“ลุงรองของเ้าน่ะ เก่งแต่ปาก หญ้าต้นเดียวก็สามารถพูดให้กลายเป็ดอกไม้ได้” คําพูดของเกาจิ่วนั้นออกจะอ้อมค้อมไปหน่อย
ความหมายก็คือหลิวเหรินกุ้ยนั้นพูดคุยเก่ง ปากหวานเอาใจคนเป็
แต่การจะเอาอกเอาใจก็ต้องดูคน หากว่าเป็คนร่ำรวย ย่อมสามารถบริการอย่างสุขสบาย หากว่าเป็คนไม่มีเงิน ก็อย่าโทษว่าไม่แยแสคนชั้นต่ำ เหรัญญิกเช่นเขาส่วนใหญ่ก็มีนิสัยเยี่ยงนี้
หัวใจของหลิวเต้าเซียงผ่อนคลาย รอยยิ้มก็สดใสมากขึ้น จึงเอ่ย “นายท่านจิ่ว สิบนิ้วยังไม่เท่ากัน แม้บุตรจากท้องแม่เดียวกันก็ใช่ว่าจะมีนิสัยเหมือนกัน”
ส่วนที่เหลือนางไม่ได้เอ่ยออกมา
เกาจิ่วเป็คนมีไหวพริบ เดิมทีก็ไม่ชอบใจกับการกระทำของหลิวเหรินกุ้ย เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเต้าเซียงจึงตั้งใจจะส่งคนไปสอดแนม แม่สาวน้อยคนนี้ดูเหมือนจะไม่ชอบใจลุงรองของนางเท่าใดนัก
เขาเอ่ยว่า “หากว่าแม่นางไม่รังเกียจ เช่นนั้นก็เจอกันที่บ้านแม่เฒ่าจางเถิด”
“ขอบพระคุณนายท่านจิ่ว เพียงแต่เื่นี้ อย่าได้กล่าวออกไป”
“ย่อมได้ พวกเ้าวางใจเถิด”
เกาจิ่วรับปากเป็มั่นเป็เหมาะ
แม่เฒ่าจางเห็นว่าทั้งสองตกลงกันเรียบร้อย จึงหยิบตาชั่งเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม บอกว่าจะชั่งปลาให้
เกาจิ่วไม่ได้พูดอะไรมาก เขาได้เชิญหลิวซานกุ้ยตามพ่อครัวจางเข้าไปร่วมดื่มน้ำชากัน
ส่วนหลิวเต้าเซียงช่วยแม่เฒ่าจางจับปลาหลี่อวี๋ขนาดใหญ่ออกมาชั่งก่อน ทั้งหมดหนักสามกิโลกรัมกับอีกสี่ขีด ส่วนปลาเฉาหนักเกือบสามกิโลกรัม ตัวที่ใหญ่หน่อยคือสามกิโลกรัมกับอีกสามขีด
“ปลาหลี่อวี๋ทั้งหมดสามกิโลกรัมเท่ากับสามสิบสองอีแปะ ปลาเฉาทั้งหมดหกกิโลกรัมเศษ คิดหกกิโลกรัมก็แล้วกัน ทั้งหมดแปดสิบสี่อีแปะ รวมกันเท่ากับหนึ่งร้อยสิบหกอีแปะ”
แม่เฒ่าจางคํานวณเงินอย่างรวดเร็ว
หลิวเต้าเซียงยังคํานวณอย่างเงียบๆ รู้ว่าแม่เฒ่าจางไม่ได้โกหก จึงยิ้มแล้วชี้นิ้วไปยังลูกปลาหลี่อวี๋ในโอ่ง จากนั้นหยิบปลาเฉาในตะกร้าที่หมักเกลือไว้ยื่นให้แม่เฒ่าจาง
“ท่านป้า อย่าได้ปฏิเสธเลย หลายวันมานี้ได้พึ่งใบบุญของท่าน ถึงทำให้ชีวิตของครอบครัวข้าดีขึ้นมาบ้าง”
เดิมทีแม่เฒ่าจางยังคิดเล็กคิดน้อย หากว่าเกาจิ่วไม่ได้มาที่นี่ด้วยตัวเอง นางคงจะเก็บปลาเหล่านี้ไว้
เพียงแต่หนนี้เกาจิ่วอยู่ในบ้านของนาง หากว่ายังละโมบกับของเหล่านี้ อาจทำให้เ้านายของตนไม่พอใจได้
“ทำเช่นนี้ไม่ได้ ปลาหมักเกลือในโรงเตี๊ยมก็รับ”
