นายน้อยมีนางในดวงใจแล้ว เป็สตรีที่เย้ายวนราวกับปีศาจสาว
ถึงแม้หมู่บ้านจะใหญ่โต แต่การแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้านภายในบ่ายนี้ก็ยังถือเป็เื่ง่ายดาย
แต่การจะแพร่ไปถึงสองหูที่ไม่สนใจเื่ภายนอก มีแต่ใจอ่านคัมภีร์ล้ำค่าเพียงอย่างเดียวเช่นอ๋าวหรานแล้วยังค่อนข้างยากทีเดียว แน่นอนหากอ๋าวหรานได้ยินข่าวนี้ ต้องทอดถอนใจเป็แน่ว่าการจากมาของเขาเป็การตัดสินใจที่ชาญฉลาดอะไรเยี่ยงนี้
ดีที่ตอนนี้อ๋าวหรานยังคงรั้งอยู่ในโรงยา ตัดขาดจากโลกภายนอก
ห้องสมุนไพรนี้ปลูกสมุนไพรไว้แค่สองชนิด เป็พืชที่ชอบแดดอย่างมากทั้งคู่ นอกจากหลังคากระจก้าแล้ว ทั้งสองด้านก็ยังเป็กำแพงไฟ1 ทั้งห้องร้อนเป็อย่างมาก อ๋าวหรานนั่งอยู่เพียงครู่เดียวก็เหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าแล้ว
สมุนไพรทั้งสองชนิดนี้มีชื่อว่า ‘หญ้าหยุนเสีย’ กับ ‘หญ้าว่านชุน’
หญ้าหยุนเสีย2 มีใบกว้างและยาว ตัวใบอวบใหญ่มาก ที่พิเศษกว่าอะไรทั้งมวลคือใบที่มีสองสีเป็สีแดงกับส้ม และสีทั้งสองก็รวมเข้าด้วยกัน ไล่ระดับจนกลายเป็สีรุ้งราวกับสีของเมฆบนท้องฟ้ายามโพล้เพล้ ยาชนิดนี้ใช้เป็ยาฟื้นฟูและปรับสมดุลของกำลังภายในที่ใช้กันบ่อยๆ อ๋าวหรานเด็ดใบที่ค่อนข้างลีบแบนมาใบหนึ่ง ใส่ปากเคี้ยวแล้วกลืนลงไป รู้สึกเหมือนกำลังภายในกำลังหมุนเวียนและปลอดโปร่งยิ่งขึ้น
ส่วนอีกอันคือหญ้าว่านชุน มีใบเล็กแหลม เป็พืชที่มีขนาดเล็กเป็อย่างมาก เกรงว่าจะมีขนาดพอๆ กับกำปั้นของเด็กผู้หญิงเท่านั้น แต่ใบของพืชต้นนี้ดกเป็อย่างมาก สรรพคุณของหญ้าชนิดนี้ไม่เหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอกของมันที่ดูไม่ค่อยเท่าไร เรียกได้ว่าโดดเด่นเป็อย่างยิ่ง
อ๋าวหรานอ่านคำบรรยายในคัมภีร์สมุนไพร คิดๆ แล้วก็ตัดสินใจว่าไม่ชิมดีกว่า ดูอย่างเดียวเป็พอ
หญ้าว่านชุน3 สรรพคุณก็เหมือนกับชื่อของมัน เป็ยาปลุกกำหนัดที่รุนแรงมาก แค่กินเข้าไปเพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกร้อนรนทรมานยิ่ง หากกินลงไปทั้งหมดเกรงว่าคงจะเผาร่างกายจนมอดไหม้ แน่นอนว่าหญ้านี้ไม่ได้ใช้ทำยาปลุกกำหนัดเพียงอย่างเดียว หากใช้ในปริมาณน้อยก็สามารถนำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นเพื่อใช้รักษาอาการอ่อนเพลียและความเย็นภายในร่างกาย
อ๋าวหรานจำกลิ่นและรสที่ค่อนข้างพิเศษของสมุนไพรชนิดนี้ รวมถึงตำรับยาที่เกี่ยวข้องด้วยเสร็จแล้วก็ตัดสินใจไปที่ห้องถัดไป สุดท้ายพอเปิดประตูก็ถูกอกใครก็ไม่รู้ชนเข้าอย่างจัง
“ตาบอดหรืออย่างไรกัน หา? เดินดูตาม้าตาเรือไม่เป็หรือ!”
