บทที่ 4 รีเซ็ตทุก 24 ชั่วโมง
“เหยียนเอ๋อร์! เหยียนเอ๋อร์! เ้าเป็อะไรไป!” หลิวซื่อเขย่าแขนหลานสาวด้วยความเป็ห่วง มู่ชิงเหยียนส่ายหน้าช้าๆ ปาดน้ำตาออกจากใบหน้า แววตาของเธอกลับมาคมกริบอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ได้มีเพียงความมุ่งมั่นของศัลยแพทย์หลินเยว่ แต่ยังแฝงไปด้วยความแค้นและความเ็ปของมู่ชิงเหยียน
“ข้าไม่เป็ไรเ้าค่ะ ท่านย่า” เธอกล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปมองมู่เฉิงเฟิงที่ยังคงยืนนิ่งด้วยสายตาที่ซับซ้อน
“ท่านพ่อ” เธอเรียกเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้น้ำเสียงหนักแน่นขึ้น
“ท่านจะจมอยู่กับสุราไปถึงเมื่อไหร่?? ท่านจะปล่อยให้ลูกเมียอดอยากเช่นนี้ต่อไปจริงๆ หรือเ้าคะ?”
คำพูดของบุตรสาวคนโตเหมือนมีดที่กรีดลงบนแผลเก่าของมู่เฉิงเฟิง เขาผงะถอยหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเ็ปและละอาย
“เ้า... เ้าจะไปรู้อะไร! ข้า ข้ามันไร้ค่า! ข้ามันไร้ประโยชน์! แม้แต่ครอบครัวก็ปกป้องไม่ได้!”
“ท่านไม่ใช่คนไร้ค่า!” มู่ชิงเหยียนสวนกลับทันควัน
“ท่านคือหมอหลวงมู่เฉิงเฟิงผู้เคยเลื่องชื่อ! ท่านถูกใส่ร้าย! เหตุใดท่านจึงยอมแพ้ให้กับคำกล่าวหาเ่าั้เล่า!”
“ยอมแพ้รึ? ฮ่าๆๆ!” มู่เฉิงเฟิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ข้าจะสู้กับใครได้! อีกฝ่ายคือท่านโหวผู้ทรงอิทธิพล! ส่วนข้าเป็เพียงหมอที่ถูกตราหน้าว่ารักษาคนผิดพลาดจนทำให้พิการ! ใครจะเชื่อข้า!”
บรรยากาศในกระท่อมตึงเครียดขึ้นทันที อาสาวทั้งสามก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าสบตาพี่ชายผู้ตกต่ำ ในขณะที่มู่เจ๋ออวี่กำหมัดเล็กๆ แน่น ดวงตาจ้องมองผู้เป็พ่อด้วยแววตาผิดหวัง
"กรร... โกรก..."
ท่ามกลางความเงียบอันน่าอึดอัด เสียงท้องร้องของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่นอนขดตัวอยู่มุมห้องก็ดังขึ้นมาทำลายความเงียบ มู่หร่วนชิง น้องเล็กวัยห้าขวบลืมตาแป๋วขึ้นมา เอามือลูบท้องตัวเองเบาๆด้วยความเขินอาย
“ท่านแม่... หร่วนเอ๋อร์หิวจังเลยเ้าค่ะ..”
คำพูดใสซื่อของเด็กน้อยเปรียบเสมือนค้อนที่ทุบลงบนหัวใจของทุกคนในที่นั้น มันคือความจริงอันโหดร้ายที่พวกเขาเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความยากจน ความหิวโหย และความสิ้นหวังที่มองไม่เห็นทางออก
มู่ชิงเหยียนมองไปที่น้องสาวตัวน้อย แล้วหันกลับมามองสภาพรอบตัว กระท่อมที่พร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ เสื้อผ้าเก่าขาดที่ทุกคนสวมใส่ และหม้อข้าวที่ว่างเปล่า ที่นี่ไม่มีอนาคต มีแต่การรอความตายอย่างช้าๆ
ไม่ได้! เธอจะยอมให้เป็แบบนี้ไม่ได้! เธอไม่ใช่หลินเยว่ที่ล้มเหลวอีกต่อไปแล้ว และเธอก็จะไม่ยอมเป็มู่ชิงเหยียน ที่ป่วยตายอย่างน่าอนาถด้วย!