หลิวเต้าเซียงไม่สนใจเื่เงินเล็กๆ น้อยๆ นี้ นางคิดดีแล้ว ตราบใดที่พ่อครัวจางยังคงทำงานในโรงเตี๊ยม เส้นทางสร้างรายได้ของครอบครัวนางก็ไม่มีทางขาด
“ท่านป้า ไม่ขอปิดบัง ครอบครัวข้าแต่เดิมนั้นไม่ได้ดีนัก ทั้งตระกูลยังไม่ได้แยกบ้าน ลุงใหญ่กับลุงรองทำงานข้างนอกแล้วยังขอเงินที่บ้านไม่ว่า ทั้งไม่ยอมมอบเงินตอบแทนแก่ปู่ย่า แต่ปู่กับย่าของข้ายังตามใจพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาลากเสบียงกับผักในบ้าน พ่อแม่ข้าทำงานตรากตรำทุกวัน แต่ที่ได้มาก็มีเพียงแค่ผ้าฝ้ายหยาบสองผืน”
แม่เฒ่าจางเองก็เริ่มต้นจากการเป็ลูกสะใภ้ จึงรู้ชัดเจนดี หากว่าพ่อแม่สามีมีเหตุผล ชีวิตคงพออยู่ได้ แต่หากเจอเข้ากับคนที่ทั้งลำเอียงและไม่มีเหตุผล ชีวิตนั้นคงอยู่อย่างลำบาก
“เหตุใดปู่กับย่าของเ้าจึงลำเอียงเช่นนี้?”
หลิวเต้าเซียงกล่าวเสริมว่า “ท่านป้า ท่านก็เคยเห็นครั้งแรกที่ข้ามาขายฟืนแก่บ้านของท่าน ตอนนี้สภาพข้าเป็เช่นไร โชคดีที่ได้รับการอุ้มชูจากท่านป้า ครอบครัวข้าจึงแอบมีเงินเก็บบ้าง หากว่าถึงคราวต้องแยกบ้าน ครอบครัวฝั่งข้าคงไม่ได้รับส่วนแบ่งแม้แต่แดงเดียว นั่นเท่ากับการไร้ซึ่งที่พักพิงและอาหารการกินทีเดียว”
“์ช่างทารุณ ข้าว่าพ่อเ้าก็เป็คนดี เพียงแต่ซื่อตรงเกินไปหน่อย” แม่เฒ่าจางหน่ายใจ
หลิวเต้าเซียงเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ก่อนพ่อของนางนั้นประหนึ่งพระโพธิสัตว์ ด้วยนิสัยที่น่ารักใสซื่อ
ทุกวันนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่อุปนิสัยนี้ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมดในเวลาอันสั้น เพียงแต่ว่าความคิดของเขานั้นก็ได้ต่างไปจากเดิม
แม่เฒ่าจางยังคิดจะสืบถามเื่ของหลิวเต้าเซียงให้มากกว่านี้ เพื่อที่อีกเดี๋ยวจะได้ขอรางวัลจากเกาจิ่วได้ เพียงแต่หลิวเต้าเซียงยังรั้นบอกให้นางรับปลาไว้ และไม่เอ่ยถึงเื่ภายในบ้านอีก
ด้วยเหตุนี้จึงต้องพักความคิดนี้ไปก่อน นางเดินถือปลาแล้วไปหยิบเงินในห้อง ก่อนจะกลับออกมาอย่างรวดเร็ว
“มานี่ เต้าเซียง ข้าว่าอย่างพ่อเ้า กลับไปคงเก็บเงินไว้ไม่อยู่ ท่านป้าถือวิสาสะให้เ้าเป็คนรับเงินไว้” ขณะที่พูดก็หยิบเงินที่มีด้ายสีแดงผูกอยู่ออกมาจากกระเป๋าเงิน “เก็บไว้ให้ดี นี่คือหนึ่งร้อยอีแปะ แล้วก็ นี่คือเงินที่เหลืออีกสิบหกอีแปะ”
จากนั้นนางก็ยื่นเศษเงินสิบหกเหรียญให้
