แต่เยวี่ยเจาหรานนั้นไม่สามารถ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำ แต่เพราะเขาทำไม่ได้จริงๆ !
ขณะที่เยวี่ยเจาหรานพยายามจะยกมือขึ้นซัดกำปั้นใส่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเพื่อให้นางเงียบลงนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ดูเหมือนไม่มีสติสตังกลับตวัดสายตาคมกริบใส่เขาราวกับมีดบิน ทำให้เยวี่ยเจาหรานเข้าใจถึงความร้ายกาจอย่างชัดแจ้ง
ด้วยเหตุนี้เยวี่ยเจาหรานที่อับจนหนทางจึงได้แต่แบกำปั้นของตน เปลี่ยนจากหมัดเป็ฝ่ามือ แล้วลูบที่ผมของตนเองอย่างเจี๋ยมเจี้ยม อีกทั้งยังเสริมรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างถูกจังหวะ ใช้แววตา ‘เป็มิตร’ มองไปยังเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ยังคง ‘บ้าคลั่ง’ อย่างต่อเนื่อง “ได้เลย ข้าเข้าใจแล้ว”
เพื่อทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเชื่อว่าตนเข้าใจแล้วจริงๆ เยวี่ยเจาหรานถึงกับยกมือขึ้นอย่างงุ่มง่าม แล้วปรบมือให้กับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างรู้ความ...
และก็เป็เช่นนี้ เยวี่ยเจาหรานที่อยากจะหยุดก็หยุดไม่ได้ อยากจะปิดหูก็ไม่กล้าปิด จึงได้แต่แสร้งยิ้มปลอมๆ ฟังเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเล่นวงจรขั้นตอนการเสียบริสุทธิ์ของตนทั้งหมดโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว ั้แ่จวนเยวี่ยโคลงเคลงไปตลอดทางจนถึงจวนเยี่ยน
ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง วงจรที่เล่นวนเวียนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงพักไปได้ชั่วคราว เยวี่ยเจาหรานดึงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เงียบสงบไปชั่วคราวมาข้างๆ แล้วเอ่ยเตือนสติเบาๆ “ถึงบ้านแล้ว เื่เสียไม่เสียตัวอะไรนั่น เ้าก็อย่าเพิ่งพูดออกไปเลยนะ ได้หรือไม่?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลอกตารอบหนึ่ง แล้วพยักหน้าอย่างแข็งทื่อ
เมื่อได้รับปฏิกิริยาเช่นนั้นของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เยวี่ยเจาหรานถึงค่อยๆ วางใจลงได้ การจะเรียกบ่าวรับใช้สองคนเพื่อลงจากรถนั้นก็ยุ่งวุ่นวายจนเกินควร
ส่วนเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ยามปกติน่าจะรำคาญเื่เช่นนี้กลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็คนละคน นางไม่พูดอะไรเลย เมื่อแสงอาทิตย์นอกรถม้าส่องลงมาบนใบหน้าอันหดหู่ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ในใจของเยวี่ยเจาหรานก็พลันเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย บางที คราวนี้เขาคงทำร้ายเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้วจริงๆ
ทั้งสองคนกลับไปยังเรือนเล็กของตนโดยไม่พูดไม่จา กระทั่งไม่มีเวลาได้ไปพบแม่ทัพเยี่ยนและฮูหยินเยี่ยน เยวี่ยเจาหรานมองสภาพของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่นั่งเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะด้านข้าง ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ นี่เป็ครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วผู้ที่ตนมองเป็บุรุษมาตลอด ชัดเจนว่าส่วนลึกก็ยังเป็เด็กสาวไม่ได้ต่างไปจากคนเลย...
ต่อมา เยวี่ยเจาหรานนั้นถือกรอบขึงผ้าปักในมือ ปักสะเปะสะปะทางซ้ายเข็มหนึ่งทางขวาเข็มหนึ่งอยู่ตลอดบ่าย ส่วนเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นก็นั่งนิ่งเงียบกริบ ฟุบอยู่บนโต๊ะกลมไม่พูดไม่ขยับอย่างนั้นเป็เวลานาน
จนกระทั่งแสงตะวันอัสดงในยามเย็นแผ่ขยายไปทั่วบริเวณจวนเยี่ยน การมาถึงของหลิงหลงก็ได้ทำลายความเงียบสงบในห้องลง
เสียงเคาะประตูก๊อกๆ ดังขึ้น เยวี่ยเจาหรานลนลานจนทำกรอบขึงผ้าในมือหล่น จากนั้นจึงเดินไปที่ประตูด้วยความตึงเครียด เขาแง้มประตูเพียงครึ่งเดียว แล้วยื่นศีรษะเล็กๆ ของตนออกไปเอ่ยถาม “หลิงหลงเองหรือ มีธุระอะไร?”
