รอมาครึ่งค่อนวันยังไม่มีการตอบกลับจากเจาเยี่ย เลยอดไม่ได้ที่จะโทรศัพท์ไปถามแต่ก็ถูกตัดสายทั้งสองครั้ง คาดว่าเจาเยี่ยคงไม่มาแล้วแน่นอนอารมณ์ของกู้หลานอันจึงแย่ถึงสุดขีดวิเคราะห์สาเหตุไปทั่วด้วยความกลัดกลุ้มถึงสาเหตุที่เจาเยี่ยไม่ยอมมาร่วมงานเลี้ยงฉลอง
ชาติที่แล้วเจาเยี่ยพูดว่าชื่นชอบคุณแม่คงไม่ใช่เื่โกหกหรอกใช่ไหม? หรือเป็เพราะว่าเขาเริ่มชื่นชอบคุณแม่หลังจากได้เข้าร่วมรายการเรียลลิตี้โชว์แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ชื่นชอบเหรอ? จะว่าไปเมื่อชาติที่แล้วเขามาพูดกับตัวเองก็ตอนที่แม่เขากลับจากการเข้าร่วมรายการเรียลลิตี้โชว์แล้วหลังจากใช้สมองคิดอย่างหนักถึงความเป็ไปได้ทั้งหมดที่เจาเยี่ยไม่มาร่วมงานเลี้ยงกู้หลานอันก็ล็อกเป้าไปที่สาเหตุข้อสุดท้ายนี้เอียงคอมองตรงไปยังอันนา คนที่กำลังมีความสุขกับการเลือกเสื้อผ้าให้ลูกชายอยู่เขาบ่นอันนาด้วยใบหน้าย่นๆ ว่า “แม่ นี่แม่กะจะอยู่บ้านว่างๆให้พ่อผมเลี้ยงไปทั้งชาติเลยเหรอ?”
“เอ๋ ไม่งั้นต้องยังไงล่ะ? พ่อแกไม่ยอมให้แม่ออกไปถ่ายละครนี่”อันนาเอาเสื้อสูทสีน้ำเงินที่ถืออยู่เทียบกับกู้หลานอันเทียบแล้วเทียบอีกก็ยังไม่พอใจสุดท้ายวางลงแล้วไปเลือกตัวใหม่
“ทำไมแม่ถึงได้เอื่อยเชื่อยแบบนี้ล่ะ?” กู้หลานอันชำเลืองมองเธอด้วยสายตาดูถูก เริ่มปลูกฝังความคิดใหม่ๆให้กับเธอ “แม่ครับ ผู้หญิงน่ะนะ ควรเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองให้ตัวเองมีมูลค่าถึงจะเจริญก้าวหน้า ไม่งั้นตอนแก่ตัวลง จะถูกทิ้งได้ง่าย......”
“หยุด หยุด หยุด Stop!” อันนาฟังอย่างหงุดหงิดเสื้อตัวที่ถืออยู่ถูกโยนทิ้ง เธอมองหน้ากู้หลานอันด้วยความแปลกใจแล้วถาม “ลูกรัก ทำไมจู่ๆ ก็พูดถึงเื่นี้ขึ้นมา เมื่อก่อนลูกก็สนับสนุนให้แม่นั่งโง่ๆอยู่บ้านอย่างสงบจนแก่หงำเหงือกไปเลยไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้จะให้แม่พึ่งพาตัวเองแล้วล่ะ”
“เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อนแต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ?” ตอนนี้ผมมีสะใภ้แล้วเพื่ออนาคตที่สดใสของผมกับสะใภ้แม่ต้องทำเพื่อพวกผมนะครับถ้าเกิดเขาเลื่อมใสในตัวแม่ นั่นก็จะส่งผลดีมากมายกับผมโดยปริยาย
“ไม่เหมือนกันยังไง?” อันนาถามด้วยความสงสัย
