รถม้าเคลื่อนตัวช้าลงร่างบางขยับกายขจัดความเมื้อยล่าออกไปก่อนจะค่อย ๆ ลุกก้าวลงร่างสูงยกมือประคองร่างบางยามก้าวเท้าวางลงอย่างคุ้นชิน หลิวเซียงเอ๋อร์เหลือบมองรอบ ๆ ประตูไม้หน้าคฤหาสน์สูงใหญ่ค่อยๆ ขยับเปิดออก ชายชราร่างผอมแห้งกรังเปิดประตูราวกับใช้กำลังที่ตนมีทั้งหมดประคองเปิดอย่างยากลำบาก
“คารวะผู้เฒ่าหลิน” เฉินฮั่วยกคำนับชายชราตรงหน้า พร้อมช่วยเขาเคลื่อนย้ายประตูใหญ่นั่น
“ท่านพ่อข้าคิดถึงท่านมาก ๆ เลย” หลินเสียงอุทานขึ้นทันทีที่ชายชราเปิดประตูออก นางะโสวมกอดชายแก่ตรงหน้าอย่างมิเขินอาย
“เสี่ยวหลิน..ฮ่า ฮ่า นี่เ้ามาได้เยี่ยงไรแล้วพระสนมเล่า” แววตาสีขุ่นเหลือบมองหาอย่างลางเลือน
“ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้พระสนมกลับมาเยี่ยมเ้าค่ะ ข้าเลยได้ติดตามกลับมาด้วย” หลินเสียงอธิบายก่อนจะหันไปมองเธอที่กำลังยืนมองอย่างงุนงง มิใช่เพียงเพราะเธอเพิ่งได้มาเห็นครั้งแรก แต่เป็ครั้งแรกที่เธอจะได้เห็นมุมมองตัวละครหลิวซูเฟยที่ไม่ได้บรรยายลงหน้ากระดาษนั่นมากนัก เธอส่งยิ้มบาง ๆ ให้กับชายชราตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
“คารวะพระสนม” ชายแก่โน้มตัวลงคารวะ ผู้เฒ่าหลิน หรือหลินอู๋เป็บ่าวรับใช้ที่ติดตามตระกูลหลิวมายาวนานจนเสมือนญาติพี่น้อง ยามนี้ผู้เฒ่าหลินได้อายุมากขึ้น เสนาบดีหลิวจึงสั่งให้หยุดพักและส่งมอบตำแหน่งนี้ให้กับบุตรชายของเขาเป็พ่อบ้านของจวนต่อไป ส่วนหลินเสียงก็ได้ติดตามเธอจนเติบโตและได้ไปอยู่ในวังหลวง
“ตามสบายเถิด ข้าแค่อยากมาเยี่ยมท่านพ่อกับท่านแม่เท่านั้น” แม้หลิวเฟิ่งฉินจะมีอำนาจเป็ถึงเสนาบดี แต่เขาก็มิเคยมีอนุเลย จึงทำให้เขามีเพียงบุตรชายและบุตรีเพียงสองคนเท่านั้น
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ” ถึงน้ำเสียงจะเอ่ยถามหาอย่างเรียบเฉยกลับแต่ใจรู้สึกสั่นไหวหวั่นใจไม่น้อยหากพบบิดามารดานาง และหากรู้ว่าตนมิใช่ลูกสาวที่แท้จริงพวกเขาจะทำเช่นไร
“นายท่านเพิ่งเข้าวังหลวงไปเมื่อครู่ ส่วนฮูหยินอยู่ด้านใน ขอ...อ่ะ..พ่ะยะค่ะ” เสียงพูดตะกุกตะกักอย่างไม่คุ้นชินทำให้หลินเสียงผู้เป็บุตรีต้องสะกิดบิดา
“มิเป็ไร เรียกข้าเช่นเดิมก็ได้ผู้เฒ่าหลิน” หลิวเซียงเอ๋อร์กล่าวตามที่เฉินฮั่วเอ่ยเรียก
บรรยากาศแห่งความสุขโอบล้อมคฤหาสน์ไม้หลังนี้ส่งเสียงหัวเราะดัง หลิวเซียงเอ๋อร์ยามนี้รู้สึกผ่อนคลายกว่าทุกครั้ง
ฮูหยินหลิวจ้องมองแววตาใสที่ยิ้มจนเกือบปิดระคนแปลกใจในบุตรีตนยามนี้ดูสดใสกว่าที่ผ่านมา นางมิได้วางท่าทางเรียบเฉยเมื่อที่ผ่านมาจนหน้าแปลกใจ