เธอฝืนร่างกายที่ยังอ่อนแอพยุงตัวเองลุกขึ้นยืน แม้จะโซซัดโซเซจนอาสาวคนกลางต้องรีบเข้ามาประคอง
“เหยียนเอ๋อร์ เ้าจะทำอะไร! รีบนอนพักเถอะ!”
“ข้าพักไม่ได้!” มู่ชิงเหยียนกล่าวเสียงเด็ดเดี่ยว
“ถ้าข้านอนพักต่อไป ทุกคนในบ้านคงได้อดตายกันหมดพอดี!”
เธอเดินตรงไปที่มู่เฉิงเฟิง จ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่แดงก่ำของเขา
“ท่านพ่อ หากท่านไม่มีแรงใจที่จะสู้เพื่อตัวเอง ก็จงสู้เพื่อพวกเรา! สู้เพื่อท่านแม่ที่สูญเสียความทรงจำ! สู้เพื่อเจ๋ออวี่และหร่วนเอ๋อร์ที่ยังเล็กนัก! หรือท่านจะปล่อยให้พวกเขาต้องตายไปต่อหน้าต่อตาท่าน!”
คำพูดของนางแทงใจดำมู่เฉิงเฟิงอย่างจัง เขาทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เอามือกุมศีรษะ ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร เป็ครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้าครอบครัว
มู่ชิงเหยียนไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เธอรู้ว่าคำพูดอย่างเดียวไม่อาจเปลี่ยนคนขี้ขลาดให้กลายเป็วีรบุรุษได้ในชั่วข้ามคืน การกระทำเท่านั้นที่จะพิสูจน์ทุกสิ่ง
เธอหันไปทางอาสาวคนโต มู่หลิวเอ๋อร์
“ท่านอาหญิงใหญ่เ้าคะ พอจะมียาสมุนไพรรักษาไข้เหลืออยู่บ้างหรือไม่เ้าคะ?”
มู่หลิวเอ๋อร์มองนางด้วยความประหลาดใจ
“ยังพอมีรากตังเซินกับเปลือกส้มตากแห้งเหลืออยู่นิดหน่อย เ้าจะเอาไปทำอะไร? ยาที่ต้มให้เ้าก็มาจากของพวกนี้”
“ข้ารู้... แต่ข้ามีวิธีต้มที่ต่างออกไป”
มู่ชิงเหยียนตอบอย่างมั่นใจ ความรู้ทางเภสัชวิทยาในยุคปัจจุบันผุดขึ้นในหัว การสกัดสารสำคัญในสมุนไพรนั้นมีเื่ของอุณหภูมิและเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
ขณะที่เธอกำลังจะอธิบายต่อ ความรู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงก็เกิดขึ้นที่ข้อมือขวาของเธออย่างกะทันหัน!
“โอ๊ย!”
ความเ็ปที่ข้อมือขวาแล่นปราดราวกับกระแสไฟฟ้าสถิต มู่ชิงเหยียนก้มลงมองด้วยสัญชาตญาณ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกที่ผสมปนเปกับความไม่เชื่อสายตา บนผิวเนื้อที่ซีดเซียวของนาง เส้นสายสีดำจางๆ กำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับหมึกที่ซึมลงบนกระดาษสา มันก่อร่างเป็รูปทรงที่นางคุ้นเคยยิ่งกว่าเงาของตัวเอง มีดผ่าตัดเบอร์สิบเอ็ด ด้ามจับที่คุ้นเคย ใบมีดที่คมกริบ มันคืออาวุธคู่กาย และเป็สัญลักษณ์แห่งความล้มเหลวครั้งสุดท้ายของนาง
"เหยียนเอ๋อร์! ข้อมือเ้า!"