เมื่อหลิงหลงเห็นเช่นนั้น แม้นางจะแปลกใจแต่ก็ไม่อาจถามไปตรงๆ ได้ว่าเหตุใดจึงเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง จึงได้แต่ตอบคำถามของเยวี่ยเจาหรานไปตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ฮูหยินเชิญท่านและคุณชายไปทานข้าวที่เรือนใหญ่ ยามนี้กำลังรอคอยท่านทั้งสองอยู่เ้าค่ะ”
“กินข้าว?” เยวี่ยเจาหรานเกิดความสงสัยในใจ แล้วหันไปมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เหม่อลอยไร้อารมณ์อีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว ขณะกำลังจะปฏิเสธ ก็ถูกหลิงหลงคัดค้านอย่างเด็ดขาด “ฮูหยินน้อย วันนี้ท่านไม่ไปไม่ได้เ้าค่ะ อย่าทำให้ข้าลำบากใจเลยนะเ้าคะ...”
เยวี่ยเจาหรานขมวดคิ้ว เกาหัวโดยไม่รู้ตัว แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “มีเื่สำคัญหรือ?”
หลิงหลงชะงักไป สุดท้ายก็หลุบตาลง เอ่ยอย่างขออภัยอย่างยิ่ง “ท่านรีบไปเถิดเ้าค่ะ อย่าถามอีกเลย...”
ชั่วขณะนั้น เปลือกตาของเยวี่ยเจาหรานก็เริ่มกระตุกขึ้นมาไม่หยุด เขารู้ว่าวันนี้ตนและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคงจะซวยแล้ว ทั้งยังเป็หายนะที่ไม่อาจหลีกหนี
แต่ตัวการแห่งหายนะครั้งนี้ก็ไม่ได้ให้เวลาเยวี่ยเจาหรานได้ใคร่ครวญ และกำลังบังคับให้เยวี่ยเจาหรานรีบพาเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไปที่เรือนใหญ่ด้วยกัน เยวี่ยเจาหรานไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขาได้แต่พยักหน้า ปิดประตูแล้วเข้ามาดึงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว “นั่นมันอะไร วันนี้เหมือนจะมีเื่สำคัญ เราไปกินข้าวที่เรือนใหญ่กันเถอะ เร็วเข้า”
โชคดีที่แม้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะไม่พูดอะไร แต่อารมณ์คล้ายจะดีขึ้นกว่าเดิมมาก ไม่เอ่ยให้มากความ นางก็พยักหน้าให้กับเยวี่ยเจาหราน ก่อนจะลุกขึ้น
ถึงแม้สถานการณ์จะไม่ค่อยดี แต่เมื่อเื่มาถึงตัวแล้วก็มีแต่ต้องกัดฟันทำไม่ใช่หรือ? เยวี่ยเจาหรานและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเดินตามหลังหลิงหลงจนมาถึงโถงบุปผาของเรือนใหญ่เหมือนกันทุกย่างก้าว
“เปี่ยวเกอ [1] ...!”
กลับกลายเป็ว่าทันทีที่ทั้งสองก้าวเข้าไปในโถงบุปผา ก็มีหญิงสาวที่สวยสดชดช้อยผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาหาเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว อีกทั้งยังดึงเยวี่ยเจาหรานออก แล้วเบียดเขาไปอีกด้านหนึ่ง
เปี่ยวเกอ? เยวี่ยเจาหรานไม่รู้ความเป็มา จึงได้แต่เหลือบมองหญิงสาวผู้นั้นดึงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไปที่โต๊ะ และจัดเตรียมให้นางอย่างเรียบร้อยด้วยสายตาเ็า ตนเองนั้นก็ทำได้เพียงตามไปข้างหลังอย่างเงียบๆ เลือกที่นั่งใกล้ที่สุดแล้วนั่งลง
“นี่คือลูกพี่ลูกน้องของอวิ๋นเฟย ชื่อว่าชิวเยวี่ย” พร้อมกันกับเสียงที่เอ่ยแนะนำของฮูหยินเยี่ยนดังขึ้น เยวี่ยเจาหรานก็เงยหน้าขึ้นอย่างแข็งทื่อ เก็บความสงสัยในดวงตาเอาไว้แล้วเพียงพยักหน้า “อ๋อ สวัสดีจ้ะ… เปี่ยวเม่ย [2] ?”