“เซียงเอ๋อร์...เ้าอยู่ในวังหลวงคงสุขสบายดีซินะ”
“ท่านแม่...แม้ในวังหลวงจะสุขสบายแต่ที่นี่ย่อมสุขกว่าใดๆ ทั้งสิ้น” มือเรียวหยิบยกถ้วยชาดื่ม เธอเองกลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกจนไม่รู้ว่านี่คือความรู้สึกของร่างเดิมหรือตัวเธอเองกันแน่ แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ได้เจอผู้เป็ผู้นำตระกูลหลิว จึงมิได้สนทนาพูดคุยให้รู้นิสัยใจคอ ส่วนฮูหยินหลิวผู้นี้นางเป็คนรักบุตรีคนนี้แค่ไหนเธอย่อมััได้แล้วในยามนี้
“ฮ่องเต้ทรงใส่ใจเ้าดีซินะเ้าถึงได้อารมณ์ดีเช่นนี้”
‘ใส่ใจอะไรกัน ผลักใสกันนะซิ’ อารมณ์ขุ่นเคืองยามได้ยินเสียงเอ่ยถึงผู้นั้น เธอก็พลันโมโหท่าทีแข้งกร้าวฮ่องเต้หนุ่ม และยังคงเป็ภาพจดจำในห้วงความคิดเธอก่อนออกจากวังหลวงมายังจวนนี้ ใบหน้ายกยิ้มแต่ภายในใจกลับกดข่มอารมณ์ผิดหวังเสียใจไว้ ใบหน้าฝืนยิ้มออกมาอย่างสุดกำลัง
“เ้าค่ะ...ทรงห่วงใยลูกเป็อย่างดี” คำพูดของเธอฉายแววตาขุ่นเคืองออกมาเล็กน้อยราวประชดเขาอยู่ในใจ
บทสนทนาสองแม่ลูกดำเนินไปอย่างไม่มีสะดุดเสียงจิ้งหรีดยามนี้ขับเสียงดังแข่งกับเสียงสนทนาของเธอ ฮูหยินหลิวผินหน้ามองสาวใช้ข้างกายพลางไถ่ถามห้องพักที่จัดไว้สำหรับเอ ห้องนอนปีกซ้ายในคฤหาสน์ถูกจัดไว้เป็ระเบียบเหมือนกับตอนที่เธออยู่เป็คุณหนูในจวน หลินเสียงหยิบอาภรณ์ขาวเนื้อัันุ่มลื่นสำหรับนอนให้เธอสวมก่อนจะค่อย ๆ หันไปปูที่นอนให้ตัวเองหน้าประตูห้องนอนอย่างที่เคยทำประจำ
“พระสนมวันนี้ท่านเหนื่อยมากแล้ว...หม่อมชั้นเตรียมชาสมุนไพรสำหรับช่วยผ่อนคลายทรงดื่มหน่อยนะเพค่ะ” มือเล็กยื่นถ้วยชาสีขาวเงามันไร้สิ่งแต่งแต้ม น้ำชาสีเหลืองอำพันส่งกลิ่นหอมเย็นสบายทำให้เธอยกดื่มจนหมดแล้วเอนกลายลงนอน ค่ำคืนเงียบสงบไร้เสียงผู้คนมีเพียงเสียงจิ้งหรีดวีดร้องระงมเงาดำพุ่งตรงมายังห้องนอนเธอแต่ด้วยองครักษ์ข้างกายอย่างเฉินฮั่วได้คอยเฝ้าระแวดระวังตลอดเวลาจนมิอาจพ้นสายตาเขาได้ เฉินฮั่วะโขวางก่อนจะมีการปะทะกัน เงาดำเห็นว่าสู้ไม่ได้จึงรีบะโข้ามกำแพงไปเสยก่อน หากแต่เฉินฮั่วที่ว่องไวเขารีบติดตามไปอย่างไม่ลดละ
อีกหนึ่งเงาดำยามนี้ยืนจ้องใบหน้าเธอที่หลับไหลอยู่ปลายเตียงนอนหลังใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมใบหน้าเขาลง มือหนายกลูบใบหน้านวลเนียนอย่างแ่เบา
“เจิ้นจะทำเช่นไรกับเ้าดี” เสียงพึมพำราวบอกตัวเอง ในใจ หนานรั่วหานยืนมองแววตาเขาฉายแววสับสนวุ่นวายนัก