“เมื่อก่อนพ่อกับแม่น่ะเหมือนข้าวใหม่ปลามันแต่ตอนนี้พวกแม่อยู่ด้วยกันมานานหลายปีขนาดนี้ เขาเห็นแม่เห็นจนเอียนแล้วถ้าแม่ยังไม่ยอมห่างจากเขาสักพัก ความสัมพันธ์ได้จบเห่แน่นอน” ในเมื่อไม่สามารถพูดถึงเหตุผลที่แท้จริงได้กู้หลานอันจึงต้องใส่ร้ายพ่อเพื่อใช้เป็ข้ออ้าง
“ลูกพูดได้ถูกต้องแล้ว ทำไมแม่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนนะ”อันนาครุ่นคิด
“ก็ใช่ไงครับ แม่ดูพ่อผมสิ เลขาฯ ที่บริษัทมีแต่สาวๆสวยๆ มีโอกาสเปลี่ยนใจได้ง่ายมากๆ ถึงแม้แม่จะเป็คนสวย แต่วันเวลาผ่านไปยังไงก็เกิดความชินชา” กู้หลานอันเห็นแม่หวั่นไหว ก็รีบโหมพัดให้กองเพลิงลุกโชนอย่างต่อเนื่อง
“อืม จริงด้วย” อันนาหน้ามุ่ยล้วงโทรศัพท์ออกมาหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งพลางกดโทรออกไปยังหมายเลขของผู้จัดการคนที่ดูแลเธอก่อนออกจากวงการบันเทิงพลางพูดกับกู้หลานอันไปด้วยว่า “ลูกชายเจ้ไม่มีเวลาแต่งตัวให้แล้วล่ะ เลือกเสื้อผ้าเองสักชุดแล้วใส่ไปในงานเลี้ยงนะเจ้จะกลับสู่วงการเพื่อเป็ตัวท็อปอีกครั้ง”
“ไปเลย ไปเลย สู้ๆ นะ” กู้หลานอันโบกไม้โบกมือเหลือบมองเสื้อผ้าที่ออกแบบอย่างพิถีพิถันของดีไซเนอร์อย่างหมดอาลัยตายอยากนั่งลงบนม้านั่งแล้วเริ่มเล่นโทรศัพท์มือถือ เจาเยี่ยไม่มา งานเลี้ยงฉลองวันเกิดนี่ ก็ไม่มีอะไรสามารถกระตุ้นความกระตือรือร้นของเขาได้สักนิดเดียวถึงแม้เขาจะเป็เ้าของงานก็เถอะ
มอบหมายเื่การหวนกลับคืนสู่วงการเสร็จเรียบร้อยเวลาก็ล่วงเลยมาถึงทุ่มครึ่งแล้วมองไปยังผู้คนมากมายที่ยืนคุยกันอยู่ในห้องชั้นล่าง อันนาตรงไปห้องตัวเองแล้วเปลี่ยนชุดราตรีสีดำรองเท้าส้นสูงสีเงิน สวมสร้อยเพชรจูข่ายลี่ “ที่ทำสัญญาไว้” แล้วกลับไปยังห้องของกู้หลานอันเพื่อเตรียมตัวลงไปพร้อมกันกับเขา(ส่วนคุณพ่อที่น่าสงสารถูกเรียกให้ไปรับแขกั้แ่เช้าแล้ว) แต่เมื่อถึงห้องของกู้หลานอันกลับยังเห็นเขานั่งขดตัวเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนม้านั่ง
“ตายแล้ว ตาลูกคนนี้นี่ทำไมจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแเื่ก็มาถึงกันหมดแล้วไม่รู้เื่เลยเหรอ?” อันนาก้าวเท้ายาวเดินมาหยิบโทรศัพท์ออกจากมือกู้หลานอันปากบ่นไปพลางช่วยเขาเลือกเสื้อผ้าไปด้วย “จริงๆ เลยโตขนาดนี้แล้ว ทำไมยังใช้ชีวิตเหมือนคนพิการแค่ใส่เสื้อผ้าแค่นี้ถึงกับต้องให้แม่เป็คนมาจัดการให้เอง”