ขณะนั่งอยู่ในรถม้า ฮั่วฉีอวี่ก็หวนนึกถึงเื่ราวในอดีต
เขานึกถึงราชวงศ์อวิ๋นเมิ่งกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นหายไปจากเมืองอวิ๋นเมิ่งแล้ว
ลูกหลานของตระกูลอวิ๋นมีน้อยนิด ฮ่องเต้เฉิงกวงมีบุตรชายเพียงสองคนคือฮ่องเต้องค์ก่อนและหวังอวิ๋นเซียวที่ดำรงตำแหน่งอ๋องอวิ๋นเมิ่ง
อ๋องอวิ๋นเมิ่งถือเป็ตำนานของราชวงศ์อวิ๋นเมิ่งก็ว่าได้ เขาคือเทพาผู้อยู่ยงคงกระพันและเป็ผู้ยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุด อย่างไรก็ตาม อ๋องอวิ๋นเมิ่งกลับสิ้นพระชนม์ในสนามรบ
จากนั้นในปีที่ห้าที่ฮ่องเต้เซิ่งหยวนครองราชย์ องค์ไทเฮาก็ถึงแก่กรรม
ห้าปีต่อมา ซูฮองเฮาก็สิ้นพระชนม์อย่างลึกลับ
ในปีที่สิบห้าของการครองราชย์ ฮ่องเต้เซิ่งหยวนก็ต ส่วนองค์หญิงเหวินฮวาและองค์รัชทายาทหายตัวไปอย่างไรร่องรอย
นับั้แ่นั้นมาเมืองอวิ๋นเมิ่งก็มีฮ่องเต้องค์ใหม่เป็คนสกุลเย่ และถือเป็การสิ้นสุดยุคสมัยของราชวงศ์อวิ๋นเมิ่งอย่างเป็ทางการ
เื่ราวเหล่านี้ถูกเล่าขานผ่านทางข้อความไม่กี่บรรทัดบนม้วนกระดาษ มันดูเหมือนข้อความธรรมดาๆ ที่ดูน่าเบื่อและปราศจากข้อสงสัย แต่กลับไร้เหตุผลอย่างน่าประหลาด
เป็ไปได้ไหมว่าใครบางคนวางแผนเื่นี้ั้แ่รัชศกเทียนโหย่วของฮ่องเต้เฉิงกวง?
หรือบางทีอาจวางแผนไว้ั้แ่่แรกๆ ของรัชศกเฉิงกวงที่ปกครองโดยฮ่องเต้เซิ่งหยวน?
ฮั่วฉีอวี่ครุ่นคิด
ในวังหลวงสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือความลับ หากความลับใดถูกเปิดเผยออกมาแม้เพียงเล็กน้อย มันย่อมกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนเหมือนกับวัชพืชในอุทยานหลวงที่ได้พบเจอแสงแดด พวกมันจะเติบโตอย่างบ้าคลั่งจนยากที่จะควบคุมได้
…
ในไม่ช้าข่าวที่ว่าบุตรชายคนโตของตระกูลเย่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ในท้องพระโรงก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง
ส่วนภายในวังก็ยังคงมีคลื่นใต้น้ำโหมกระหน่ำอยู่ เื่ราวเกี่ยวกับฮองเฮาและพระสนมของฮ่องเต้องค์ก่อนดูเหมือนจะได้รับความสนใจอีกครั้ง
ฮ่องเต้ถอนหายใจและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเ้าออกจากจวนไปั้แ่เมื่อใด”
เย่เช่อมองไปยังผู้เป็บิดาอย่างเ็าและอดไม่ได้ที่จะนึกเยาะเย้ยในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะความเฉยเมยและความประมาทเลินเล่อของชายผู้นี้ การที่เขาซึ่งมีฐานะเป็ถึงบุตรชายคนโตหายตัวไปจากจวนหลายวันกว่าคนในจวนจะรู้ย่อมกลายเป็เื่ตลกครั้งใหญ่อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
หรือชายผู้นี้ไม่เคยสนใจเขาและมารดาเลย?
แต่ตอนนี้เย่เช่อกลายเป็ผู้ยิ่งใหญ่ที่กุมอำนาจทางทหารอยู่ในมือ นี่เป็เหตุผลให้ชายตรงหน้าหันกลับมาให้ความสนใจเขาและมารดาใช่หรือไม่?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จิตใจของเย่เช่อก็ยิ่งมีความเ็ามากกว่าเดิมหลายเท่า
เย่เช่อกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่สำคัญว่าเสด็จพ่อจะรู้หรือไม่ ลูกสามารถรับตำแหน่งอ๋องอวิ๋นเมิ่งตามที่เสด็จพ่อ้าได้ แต่ลูกมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”
ดวงตาของฮ่องเต้มืดลง “เงื่อนไขใด?”