เสียงดังแสบแก้วหู อ๋าวหรานแค่ได้ยินเสียงคุ้นเคยนี้ก็อดตากระตุกไม่ได้ ที่ว่าโลกกลมมันเป็แบบนี้เองสินะ
คนผู้นั้นก็เงยหน้ามองอ๋าวหราน น้ำเสียงสูงขึ้นทันใด “อ้าว คุณชายอ๋าวเองหรือ โลกช่างกลมจริงๆ นะเนี่ย”
เยี่ยม คิดเหมือนกันอีก
จิ่งเซิ้งปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า เดินกางขาก้าวใหญ่ ด้านหลังเขายังมีลูกหลานของตระกูลจิ่งสองสามคนตามมาด้วย ท่าทางว่างงาน เดินเข้ามาหาอ๋าวหรานอย่างอวดดี มุมปากยกยิ้มขึ้น
อ๋าวหรานอดนินทาในใจไม่ได้ว่า ‘เ้ามันคุณชายเสเพล วันๆ เอาแต่หาเื่คนอื่น จู่ๆ มาที่โรงยาทำอะไร?’
มาที่นี่ แน่นอนว่าต้องมาหาสมุนไพร ส่วนมาหาสมุนไพรอะไรนั้นก็ต้องดูว่าห้องนี้มียาอะไรบ้าง
อ๋าวหรานเห็นคนผู้นี้ก้าวเท้าเข้ามา เส้นเอ็นบนหัวก็กระตุก
จิ่งเซิ้งดวงตาเรียวยาว ถึงแม้ขนตาจะไม่ยาวมาก แต่ก็เป็แพหนาอย่างยิ่งราวกับมีสีดำเข้มติดอยู่บนหนังตา เหมือนสาวสมัยปัจจุบันที่เขียนขอบตาสีดำเข้ม แล้วยังชอบกะพริบตาอยู่บ่อยๆ แสดงความเย้ายวนออกมาอย่างเต็มที่ ริมฝีปากเขาบางมาก แต่สีปากกลับแดงสด ดูแล้วก็เย้ายวนจริงๆ “คุณชายอ๋าว รอบที่แล้วข้าพูดกับเ้าไปว่าอย่างไร หากเจอกันอีกก็จะซ้อมเ้าอีกครั้ง เ้าลืมแล้วหรือ?”
พูดจบแล้วยังส่งเสียง “ชิๆ” ออกมาสองครั้ง รวมกับน้ำเสียงอวดดีที่พยายามเสแสร้งมีมารยาท ก็ยิ่งบ่งบอกความหมายได้ว่า 'เหตุใดเ้าถึงความจำไม่ดีอย่างนี้เล่า แล้วต้องบุกเข้ามาเพื่อรนหาที่เองเลยหรือ?'
พวกเด็กๆ ด้านหลังยังอดหัวเราะ “ฮี่ๆ” ออกมาไม่ได้ ชัดเจนว่าอยากเห็นอ๋าวหรานซวยเป็แน่
จิ่งเซิ้งราวกับไม่สนใจพวกเด็กๆ ที่อยู่ด้านหลังเลยแม้แต่น้อย เมื่อพูดจบก็วางมือบนบ่าของอ๋าวหราน เวลาเดียวกันก็แอบเคลื่อนย้ายกำลังภายใน มือขาวๆ นั้นก็ยิ่งซีดขาวขึ้นเพราะออกแรงที่ข้อต่ออย่างชัดเจน จนบ่าของอ๋าวหรานส่งเสียงดัง “กรอบๆ”
เขาแอบถอนหายใจว่ามือของเ้าเด็กนี่สวยมากจริงๆ แล้วอ๋าวหรานก็ตัดสินใจได้ว่าจะไม่ทนอีกต่อไป ควบคุมกำลังภายในในร่างให้เคลื่อนไปที่บ่าราวกับมีเข็มแทงออกมา มือของจิ่งเซิ้งรู้สึกราวกับถูกไฟช็อต ชาเป็ที่สุด บังคับให้เขาต้องถอนมือออกในทันใด จนถอยหลังไปสองก้าว
คนด้านหลังรีบกุลีกุจอมาประคองเขา
จิ่งเซิ้งะโออกมาว่า “ไสหัวไป” ทำให้พวกเขาใจนไม่รู้จะทำเช่นไร
จิ่งเซิ้งที่ถูกฉีกหน้านวดมือที่ชา หันศีรษะไปมองอ๋าวหราน ดวงตาเรียวยาวเบิกกว้างอย่างแข็งกร้าว ะโอย่างโกรธแค้นราวกับเสียงสายฟ้าฟาด “เ้ามันรนหาที่ตาย!”
