไม่ใช่เปิ่นหวาง”
มู่หรงฉือตกตะลึงไป เห็นดวงตาที่ย้อมไปด้วยแสงดาวของเขาเต็มไปด้วยซื่อตรงจริงใจ
คำพูดของเขาจะเชื่อได้หรือไม่?
นางสามารถเชื่อเขาได้จริงหรือ?
วันนี้เชื่อได้ แล้วพรุ่งนี้เล่า? วันมะรืนเล่า?
นางพลันได้สติกลับมาโดยพลัน จึงไม่ได้ตอบสิ่งใด ปล่อยให้ความเงียบเป็คำตอบ
“เตี้ยนเซี่ยไม่เชื่อเปิ่นหวางหรือ?” มู่หรงอวี้ถามเสียงเบา
“เชื่อหรือไม่สำคัญมากหรือ?” นางยิ้มน้อยๆ
“ก็ใช่ ไม่สำคัญ” นิ้วโป้งของเขาลูบไล้ฝ่ามือของนางแ่เบา ให้ความรู้สึกใกล้ชิดขึ้นไปอีก “ที่สำคัญก็คือในใจของเตี้ยนเซี่ยมีเปิ่นหวาง”
มู่หรงฉือดึงมือกลับเงียบๆ ก่อนจะดึงบังเหียนแล้วควบม้าทะยานไป “เปิ่นกงเหนื่อยแล้ว รีบกลับกันเถิด”
เขาบังคับม้าวิ่งตามไป
...
หากจะกลับไปตำหนักบูรพาแล้วต้องย้อนกลับมาอีกจะเสียเวลาไปมาก สุดท้ายมู่หรงฉือจึงตัดสินใจพักที่จวนอวี้หวาง เื่กำลังเร่งด่วน นางนอนไปสามชั่วยาม ในตอนที่ตื่นขึ้นมาตะวันก็ขึ้นมาได้สามข้อไม้ไผ่[1]แล้ว
หลังจากฉินรั่วปรนนิบัตินางชำระกายแล้ว นางกำนัลคนหนึ่งก็เข้ามารายงานว่า ท่านอ๋องเชิญให้นางไปทานอาหาร
นางกำนัลนำทางอยู่ด้านหน้า พวกนางสองคนนายบ่าวก็เดินไปที่ศาลทรงห้าเหลี่ยมด้วยกัน
ดอกไม้สีสันสวยงามรายล้อมอยู่โดยรอบ กลิ่นดอกไม้หอมจรุง ดอกบัวในบึงก็กำลังเบ่งบานชูดอกขึ้นมาแลดูงดงามบริสุทธิ์ มีสีแดงจางๆ แต่งแต้มเหมือนพวงแก้มแดงระเรื่อของสตรียามเขินอาย รื่นตาเป็อย่างยิ่ง
มู่หรงอวี้นั่งดื่มชาอยู่ในศาลา ครั้นเห็นนางมาถึงแล้วใบหน้าที่เดิมเ็าก็อ่อนโยนลง “เชิญเตี้ยนเซี่ยนั่งก่อน”
ฉินรั่วกับนางกำนัลถอยออกจากศาลาแล้วไปยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เว้นระยะห่างออกมา่หนึ่ง
มู่หรงฉือมองอาหารน่าทานบนโต๊ะหิน มีทั้งอาหารเช้าแล้วก็อาหารกลางวัน จึงยิ้มแล้วพูด “หิวแล้วจริงๆ เช่นนั้นเปิ่นกงไม่เกรงใจแล้ว”
พูดไป ขนมแป้งนุ่มลื่นก็เข้าปากนางไปก่อนจะกลืนลงท้อง
เขาตักโจ๊กถ้วยหนึ่งมาวางตรงหน้านาง “ลองชิมโจ๊กใบบัวดู”
นางตักไปสองช้อนอย่างไม่เกรงใจ พร้อมชมไม่ขาดปาก “ไม่เลวเลยจริงๆ ท่านไม่ทานหรือ?”
เขายิ้มน้อยๆ เหมือนเพียงได้มองนางทานอย่างเอร็ดอร่อยก็อิ่มแล้ว แต่ก็ยังหยิบตะเกียบเงินขึ้นมาทาน
นางทานไปหางตาก็เหลือบมองไป เขายังคงสวมชุดสีดำ ดูสง่าสงามอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ ใบหน้าอ่อนเยาว์แฝงรอยยิ้มที่เหมือนจะมีแต่ก็ไม่มี ดวงตาสีดำคู่นั้นพราวระยับ จะมองอย่างไรก็เป็คนหล่อเหลาผู้หนึ่ง
“อยากมองก็มองตรงๆ เถิด” มู่หรงอวี้คลี่ยิ้ม
“ใครมองท่าน?” มู่หรงฉือรีบหลบตาอย่างขัดเขิน พวงแก้มพลันแดงเร่อขึ้นมาพลางพึมพำ “ไร้ยางอาย”
เชิงอรรถ
[1] เป็่เวลาเวลาประมาณ 7.00-9.00 น. ถึง 9.00-11.00 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้