จนถึงตอนนี้ หลังจากหักค่าก๋วยเตี๋ยวเมื่อครู่ไปสิบเหรียญ หลิวเต้าเซียงมีเงินเก็บสะสมทั้งหมดหกตำลึงกับเจ็ดร้อยเก้าสิบอีแปะ
“เต้าเซียง ครั้งหน้าหากครอบครัวของเ้าจับปลาตัวใหญ่ได้ให้ส่งมาที่นี่ หากว่ามีปลาตัวเล็กก็ให้นำมาด้วย ไม่เพียงแค่บ้านข้าที่ต้องกิน ยังมีเพื่อนบ้านที่้าอีกด้วย”
เนื่องจากเป็ปลาขนาดเล็กราคาจึงถูกกว่ามาก และคุ้มกว่าการกินเนื้อหมู ถึงอย่างไรหากนำไปต้มน้ำแกงก็เพียงพอให้ทั้งบ้านได้ลิ้มรส
“ตกลง ไม่มีปัญหา อันที่จริงท่านป้า ข้ายัง้าสอบถามเื่หนึ่งจากท่านด้วย”
หลิวเต้าเซียงขายปลาได้ ในมือก็มีเงินก็ยิ่งเกิดความมั่นใจ จึงเอ่ยถามเื่การเล่าเรียนกับอาจารย์จากแม่เฒ่าจาง
“เพราะเหตุใด เ้ามีน้องชายที่้าเล่าเรียนในสถาบันหรือ? นั่นค่าใช้จ่ายสูงมากนะ”
แม่เฒ่าจางเองก็รู้ว่าความขยันหมั่นเพียรของหลิวเต้าเซียง ต่อไปต้องทำให้ชีวิตดีขึ้นกว่านี้เป็แน่
“ไม่ใช่ พ่อข้าต่างหาก ั้แ่เล็กเขาเคยถูกปู่ทวดกับย่าทวดส่งไปเล่าเรียนในสถาบัน เพียงแต่ต่อมา อาสี่ของข้าต้องเล่าเรียน ปู่กับย่าข้าจึงไม่ให้พ่อข้าเล่าเรียนต่อ เพียงแต่หลายปีมานี้พ่อข้ายังคงมีเื่นี้ติดค้างอยู่ในใจ ใครใช้ให้พ่อข้าจะเป็คนโตก็ไม่ใช่ คนเล็กก็ไม่ใช่ ดันมาเกิดเป็คนกลาง ทำให้ปู่ไม่รักย่าไม่เอ็นดู”
แม่เฒ่าจางได้ยินแล้วเหม่อลอยไปชั่วขณะ จวบจนหลิวเต้าเซียงเขย่าตัวนางถึงได้สติกลับมา จึงยิ้มแล้วเอ่ย “ที่แท้พ่อของเ้ารู้อักษรด้วยหรือ มิน่า ข้ามองดูครอบครัวพวกเ้าไม่เหมือนชาวนาทั่วไป เอาเช่นนี้ ข้างบ้านข้าถัดไปอีกห้าหกหลังมีหลังหนึ่งรับสอนตำรา ภรรยาของอาจารย์ท่านนั้นจากไปด้วยโรค เหลือเพียงท่านแม่กับบุตรชายวัยสิบขวบ ข้าจะไปสอบถามให้”
“ตกลง เช่นนั้นก็รบกวนท่านป้าด้วย” หลิวเต้าเซียงไม่ได้บอกเื่ที่หลิวซานกุ้ยไม่้าไปเรียนในสถาบันให้แม่เฒ่าจางทราบ นางคิดว่า เื่นี้ขอเอ่ยต่อหน้าอาจารย์จะดีกว่า
“คืนนี้ข้าจะไปถามให้ เที่ยงวันรุ่งขึ้นเ้ามา รับรองว่ามีข่าวคราวแน่” แม่เฒ่าจางรับประกันกับนางว่าจะไปสืบถามให้
หลิวเต้าเซียงถอนหายใจ วาสนาของมนุษย์ช่างน่าพิศวง ตอนนั้นนางถูกบีบบังคับจนหมดหนทาง และแล้วก็ได้ทำการค้ากับแม่เฒ่าจางเป็ครั้งแรก นับจากนั้น นางก็ไม่เคยต้องกังวลอีกเลย
ที่สําคัญคือ นางยังแอบี้เีได้ และด้วยความที่นางเป็เพียงเด็กสาวตัวน้อย จึงไม่สะดวกที่จะะโป่าวร้องขายของในตลาด