พูดจบก็ชักกระบี่ออกจากร่าง ้าบุกโจมตี อ๋าวหรานถอยหลังไปก้าวใหญ่ หลบการโจมตีของเขา “คำนี้รอบที่แล้ว เ้าก็พูดไปแล้ว”
จิ่งเซิ้งแทงกระบี่เข้ามาอีกรอบ อ๋าวหรานยื่นมือออกไปหนีบปลายกระบี่ไว้ ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว
“คุณชายจิ่ง ข้าไม่้าหาเื่เ้า ถึงแม้รอบที่แล้วจะไม่ระวัง ด่าว่าเ้าไปสองสามประโยค แต่เ้าก็ซ้อมข้าไปแล้ว คิดว่าเราสองคนหายกันแล้วเสียอีก เ้าจะมาบีบคั้นกันอีกทำไม ไยต้องมาหาเื่ข้า หาเื่ให้ตัวเอง?”
ริมฝีปากบางของจิ่งเซิ้งกระตุกขึ้น สีหน้าบ้าคลั่งดุร้าย “หายกัน? เ้าด่าข้าไปครั้งหนึ่ง คิดว่าถูกต่อยไปสองทีก็นับว่าหายกันแล้วหรือ?”
อ๋าวหรานพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ฮ่าๆๆ” จิ่งเซิ้งอดหัวเราะออกเสียงไม่ได้ ในเสียงหัวเราะแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “คุณชายอ๋าว เ้าช่างไร้เดียงสาจริงๆ !”
“เ้าไม่ดูสักหน่อยหรือว่าตัวเองนับเป็อะไร? ก็แค่ไอ้คนไร้บ้าน หนอนสกปรกที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด กระเสือกกระสนมีชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัว ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ราวกับสุนัขก็ไม่ปาน แต่ยังมาโอหังถึงเพียงนี้ ข้าเป็คนที่เ้าด่าว่าได้หรือ? เ้าถึงคิดจะหายกัน? ข้าบอกเ้าให้เอาบุญแล้วกัน เ้าคุกเข่าแล้วโขกหัวให้ข้าสิบที ตัดลิ้นตัวเองทิ้ง ข้าถึงค่อยพิจารณาหายกันกับเ้า”
อ๋าวหรานฟังเขาพูดแล้วปวดหัว แต่ตอนนี้สามารถรับรองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่าเ้าเด็กนี่ต้องเป็ที่รักของจิ่งเหวินซานมากกว่าจิ่งเคอแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกเลี้ยงมาเป็เด็กโอหัง ไม่เกรงกลัวฟ้าดินเช่นนี้
“คุณชายจิ่ง ในเมื่อเป็เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาสู้กันทุกครั้งที่เจอกันเถอะ อย่างไรเสียก็ถือเป็เื่ใหม่ ถือเสียว่าเป็การแลกเปลี่ยนวิชากันก็แล้วกัน”
“เ้า!”
“ไปสู้กันด้านนอกดีหรือไม่ ที่นี่เป็โรงยาของตระกูลจิ่งของเ้า หากถูกทำจนพังแล้ว ข้าคงไม่เสียดายเท่าไร แต่ญาติทั้งหลายในตระกูลเ้าคงจะทำใจลำบากนะ”
“อ๋าว...” จิ่งเซิ้งพูดคำว่า “อ๋าว” ออกมาได้ไม่ทันไรก็ชะงักไป ถึงแม้เขาจะรู้ว่าอ๋าวหรานแซ่อะไร แต่กลับไม่เคยสนใจว่าคนผู้นี้ชื่ออะไร พูดแซ่ออกมาแล้ว แต่ชื่อกลับค้างไว้อยู่ ความชะงักค้างยาวนานที่ปรากฏขึ้นทำให้เหล่าลูกกระจ๊อกด้านหลังหยุดลมหายใจคาไว้ที่คอหอยไปด้วย จะพ่นหรือสูดเข้าก็ไม่ได้ ทำให้ทรมานอย่างยิ่ง
อ๋าวหรานก็ถูกเสียงะโที่ออกมาเพียงครึ่งเดียวแล้วชะงักไปของเขาทำให้นิ่งงันไปเช่นกัน ทนอยู่ประมาณสองสามวินาทีก็ทนไม่ไหวจนหัวเราะออกมา
จิ่งเซิ้งถูกเสียงหัวเราะที่ชัดเจนยิ่งสองเสียงนี้ทำให้หน้าแดงก่ำ อับอายกลายเป็โกรธ “เราออกไปสู้กันด้านนอก! ข้า้าชีวิตเ้า!”