‘ข้าอยากกอดเ้ายิ่งนักเซียงเอ๋อร์’ ความคิดถึงระคนความกลัวทำให้เขาต้องหลบกายแฝงออกมาหาเธอในยามนี้ แม้เขาอยากจะเอ่ยรั้งเธอมิให้กลับมาจวนนี้แต่น้ำเสียงกลับไม่สามารถเอ่ยออกไปได้ ราวมีสิ่งใดอุดกลั้นเสียงในลำคอ เขาโน้มใบหน้าลงบรรจงจูบที่หน้าผากเธออย่างช้า ๆ ก่อนรีบเร้นกายหายไปในความมืดนอกหน้าตาบานคู่
เสียงนกร้องบอกยามเช้ากลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเถาฮวา (1) ทำให้เธอขยับพลิกกายลุกบิดไร้ความี้เีออกไปอย่างเช่นทุกที เสียงหาววอดใหญ่ทำให้อีกคนหันมอง พร้อมวางอ่างเล็ก ๆ ในมือลง
“พระสนมหลับสบายดีหรือไม่เพค่ะ หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้แล้ว” ผ้าสีขาวสะอาดพื้นเล็กยกยืนมาที่ใบหน้าเธอก่อนจะััเช็ดที่ใบหน้าเบา ๆ
“เมื่อคืนข้ารู้สึกเหมือนมีคนมาลูบตัวเข้าเลย เป็เ้าหรือไม่หลินนเสียง”
“หม่อมฉันเปล่านะเพค่ะ หม่อมฉันหลับอยู่ข้างประตูยังมิได้ยินเสียงผู้ใดเข้ามา” หลินเสียงเอ่ยตอบอย่างไม่แน่ใจเมื่อคืนนางเองก็เพลียจากการเดินทางเหมือนกัน แม้จะไม่ไกลวังหลวงมากนักแต่ก็เมื่อยทุกครั้งที่ต้องนักรถม้ากลับจวนเสนาบดี
“คงฝันซินะ” หลิวเซียงเอ๋อร์เอ่ยย้ำกับตัวเองเบา ๆ ความตั้งใจในการกลับมาจวนตระกูลหลิวครั้งนี้คือการสืบหาข้อมูลก่อนที่จะเกิดการฏขึ้นจริง ๆ เธอพยายามเรียบเรียงเนื้อหาที่ผ่านตาอีกครั้งอย่างช้า ๆ แม้จะมิได้อ่านจนถึงตอนสุดท้ายแต่อย่างน้อยก็พอจับเนื้อหาสาระสำคัญได้บ้าง ครั้งนี้เกิดการฏจากแคว้นหูเยว่ก็จริงแต่มิอาจรู้ได้ว่าจะเป็ผู้ลักพาตัวไท่เฟยไปจริงหรือไม่ ฉะนั้นเธอจะบู่มบ่ามไม่ได้ หลิวเซียงเอ๋อร์จึงบอกผู้เฒ่าหลินให้ตระเตรียมของให้นางด้วยเช่นกัน เพราะเธอจะขอติดตามบิดาเพื่อไปยังวัดหลวงเฉิงไฉ่ยี่สำหรับเริ่มต้นการหายตัวไปเมื่อสิบปีที่แล้ว วัดหลวงที่อยู่ห่างจากพระราชวังราวเกือบร้อยลี้ (2) เช่นนั้นเธอจึงต้องเตรียมตัวด้วยชุดที่ค่อยข้างคล่องตัวมากขึ้น
“ท่านพ่อข้าขอไปด้วยนะเ้าค่ะ” น้ำเสียงอ่อนหวานของบุตรีทำให้ชายวัยกลางคนที่เริ่มมองเห็นริ้วรอยแห่ง่วัยปรากฎยกยิ้มก่อนพยักหน้าให้นาง เขาเองทราบได้จากเมื่อวานที่เข้าวังหลวงว่าบุตรสาวของเขาได้ขออนุญาตฮ่องเต้กลับไปเยี่ยมจวนแต่เขากลับรู้สึกกังวลเพราะนางมิเคยเอ่ยบ่นเลยที่จะกลับไปเยี่ยมเยียนบิดาเช่นเขา
“ถ้าพระสนมอยากร่วมเดินทางก็มิขัด หากเส้นทางจะไม่สะดวกสบายเล็กน้อย พระสนมพอรับได้หรือไม่”
“เ้าค่ะ..ลูกอยากไปไหว้พระและอยากเปิดหูเปิดตาด้วย”
“ฮ่ะ..ฮ่า..เช่นนั้นพระสนมก็เตรียมตัวให้พร้อมเราจักออกเดินทางยามซือ (3) ”