เสียงของมู่ซินเหยาเต็มไปด้วยความตื่นกลัว ทุกคนในกระท่อมพากันกรูเข้ามามุงดู ปฏิกิริยาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและสับสน ในยุคสมัยที่เชื่อเื่ภูตผีปีศาจและลางร้าย การปรากฏขึ้นของรอยประหลาดบนร่างกายผู้ที่เพิ่งฟื้นจากความตายย่อมไม่ใช่เื่ดีงามแน่
"ปีศาจ! ต้องเป็รอยประทับของปีศาจแน่ๆ!"
หลิวซื่อพึมพำด้วยใบหน้าซีดเผือด มือไม้สั่นเทา มู่ชิงเหยียนใจหายวาบ! ไม่ได้! นางจะปล่อยให้พวกเขาเข้าใจผิดเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ในยุคนี้ ความเชื่อเื่ไสยศาสตร์อาจทำให้นางถูกนำไปเผาทั้งเป็ได้!
“ไม่ใช่เ้าค่ะ ท่านย่า!”
นางรีบปฏิเสธเสียงดังฟังชัด สติของศัลยแพทย์กลับมาทำงานอย่างรวดเร็ว
“มัน มันเป็เพียงปานมาแต่กำเนิด! ที่ผ่านมาเพราะร่างกายข้าอ่อนแอเกินไป มันจึงจางจนมองไม่เห็น พอข้าฟื้นไข้ เืลมเริ่มไหลเวียน ปานจึงปรากฏชัดขึ้นมา! ไม่มีอะไรน่ากลัวเ้าค่ะ!”
นางโกหกคำโต แต่ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและแววตาที่จริงจัง ทำให้ทุกคนเริ่มลังเล มู่หลิวเอ๋อร์ผู้มีไหวพริบที่สุดในบรรดาอาสาวหรี่ตามองอย่างพิจารณา
"ปานรึ? เหตุใดพวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน?"
"ข้าเองก็เพิ่งสังเกตเห็นชัดๆ วันนี้เ้าค่ะ!" นางยืนกราน ก่อนจะแสร้งทำเป็หน้ามืดและโซเซเล็กน้อย
"ข้า... ข้ารู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย ขอออกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่เถิดเ้าค่ะ"
นี่คือข้ออ้างที่ดีที่สุดในการปลีกตัวออกมาตามลำพัง เมื่อเห็นว่านางยังอ่อนแอ ทุกคนจึงยอมถอยห่างอย่างไม่เต็มใจนัก มู่ชิงเหยียนรีบเดินกึ่งวิ่งออกจากกระท่อมที่อับชื้น ไปยังหลังบ้านซึ่งเป็ป่าละเมาะเล็กๆ ที่พอจะใช้เป็ที่กำบังสายตาผู้คนได้
ทันทีที่ลับตาคน หัวใจของหมอหลินก็เต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมาจากอก เสียงที่ไร้ที่มายังคงก้องอยู่ในหัวของเธอ
“เชื่อมต่อมิติโอสถิญญา สำเร็จ...”
นี่มันเื่บ้าอะไรกันอีก!'บ้าบอที่สุดในโลก!'
หลินเยว่กรีดร้องในใจ หลินเยว่ในอดีตเคยเป็ศัลยแพทย์ผู้เชื่อมั่นในเหตุผลและวิทยาศาสตร์ เธอเคยยึดมั่นว่าทุกสิ่งในโลกมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลและจับต้องได้ แต่ในตอนนี้...สิ่งที่เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่กลับไร้ซึ่งเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่จะมาหักล้างได้ การทะลุมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวคนหนึ่งก็มากพอแล้ว นี่เธอยังต้องมาเจอกับเสียงประหลาดและมิติอะไรอีก!
เธอยกข้อมือขวาขึ้นมาดูอีกครั้ง รอยสักรูปมีดผ่าตัดบัดนี้คมชัดขึ้นเล็กน้อย ผิวััเรียบเนียนไปกับเนื้อหนัง ไม่ได้นูนขึ้นมาแต่อย่างใด เธอลองใช้มือซ้ายลูบดู มันให้ความรู้สึกเย็นะเืผิดกับอุณหภูมิร่างกายส่วนอื่น มู่ชิงเหยียนพยายามใช้ตรรกะทุกอย่างที่เคยร่ำเรียนมาเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ตรงหน้า แต่ก็ไร้ผล...