อ๋าวหรานเห็นด้วยอย่างยิ่ง เื่ที่สามารถใช้การต่อยตีมาแก้ไขได้นับว่าไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร หากมีอีกก็สู้อีกสักหลายรอบก็แค่นั้น
การแพ้ชนะระหว่างคนทั้งคู่แทบไม่ต้องเดาให้เหนื่อย จิ่งเซิ้งราวกับว่าไม่ได้รับสืบทอดพร์ของบิดามาเลย หรือไม่ก็เพราะเ้าเด็กนี่วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่น แกล้งคนอื่น และะโโลดเต้นไปมา ส่วนวรยุทธ์กลับไม่ได้เรียนสักเท่าไร อ๋าวหรานไม่อยากหาเื่ใส่ตัว พยายามกดกำลังภายในเอาไว้อย่างสุดกำลัง แค่ใช้หมัดและแข้งต่อยตีกับเขาเท่านั้น น่าเสียดายที่แค่กำลังกายของเ้าเด็กนี่ก็ไม่ไหวแล้ว กี่ร้อยกระบวนท่าที่สู้กันมาทำให้เขาเหนื่อยจนหมอบอยู่บนพื้น หอบหายใจราวกับวัว
อ๋าวหรานมองเขาอย่างผู้ที่เหนือกว่า “คุณชายจิ่งจะเอาอีกหรือไม่?”
จิ่งเซิ้งพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่สำเร็จจึงอดโมโหขึ้นมาไม่ได้ กำหมัดแน่นทุบกับพื้น “อ๋าว...ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
ไม่รู้ว่าเป็ประเพณีที่สืบต่อกันมาั้แ่เมื่อไร จึงรู้สึกว่าหากจะพูดข่มกันแล้วไม่เอ่ยชื่อของอีกฝ่ายก็คงรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง ราวกับว่าจะดูไม่ยิ่งใหญ่พอ น่าเสียดายที่ไม่รู้ชื่อแซ่ของอีกฝ่ายแบบนี้ก็นับว่ากระอักกระอ่วนใจแล้ว
เมื่อทนไว้ไม่หัวเราะออกมา อ๋าวหรานก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ครั้งหน้าที่เจอกัน เราค่อยมาต่อกันอีกที วันนี้ข้ามีธุระ คุณชายจิ่งตามสบาย”
พูดจบก็เดินไปยังห้องสมุนไพรทันที
พออ๋าวหรานจากไป พวกลูกหลานของตระกูลจิ่งก็รีบมุงเข้ามา ถามจิ่งเซิ้งด้วยสีหน้าเป็กังวลว่าาเ็ตรงไหนหรือไม่ แล้วพูดอีกว่า “พี่จิ่งเซิ้ง หากไม่ไหวจริงๆ ก็รายงานท่านลุงใหญ่เหวินซานเถิด ให้ท่านลุงใหญ่มาจัดการกับเ้าเด็กนี่”
จิ่งเซิ้งสะบัดพวกนั้นออกไป ออกแรงครั้งนี้เ็ปไปทั้งร่างจนจิ่งเซิ้งอดกัดฟันเม้มปากไม่ได้
แล้วพวกนั้นก็เข้ามาหาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับไม่กล้าแตะเขา “พี่จิ่งเซิ้ง ท่านไม่เป็ไรใช่หรือไม่?”
จิ่งเซิ้งตวาด “ไสหัวไปให้หมด! ยังไม่ตายหรอก! เื่นี้ใครกล้าเอาไปบอกท่านพ่อข้า ข้าจะเอามันไปผูกไว้ที่หลังเขา ผูกไว้สักเจ็ดแปดวัน!”