หลังจากที่หลิวเต้าเซียงพูดคุยกับแม่เฒ่าจางเรียบร้อย จึงไปตามหาหลิวซานกุ้ยที่ห้องโถง แล้วกล่าวลาเกาจิ่ว พ่อครัวจางและแม่เฒ่าจาง จากนั้นแบกตะกร้าแล้วจากไป
เนื่องจากเนื้อวัวตุ๋นที่หลิวเต้าเซียงซื้อไว้เมื่อวานยังกินไม่หมด ด้วยเหตุนี้นางกับหลิวซานกุ้ยจึงตรงกลับบ้าน
หลังจากกลับไป หลิวซานกุ้ยก็มีแรงจูงใจมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงบอกหลิวเต้าเซียงว่าจะไปทีู่เาด้านหลังเพื่อจับปลาเฉา วันรุ่งขึ้นจะได้ไม่ต้องมาจับอีก
หลิวเต้าเซียงคิดว่า หากลูกชิ้นปลาเป็ที่ถูกใจของนายท่านจิ่วผู้นั้น คงได้เงินเป็กอบเป็กำ
นางจึงกลับไปคิดหาหนทางทำลูกชิ้นปลาให้ดี ส่วนแม่เฒ่าจางก็บอกกล่าวเื่ที่สืบมาให้แก่เกาจิ่วฟัง
พ่อครัวจางได้ยินคําพูดนั้นและอดไม่ได้ที่จะดุด่าว่า “เหรัญญิกหลิวชั่วช้าจริง จิตใจอำมหิต ตอนนั้นข้าไม่รู้ เขาเอาเนื้อตากแห้ง ปลาตากแห้งมาจากบ้านทุกปี เอาข้าวเปลือกไปแลกเป็ข้าวขาวที่สีเรียบร้อย ส่วนหมูเค็มกับปลาเค็มก็ขายให้โรงครัวของเรา ข้าว่า เขาคงคิดว่าตนเองเป็นายท่านไปแล้ว เพียงแต่เ้าหลิวซานกุ้ยนี่ก็ไม่เอาไหนเหลือเกิน ปล่อยให้พี่น้องรังแกเอาได้”
เกาจิ่วคิดเื่นี้เล็กน้อยแล้วพูดว่า “ทุกบ้านต่างมีคัมภีร์ที่ยากแก่การอ่าน เ้าเองก็ได้ยินพี่จางบอกแล้วว่า ปู่กับย่าของแม่สาวน้อยนั่นลำเอียงมากไม่ใช่หรือ?”
“บางทีอาจเป็เพราะเหตุนี้ บรรพบุรุษของเขาจึงทนดูไม่ได้ และส่งแม่สาวน้อยผู้มีไหวพริบมาให้เขา” แม่เฒ่าจางเชื่อเื่เทพเซียน ด้วยเหตุนี้ สำหรับเื่ที่หลิวซานกุ้ยพบเจอ นางไม่เพียงแค่สงสาร แต่ยังรู้สึกว่าอยากปลอบโยน
แม่สาวน้อยหลิวเต้าเซียงเก่งกาจยิ่งนัก แถมยังเ้าเล่ห์ไม่เบา คงไม่ใช่คนใสซื่อบริสุทธิ์
“กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง เราเลิกพูดถึงเื่นั้นก่อน ว่าอย่างไร หลิวซานกุ้ยผู้นั้นเคยเล่าเรียนมาก่อนหรือ ข้าว่าแล้วเชียว ฟังจากคำพูดคำจาของเขาไม่เหมือนคนทำนาทั่วไป” เกาจิ่วเพิ่งจะรับรู้ถึงสิ่งที่ผิดสังเกตมาจากอีกฝ่าย นั่นก็คือการพูดจา
“อันที่จริงข้าเองมองเขาไม่ใช่คนโง่เขลา เพียงแต่องค์ฮ่องเต้ของราชวงศ์โจวได้กล่าวไว้ว่า ความกตัญญูกตเวทีนั้นยิ่งใหญ่เหนือ์ หากว่าเขาไม่เชื่อฟังบิดามารดา ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับคำครหาว่าเป็คนอกตัญญูก็เป็ได้”
คําพูดของเกาจิ่วสะท้อนกับพ่อครัวจาง สาเหตุที่เขาติดตามเกาจิ่วมายังตำบลเหลียนซาน ก็เพราะว่าหน่ายใจกับเื่ราวย่ำแย่ภายในบ้านของตัวเองไม่ใช่หรือ?