เธอยกข้อมือขวาขึ้นมาดูอีกครั้ง รอยสักรูปมีดผ่าตัดบัดนี้คมชัดขึ้นเล็กน้อย ผิวััเรียบเนียนไปกับเนื้อหนัง ไม่ได้นูนขึ้นมาแต่อย่างใด เธอลองใช้มือซ้ายลูบดู มันให้ความรู้สึกเย็นะเืผิดกับอุณหภูมิร่างกายส่วนอื่น ราวกับว่ามีดเล่มนี้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเธอ แต่เป็แค่ของแปลกปลอมที่เข้ามาอยู่ในร่างกายของเธอ
"มิติโอสถิญญา..."
เธอพึมพำชื่อนั้นเบาๆ ขณะที่สมองอันชาญฉลาดของเธอกำลังพยายามหาวิธีการเปิดใช้งานมันอย่างสิ้นหวัง
"ถ้ามีอยู่จริง ก็จงแสดงให้ฉันเห็นสิ!ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ปกติคนที่ทะลุมิติย่อมต้องมีมิติตามมา ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามิติของฉันคืออะไร”
สิ้นความคิด! โลกทั้งใบก็พลันบิดเบี้ยว! ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเธอบิดเบี้ยวราวกับภาพในกระจกที่แตกละเอียด กระท่อมที่ผุพัง ห้องครัวที่ว่างเปล่า และกลิ่นอับชื้นที่น่ารำคาญเลือนหายไปในพริบตา ความรู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในอุโมงค์ไร้แรงโน้มถ่วงเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ภาพต้นไม้และพงหญ้าเบื้องหน้าหมุนคว้างจนแยกไม่ออก หมอหลินเย่วหลับตาปี๋ด้วยความใ เพียงชั่วพริบตาต่อมา ความรู้สึกหมุนเคว้งก็หายไปเธอััได้ถึงพื้นเย็นเฉียบและมั่นคงใต้ฝ่าเท้า พร้อมกับกลิ่นที่คุ้นเคยอย่างยิ่ง... กลิ่นแอลกอฮอล์และยาฆ่าเชื้อ! แสงสีขาวสว่างจ้าที่ทำให้เธอต้องหลับตาลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง... และพบว่าตัวเองยืนอยู่กลาง ห้องผ่าตัดที่ล้ำสมัยที่สุดในยุค!
ที่นี่คือ ห้องผ่าตัดนี่น่า!!
"โอ้! แม่เ้า! เอาจริงหรือนี่!!"
หลินเยว่ร้องออกมาเสียงหลง ขาก้าวถอยหลังอย่างไม่เชื่อสายตา นี่มันห้องผ่าตัดส่วนตัวของเธอ! เครื่องมือแพทย์ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็ระเบียบตามที่เธอชอบทุกประการ!
'ตลกไปแล้ว! นี่ไม่ใช่สิ่งที่วิชาฟิสิกส์ หรือชีววิทยา หรือทฤษฎีควอนตัมใดๆ จะอธิบายได้เลย!' เธอคิดในใจ ตอนนี้เธอทำได้เพียงอย่างเดียว...
ไม่ใช่ห้องปรุงยาโบราณ แต่เป็ห้องผ่าตัดที่ทันสมัยที่สุดในศตวรรษที่ 21! แสงไฟ LED สีขาวสว่างจ้าส่องลงมาจากเพดาน สะท้อนบนพื้นผิวสแตนเลสของเตียงผ่าตัดและเครื่องมือแพทย์ทันสมัยเรียงรายอยู่เป็ระเบียบ ทั้งมีดผ่าตัดไฟฟ้า เครื่องช่วยหายใจเครื่องสแกนภาพ ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารทางการแพทย์ มันคือห้องผ่าตัดที่เธอเคยใช้ ห้องผ่าตัดส่วนตัวที่เธอใช้ในโลกเดิม!หน้าจอมอนิเตอร์แสดงผลกราฟคลื่นหัวใจเป็เส้นตรงนิ่งสนิท ภาพสุดท้ายที่นางเห็นก่อนสิ้นใจ เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้ายังคงวางอยู่บนรถเข็น ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับวินาทีที่นางจากมาไม่มีผิดเพี้ยน
“เป็ไปได้อย่างไร...”