แต่ลูกพี่ลูกน้องที่ถูกเรียกว่าชิวเยวี่ยนั้นไม่ได้เห็นเยวี่ยเจาหรานอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย รวมไปถึงคำทักทายอันไร้ิญญานี้ของเยวี่ยเจาหรานเองก็ถูกเมินเช่นกัน ในดวงตาของนางมีเพียงเปี่ยวเกอที่ไม่อาจพูดจาได้ชั่วคราวผู้นั้น และยังมีชามข้าวที่เต็มจนจะล้นออกมาเบื้องหน้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอีก...
เยวี่ยเจาหรานที่กำลังก้มหน้าก้มตา ปราดมองไม่กี่คนบนโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง นอกจากแม่ทัพเยวี่ยที่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไม่อยู่ที่นี่ ไม่กี่คนในจวนเยี่ยนนี้ก็นับว่าพร้อมหน้าแล้ว
ฮูหยินเยี่ยนผู้ที่แน่นอนว่าเป็ผู้าุโคนหนึ่งของตระกูล แค่เห็นนางมองไปยังท่าทางของสวี่ชิวเยวี่ยและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วด้วยสีหน้าพึงพอใจก็พอจะเดาได้ ละครตลกร้ายในวันนี้คงเป็เื่ที่นางจงใจเตรียมเอาไว้ แต่จะทำไปเพื่ออะไรนั้น ก็เดาได้ไม่ยาก แน่นอนว่าเพื่อแสดงอำนาจต่อตน แต่น่าเสียดายที่ฮูหยินเยี่ยนผู้นี้คิดวิธีการผิดเสียแล้ว กลับกันยังเพิ่มความสนุกให้ตนไม่น้อย
เมื่อมองไปยังเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตัวละครเอกอีกคนหนึ่ง ยามนี้ราวกับตุ๊กตาหุ่นเชิดอันไร้ิญญาในมือของสวี่ชิวเยวี่ย ที่เคลื่อนไหวเคี้ยวและกินด้วยใบหน้าเฉื่อยชา ดูไร้รสชาติจริงๆ
และเมื่อผสมผสานกับใบหน้าที่กระตือรือร้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยของสวี่ชิวเยวี่ย มองรวมกันแล้ว เพียงทำให้เยวี่ยเจาหรานรู้สึกว่าน่าตลกขบขันขึ้นมา ราวกับได้เห็นตอน้ำแห่งความสุขท่ามกลางชีวิตครอบครัวอันน่าเบื่อหน่าย...
“เปี่ยวเกอ ท่านอิ่มแล้วหรือ?”
ตอนที่เสียงอ่อนหวานของสวี่ชิวเยวี่ยลอยเข้าหู เมล็ดแตงในมือของเยวี่ยเจาหรานก็เกือบจะหล่น เพราะเสียงนั้นมันช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก อยากจะอ้วก!
แต่ประสบการณ์ในการคาดคะเนหลายปีบอกกับเยวี่ยเจาหราน ห้ามอ้วก ห้ามอ้วก เว้นเสียแต่ทนไม่ไหว...
เพื่อรักษาบุกลิคอันมุมานะในหน้าที่ของตน เยวี่ยเจาหรานถึงกับอดกลั้นอาการคลื่นไส้ที่กำลังล้นเอ่อขึ้นมาจากลำคอ เผชิญหน้าด้วยรอยยิ้มอย่างเคย แล้วตั้งอกตั้งใจกินข้าวไป
เยวี่ยเจาหรานที่ก้มลงไปทันเวลานั้น ไม่ได้สนใจสายตาคมกริบราวกับสามารถฆ่าคนได้ของเปี่ยวเม่ยสวี่ที่ส่งให้ตนยามที่ไม่ทันสังเกต ในใจเพียงคิดวิจารณ์ว่าสายตาในการเลือกเมียเล็กเมียน้อยของฮูหยินเยี่ยนนั้นก็ไม่ได้เท่าไรนี่นา...
เชิงอรรถ
[1] เปี่ยวเกอ (表哥) หมายถึง พี่ชายลูกพี่ลูกน้อง (ลูกพี่ลูกน้องที่เป็ผู้ชายและอายุมากกว่า)
[2] เปี่ยวเม่ย (表妹) หมายถึง น้องสาวลูกพี่ลูกน้อง (ลูกพี่ลูกน้องที่เป็ผู้หญิงและอายุน้อยกว่า)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้