เมื่อได้ฟัง พวกเขาก็รีบหุบปากลงทันที อย่างไรเสียเื่นี้...จิ่งเซิ้งผู้โอหังชั่วร้าย หากบอกว่าจะทำก็ต้องทำแน่ ไม่มีลังเล
อ๋าวหรานไม่ได้ลงมือหนัก แถมยังโจมตีน้อยมาก อย่างมากก็แค่สกัดกั้นแล้วก็ป้องกัน คาดว่าจิ่งเซิ้งก็คงไม่ได้รับาเ็อะไร ที่หมอบอยู่บนพื้น ลุกขึ้นมาไม่ได้คงเป็เพราะเหนื่อยนั่นเอง
เขาไม่ชอบเรียนหนังสือั้แ่เด็ก ไม่ชอบฝึกวรยุทธ์ บิดาเข้มงวดสอนแต่พี่ใหญ่ แต่กลับไม่ค่อยสนใจเขามากนัก วรยุทธ์เขานับว่าแย่ ร่างกายก็อ่อนแอ แต่เมื่อกางกรงเล็บแล้วก็ไม่มีใครกล้าหือ ทุกครั้งที่เกิดเื่ บิดากลับไม่โทษว่าเขาหาเื่ไร้สาระ แต่ก็น้อยนักที่จะสนใจเขา นานวันเข้าเขาจึงกลายเป็เช่นนี้
การประลองที่ถูกกดไว้แต่เพียงฝ่ายเดียวเช่นนี้ สำหรับจิ่งเซิ้งก็ถือเป็ครั้งที่สองแล้ว รอบที่แล้วก็เป็จิ่งจื่อ
จิ่งจื่อไม่เหมือนกับอ๋าวหราน เขาไม่เคยเห็นคุณชายเสเพลที่ชอบเที่ยวเล่นไปทั่ว ไม่เอาการเอางานเช่นนี้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งรวมกับจิ่งเซิ้งไม่มีตา บังอาจไปหาเื่เขาเข้า หลังจากทนไปสองครั้งก็ะเิออกมา ซัดจิ่งเซิ้งอย่างไม่รักษาน้ำใจไปรอบหนึ่งจนจิ่งเซิ้งกระอักเืออกมาไม่หยุด นอนพักอยู่บนเตียงถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ ไม่ได้ออกไปหาเื่คนอื่นอีกเลย เมื่อหายดีแล้ว จิ่งเซิ้งจึงหลบหน้าจิ่งจื่อไปโดยปริยาย หากบังเอิญเจอก็จะรีบหนีให้เร็วที่สุด
ส่วนอ๋าวหราน...จะมากน้อยก็ไม่อยากหาเื่ใส่ตัวนัก หนึ่งเพราะเขาเป็คนนอก ไม่เหมือนจิ่งจื่อที่ถึงแม้จะไม่ใช่สายหลัก แต่อย่างไรก็เป็ลูกหลานตระกูลจิ่ง ความขัดแย้งในตระกูลก็ยังถือว่าคุยกันง่ายอยู่ ข้อสอง จิ่งเหวินซานกับจิ่งฝานไม่ถูกกันมาโดยตลอด หากเขาทำร้ายจิ่งเซิ้ง ไม่แน่จิ่งเหวินซานอาจจะทำเื่เล็กให้กลายเป็เื่ใหญ่ โวยวายหาเื่ใหญ่โต
แน่นอน หากอ๋าวหรานรู้ว่ายังมีตามมาอีก ต้องสาบานแน่ๆ ว่า ต้องปฏิบัติกับศัตรูเหมือนลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดใบไม้ให้ร่วงหล่น คือต้องโหดร้ายไร้ความรู้สึก จะเหลือทิ้งไว้เป็เสี้ยนหนามไม่ได้
จิ่งเซิ้งที่แทบจะไม่าเ็หมอบอยู่บนพื้นอยู่พักหนึ่ง พอหายเหนื่อยก็ยืนขึ้นมา ถึงแม้ขาและท้องจะยังสั่นอยู่ก็ตาม แต่เขาก็แสร้งทำเป็ไม่สนใจ ราวกับว่าสง่างาม ไร้ความเกรงกลัวเป็อย่างยิ่ง “เ้าเด็กแซ่อ๋าวผู้นั้นมันชื่ออะไร?”
ลูกหลานตระกูลจิ่งคนหนึ่งรีบตอบว่า “ได้ยินว่าชื่ออ๋าวหราน ข้าได้ยินคุณหนูเซียงเซียงเรียกเขาเช่นนี้”
คนที่เหลือรู้แล้วก็รีบรับรองว่าใช่
จิ่งเซิ้งส่งเสียงดังเฮอะออกมาทีหนึ่ง เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “อ๋าว...หราน อา ชื่อนี้ไม่เลวเลย”
เชิงอรรถ
กำแพงไฟ1 (火墙)คือกำแพงที่มีช่องต่อกับเตาไฟ เวลาจุดเตา ควันจะลอยไปตามช่องในกำแพง และจะแผ่ไอร้อนช่วยคลายความหนาวออกมา
หญ้าหยุนเสีย2 (云霞)แปลว่าเมฆสีรุ้ง
หญ้าว่านชุน3 (万春)ว่านแปลว่าหมื่น ชุนในที่นี้หมายถึงยาปลุกกำหนัด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้