รถม้าวิ่งแล่นด้วยความเร็วสายลมพัดโชยเรือนผมเงางามของเธอปลิวสะบัดจนต้องจับรวบม้วนเกล้าขึ้น เสนาบดีหลิวเหลือบมองในท่าทางนางที่มิเคยได้เห็นมาก่อน เพราะหากเป็การเดินทางไปในที่ทุรกันดารบุตรีตนมักจะหลีกเลี่ยงเสีย แต่ยามนี้
แววตานางกลับดูสุกใสซุกซนราวเด็กอยากออกไปวิ่งเล่น เขาขมวดคิ้วแน่นพิศดูนางอย่างละเอียด แม้นางจะคือบุตรีตนแต่รู้สึกแปลกใจอย่างประหลาดไม่รู้ว่าตรงไหนกันแน่ที่เขาแปลกใจในตัวนาง ด้วยเพราะระยะทางค่อนข้างห่างไกลต้องผ่านูเาและป่าไพรที่ยากลำบากทำให้เธอมาถึงเอายามซวี (4) และคืนนี้ก็ต้องพักที่นี้เสีย แม้จะเป็วัดที่ห่างไกลแต่ด้วยอาณาเขตที่กว้างขวาง ห้องพักต่าง ๆ จึงถูกสร้างไว้มากมายรวมถึงจวนใหญ่ด้านข้างที่เสนาบดีหลิวมักจะแวะมาพักเมื่อยามมาตรวจราชการที่วัดแห่งนี้ เหล่าสาวใช้ที่ติดตามมาเกือบสิบคนต่างรีบยกจัดเรียงห้องหับอย่างว่องไว
ร่างบางยกกายเดินออกมายืนข้างขอบระเบียงจวนแสงจากโคมไฟรายล้อมบริเวณรอบวัดมองดูเหมือนแสงดาวเล็ก ๆ จากที่ไกล ๆ ตัดแสงค่ำมืดในยามนี้ แสงดาวส่องประกายเต็มท้องฟ้ามืดดูโดดเด่นเห็นชัด ความเงียบสงบวังเวงเกินกว่าที่จะมีมนุษย์ใดจะออกไปในยามนี้ เธอยืนมองพลางนึกถึงเนื้อหาของเื่ราวอีกครั้งอย่างทบทวน
‘เราจะต้องเริ่มจากตรงไหนกันแน่’ ความคิดผุดขึ้นในใจอย่างท้อแท้ แม้เธอพอจะรู้เื่ราวที่แห่งนี้แต่ผู้หญิงเพียงตัวคนเดียวไหนเลยจะทำสำเร็จ ด้านล่างกลับมีสายตาอีกครู่ยืนมองมาทางเธอ
“เฉินฮั่ว?” เสียงอุทานใที่เห็นใบหน้าขาวซีดของเขายืนมองมาจากด้านล่าง หลิวเซียงเอ๋อร์ค่อย ๆ เดินออกไปยังที่ชายหนุ่มหยุดยืน
“คารวะพระสนม” เฉินฮั่วยกมือคำนับก่อนจะหยิบสิ่งหนึ่งส่งให้เธอ มันคือมีดสั้นที่มีด้ามจับประดับด้วยอัญมณีสีสวยหลากหลายสี เธอยืนจ้องมองมันราวแปลกใจ
“เ้าให้ข้าหรือ”
“หากข้ามิได้อยู่ใกล้ทันช่วยเหลือ พระสนมท่านสามารถใช้มันเป็อาวุธในยามนั้นได้” เธอพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนรับมาไว้ที่ตัว
เฉินฮั่วยืนมองสตรีร่างบางยืนนิ่ง สายลมเย็นพัดปอยผมบนไหล่เธอพลิ้วไหวส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายเธอแตะจมูกโด่งเขา คิ้วเข้มพาดตรงเลิกสูงคลับคล้ายฉุกคิดขึ้นได้ถึงค่ำคืนที่เธออยู่กับบุรุษผู้สูงส่งคนนั้น ใบหน้าซีดขาวของเขากลับดูเจื่อนไป
(1)เถาฮวา = ดอกท้อ
(2) ลี้ = 500 เมตร
(3)ยามซือ = 09.00 – 10.59 น.
(4)ยามซวี = 19.00 – 20.59 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้