นี่มันเื่บ้าอะไรกัน! ขณะที่เธอกำลังยืนตะลึงกับภาพตรงหน้า สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นประตูบานหนึ่งที่อยู่ด้านข้างของห้องผ่าตัด ซึ่งไม่เคยมีอยู่ในห้องผ่าตัดของเธอในโลกเดิม ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและสัญชาตญาณที่สั่งการ มู่ชิงเหยียนจึงเดินตรงไปที่ประตูบานนั้น แล้วค่อยๆ เอื้อมมือเปิดออก
เมื่อประตูเปิดออก ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้มู่ชิงเหยียนถึงกับหยุดหายใจ มันคือ บ้านของเธอในโลกเดิม!
ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่คุ้นเคย กลิ่นอายของบ้านที่อบอุ่นและคุ้นเคยโชยเข้าจมูก ภาพของพ่อที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์บนโซฟาตัวโปรดผุดขึ้นมาในความทรงจำทันที
ในห้องครัว เธอเห็นอาหารสด อาหารแห้ง เครื่องปรุงทุกชนิดวางเรียงรายอยู่ในตู้เย็นและตู้เก็บอาหารที่เต็มแน่น มันไม่ใช่แค่ตู้เย็นธรรมดา แต่เป็ตู้เย็นขนาดใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยของกินมากมาย ไม่ว่าจะเป็เนื้อสัตว์สดนานาชนิด ผักสดสีเขียวเข้ม ผักกาดแก้วที่กรอบน่าทาน หรือผลไม้ตามฤดูกาลที่ส่งกลิ่นหอมหวานไปทั่วทั้งห้อง
ไม่เพียงแค่นั้น บนโต๊ะกลางห้องยังเต็มไปด้วยถุงอาหารที่เพิ่งซื้อมาใหม่ๆ ซาลาเปา ขนมจีบ เบอร์เกอร์เนื้อชิ้นหนา ไก่ทอดกรอบๆ ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวน และขนมของว่างอีกมากมายที่วางซ้อนกันอยู่ ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบราวกับเพิ่งไปจ่ายตลาดมา และที่น่าใไปกว่านั้นคือ... มันมีป้ายเขียนกำกับไว้ว่า
"รีเซ็ตทุก 24 ชั่วโมง"
นั่นหมายความว่าอาหารและของใช้เหล่านี้จะไม่มีวันหมดไป!
มู่ชิงเหยียนหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อไล่ความสับสนออกจากหัว ในฐานะศัลยแพทย์ผู้ที่เคยใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ เธอรู้ดีว่าเธอไม่มีเวลามากพอที่จะออกไปซื้อของได้บ่อยๆ ดังนั้นจึงต้องช้อปปิ้งซื้อของใช้และอาหารมาตุนไว้ในตู้เย็นเป็ประจำทุกเดือน และภาพตรงหน้าก็คือผลลัพธ์ของการช้อปปิ้งประจำเดือนของเธอ! ทุกอย่างที่เธอเคยซื้อมาก่อนหน้านี้ได้ทะลุมิติมาพร้อมกับเธอด้วย!
เธอจะต้องไม่เชื่อแน่ๆ ถ้าไม่เห็นมันด้วยตาตัวเอง... ของใช้ทุกอย่างในบ้านถูกตุนไว้จนเต็มชั้นวาง ราวกับเตรียมพร้อมสำหรับการกักตัวยาวนาน นี่คือสิ่งที่เธอ้าที่สุดในตอนนี้!
ด้วยแรงขับเคลื่อนจากความดีใจและความหวังอันเต็มเปี่ยม มู่ชิงเหยียนจึงยกมือขึ้นมาัักับอาหารต่างๆ ในห้องครัว เธอกำลังจะใช้ของกินเหล่านี้เพื่อฟื้นฟูร่างกายของครอบครัวของเธอ!
*****ของมันต้องมีของมันต้องมา ยังขาดอะไรอีกน่าาา!!! ****
**** ทะลุมิติกับไรท์ ไรท์ไม่เคยปล่อยให้ลำบากนะเ้าคะ 555 ****