บิดาของเขาเพิ่งจะถูกฝังลงดิน พี่น้องของเขาก็เอ่ยเื่แยกบ้านกันทันใด แล้วยังเห็นมารดาของตนลำเอียงให้กับพี่ใหญ่ หัวใจที่หนาวเหน็บของเขาทำให้จำต้องลาจากบ้านเกิดมายังตำบลเหลียนซาน
“แล้วนายท่านจิ่ว เื่อาจารย์ผู้สอน เราจะจัดหาให้หรือไม่?” แม่เฒ่าจางเดาความคิดในใจของเกาจิ่วไม่ถูก นางคิดว่าทำตามคำสั่งที่ได้รับถึงจะเหมาะสม
เกาจิ่วยิ้ม “ในเมื่อนางขอให้เ้าสอบถาม เ้าก็ช่วยนางสอบถาม เื่ราวเหล่านี้ของนางต้องปิดบังหลิวเหรินกุ้ยไว้ก่อนเป็การดี”
พ่อครัวจางได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้ามองต่ำ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
แม่เฒ่าจางไม่ได้คิดมากเท่ากับเขา นางจึงถามว่า “ข้าได้ยินมาว่านายท่านจิ่วไม่พอใจเขามานาน นั่นสินะ มีอย่างที่ไหนทำเหมือนโรงเตี๊ยมคือบ้านของตน คิดจะกินอะไรก็เอากลับบ้าน”
ลูกชายของแม่เฒ่าจางยังทํางานในโรงเตี๊ยม หากว่ามีโอกาส นางเองก็อยากหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้กับลูกชาย
เกาจิ่วหรือจะไม่ทราบว่านางคิดอะไรอยู่ เพียงแต่หลิวเต้าเซียงและนางก็เข้ากันได้ดี เหตุใดจึงไม่ไหลตามน้ำเพื่อรักษาน้ำใจไว้ก่อนเล่า ต่อไปหากตนเอง้าจัดการเื่ใด ก็แค่สั่งลงไปเป็พอ
“บอกให้เขาฝึกฝนกับหลิวเหรินกุ้ยให้มาก เพียงแต่…เขายังเด็กเกินไปหน่อย เอาสถานการณ์ได้ไม่อยู่ และเพิ่งเข้ามาในโรงเตี๊ยมได้ไม่ถึงสองปี ยังต้องฝึกปรืออีกหลายปี”
ความหมายของเขาคือ ตอบรับคำขอของแม่เฒ่าจางแล้ว
“ขอบพระคุณนายท่านจิ่ว ขอบพระคุณนายท่านจิ่ว ต่อไปหากนายท่านจิ่ว้าสิ่งใด ขอเพียงชี้นิ้วไปทิศทางนั้น ครอบครัวเราพร้อมจะทำตาม” แม่เฒ่าจางดีใจ คำพูดพรั่งพรูออกมาราวกับไม่คิดเงิน
นายท่านจิ่วฟังอย่างมีความสุขและหัวเราะ “ถ้าลูกตัวน้อยของเ้าเป็เหมือนเ้า แม้เ้าจะไม่เอ่ย ข้าเองก็จะดูแลเป็อย่างดี คงได้เป็เหรัญญิกมือดีเชียวล่ะ”
แม่เฒ่าจางและพ่อครัวจางได้ยินดังนั้นก็หัวเราะตาม ยิ่งรู้สึกดีใจยิ่งนัก
พริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไปหนึ่งคืน
หลิวซานกุ้ยใช้เวลาเมื่อวานทั้งวันตกปลาในแม่น้ำที่เชิงเขาด้านหลัง เนื่องจากนี่เป็่ที่เว้นว่างจากงานเกษตร แรงงานในหมู่บ้านต่างก็ไปรับงานนอก ด้วยเหตุนี้ตรงเชิงเขาด้านหลังจึงไม่ค่อยมีผู้คนนัก
-----