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ เย่เช่อก็ยิ่งมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตนเอง “เสด็จพ่อไม่ต้องกังวล สิ่งที่ลูก้าคือในอนาคตไม่ว่าลูกจะทำสิ่งใดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเสด็จพ่อ ในทางกลับกันเสด็จพ่อจะทำสิ่งใดก็ไม่เกี่ยวข้องกับลูก นับแต่นี้พวกเราขาดกัน!”
ฮ่องเต้ตกตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าบุตรชายจะ้าเช่นนี้
ท่าทีของเขาเหมือนกับคนคนนั้น
เป็ไปได้ไหมว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของเขา?
ไม่น่าเป็ไปได้ ตอนแต่งงานนางยังเป็หวงฮวา[1]อยู่ไม่ใช่หรือ?
ฮ่องเต้รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยเมื่อนึกเหตุการณ์ในอดีต ภาพของเหตุการณ์เ่าั้ล้วนไหลผ่านไปราวกับกระแสน้ำ
จากนั้นเขาก็เอ่ยปากไล่เ้าลูกชายไม่รักดีออกไปจากห้อง
เย่เช่องุนงงเล็กน้อย แต่เขาก็หันหลังจากไปอย่างไม่แยแส
เขาไม่้าอยู่ในสถานที่แห่งนี้ต่อไปแม้แต่ลมหายใจเดียว
…
ณ ศาลาฉีอวิ๋น
อวิ๋นจื่อตกอยู่ในความงุนงงเมื่อจู่ๆ สาวใช้เข้ามาแจ้งว่านางมีแขก
เหตุใดจึงมีแขกมาหานางในเวลานี้?
หรือจะเป็นายน้อยมู่?
ไม่น่าใช่
ตอนนี้ตระกูลมู่ออกกฎว่าสมาชิกในตระกูลต้องทานอาหารเย็นพร้อมกัน
ส่วนเย่เช่อก็เพิ่งจะจากไปได้ไม่นาน
ว่ากันว่าเขาจะได้สืบทอดตำแหน่งอ๋องอวิ๋นเมิ่ง นับั้แ่อดีตตำแหน่งนี้เป็หนึ่งในตำแหน่งที่มีเกียรติที่สุดของราชวงศ์อวิ๋นเมิ่ง
ตอนนั้นเสด็จอาของนางมีพร์อันน่าทึ่ง แม้กระทั่ง่เวลาสุดท้ายในชีวิตของเขาก็ยังกลายเป็ตำนานเล่าขานมาจนถึงปัจจุบัน ภายใต้การปิดล้อมของศัตรูมากมายเสด็จอาของนางสามารถทำลายศัตรูให้พังพินาศไปพร้อมกันได้
อวิ๋นจื่อรู้สึกงุนงงเมื่อเห็นคนเดินเข้ามา เขาเป็ชายหนุ่มในชุดผ้าไหม ใบหน้าของเขาเหมือนดอกท้อ รูปร่างสูงโปร่งสง่างาม ในมือถือพัดหยก ชายผู้นั้นค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
อวิ๋นจื่อกำลังทบทวนความทรงจำของตัวเอง นางรู้สึกคุ้นเคยกับฝ่ายตรงข้าม แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
“แม่นางสบายดีหรือไม่?”
น้ำเสียงของชายหนุ่มเฉกเช่นสายฝนในฤดูใบไม้ผลิ มันเป็เสียงที่อ่อนโยนและมีเสน่ห์ หากหญิงสาวชาวบ้านได้พบเจอกับชายหนุ่มเช่นนี้ พวกนางจะต้องหลงเสน่ห์เขาอย่างแน่นอน
อวิ๋นจื่อรีบทักทายชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มแล้วถามว่าเขา้าฟังเพลงอะไร
คุณชายที่มีใบหน้ารูปดอกท้อโบกพัดในมือและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเคร่งขรึม “พวกเราเพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่แม่นางกลับลืมข้าเสียแล้ว”
หลังจากขบคิดอย่างรอบคอบอีกครั้ง ในที่สุดอวิ๋นจื่อก็ตระหนักได้ว่าชายผู้นี้ชื่อซูเจิน
นางยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “คุณชายซูไม่ได้มาที่นี่เพียงสองสามวันเท่านั้น ต้องขอโทษจริงๆ ที่ปี้เหยียนเลอะเลือนไปชั่วขณะ”
ซูเจินโบกพัดในมืออย่างสง่างาม หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ดวงตาที่กระจ่างใสของเขาก็จ้องมองอวิ๋นจื่อ มุมปากของเขามีรอยยิ้มประดับอยู่
อวิ๋นจื่อรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย ชายหนุ่มคนนี้มีใบหน้าที่ทรงเสน่ห์และงดงามกว่าหญิงสาวหลายคนในหอจุ้ยฮวนมาก
โชคดีที่เขาไม่ได้ประกอบอาชีพเดียวกันกับพวกนาง
คุณชายซูกล่าวว่า “เล่นเพลงริมฝีปากสีชาดเถิด”
อวิ๋นจื่อหยิบกู่ฉินขึ้นมาและถามอย่างเป็กันเองว่า “คุณชาย วันนี้ท่านมาคนเดียวหรือไม่?”
ซูเจินพยักหน้า “ข้าไม่อยากตกเป็เป้าสายตาของผู้อื่น หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว ศาลาฉีอวิ๋นของแม่นางคือสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด”
อวิ๋นจื่อไม่ได้ถามอะไรอีก
เสียงกู่ฉินดังขึ้นอย่างแ่เบา
เมื่อฮั่วฉีฮวี่มาถึงศาลาฉีอวิ๋นเขาก็ได้เห็นฉากดังกล่าว
กู่ฉิน
หญิงงามรัญจวนใจ
และซูเจิน
นี่เป็ฉากที่งดงามราวกับภาพวาด และเขาก็ไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ
เขามองดูภาพที่งดงามนี้เงียบๆ
หญิงสาวที่กำลังเล่นกู่ฉินเงยหน้าขึ้นเป็ครั้งคราว
จากนั้นเขาก็เห็นใบหน้าของนาง
คิ้วงามเหมือนฉูจู๋[2]จากูเาอันไกลโพ้น ใบหน้าผ่องใสราวกับแสงแดดฤดูใบไม้ร่วง ผิวกายผ่องใสราวหยกน้ำแข็ง[3] ส่วนนิ้วมือก็อ่อนช้อยเรียวยาว
เป็นาง?
หัวใจของเขาบีบรัดอย่างรุนแรง
เมื่อสามปีที่แล้วเขาเห็นนางยืนอยู่ข้างชายต่างแคว้นอย่างมีความสุข
ตอนนั้นเขารู้สึกอิจฉาชายคนนั้นมาก
วันนี้สามปีให้หลัง ในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้พบนางอีกครั้ง
ฮั่วฉีอวี่รู้สึกว้าวุ่นใจ
เขารับเื่นี้ไม่ได้ เขาหันหลังและรีบเดินจากไปราวกับหนีอะไรบางอย่าง
เสียงกู่ฉินสงบนิ่งเหมือนสายน้ำ
ระหว่างพวกเขาสองคนไม่มีใครเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
เวลาล่วงเลยไปจนถึงยามดึก
อวิ๋นจื่อเก็บกู่ฉินและกล่าวเบาๆ ว่า “คุณชายซู ท่านควรกลับได้แล้ว”
ทันใดนั้นซูเจินที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงกู่ฉินอันไพเราะก็ได้สติขึ้นมา
นี่ก็ดึกมากแล้ว
เขารู้สึกเพียงว่าความว้าวุ่นที่เคยก่อกวนจิตใจของเขาเริ่มสงบลง ในขณะเดียวกันสมองของเขาก็กระจ่างชัดเป็พิเศษ อย่างที่คนโบราณกล่าวไว้ว่ากู่ฉินทำให้จิตใจสงบ นั่นเป็ความจริงใจไม่ใช่เื่หลอกลวง
เขาลุกขึ้นแล้วบอกลาก่อนจะเดินออกไปอย่างสง่างาม
อวิ๋นจื่อแหงนมองดวงจันทร์ นี่เป็ครั้งแรกที่นางััได้ถึงอารมณ์อันแปลกประหลาดที่ก่อตัวขึ้นภายในใจ
เย่เช่อกำลังทำอะไรอยู่?
เสียงที่ผุดขึ้นในใจของนางแ่เบาเหมือนเสียงกระซิบของนกนางแอ่นในฤดูใบไม้ผลิ
------------------------
[1] หวงฮวา หมายถึงดอกไม้สีเหลือง ส่วนมากมักใช้เรียกดอกเบญจมาศ เพราะมีความหมายในแง่ความบริสุทธิ์ของหญิงสาว หรือหมายถึงหญิงพรหมจรรย์
[2] ฉูจู๋ หมายถึงดอกเดซี่
[3] “ผิวกายผ่องใสราวหยกน้ำแข็ง” เป็ประโยคที่ใช้เปรียบเปรยถึงผิวของผู้หญิงที่ดูขาวสะอาดและเรียบเนียน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้