"แพงจังเลย" หลังออกมาจากร้านโม่เซียง อูหลันฮวาก็บ่นพึมพำ
"ทำอย่างไรได้ ของจำพวกพู่กันหมึกกระดาษเดิมทีก็ราคาแพงอยู่แล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นเองก็จนปัญญา "ในเมื่อของแพง พวกเราก็ต้องตั้งใจศึกษาให้ดีที่สุด เรียนรู้ให้แตกฉานสมกับที่ลงเงินไป ถึงจะนับว่าไม่ขาดทุน"
เซวียเสี่ยวเหล่ยกับอูหลันฮวาพยักหน้าหงึกๆ
"เหมือนกับคันฉ่องที่ซื้อมาเมื่อสองวันก่อนคู่นั้น มันแพง พวกเราก็ต้องนำออกมาใช้ทุกวัน ให้สมกับราคาที่จ่ายไป เพียงเท่านี้ก็ไม่ขาดทุนแล้ว"
เซวียเสี่ยวนำคันฉ่องวิหคล้อมบุปผาคู่นั้นออกมา บานหนึ่งวางไว้ในห้องเหลียนเซวียน อีกบานวางในห้องของตนเอง
อูหลันฮวากลับกลัวว่าจะทำของมีราคาตกแตก จึงมักเก็บคันฉ่องใส่กล่องไม้ลงรักทุกวัน
เซวียเสี่ยวหรั่นจึงฉวยโอกาสเอ่ยเื่นี้ขึ้นมาอีกหน
อูหลันฮวานึกดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
"อย่างไรเสียของซื้อมาแล้ว จะเอาไปคืนก็ไม่ได้ ควรใช้ก็ต้องใช้สิ" เซวียเสี่ยวหรั่นล้างสมองพวกเขามาตลอดทาง ก่อนจะไปร้านขายยา
ยาบำรุงเืห้าชุด จ่ายไปอีกสองตำลึงห้าเฉียน
"ในเมืองอะไรๆ ล้วนแพงไปหมด ยาก็เหมือนกัน คราก่อนซื้อที่หมู่บ้านลิ่วไผแค่หนึ่งตำลึงห้าเฉียน ที่นี่แพงกว่าตั้งหนึ่งตำลึงเต็มๆ"
หลังออกจากร้านขายยา เซวียเสี่ยวหรั่นก็อดบ่นไม่ได้
อูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยต่างพยักหน้ารับตามกัน ถ้าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในชางตัน ค่าสิ่งของสูงเช่นนี้เกรงว่าวันเดียวก็อยู่ไม่ได้แล้ว
เงยหน้ามองไปรอบด้าน สิ่งที่ผ่านสายตามีแต่ตึกสูงสามชั้น ผู้คนสัญจรบนถนนส่วนมากล้วนสวมอาภรณ์แพรไหม เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเรือนที่มีชั้นเดียวและเก่าคร่ำคร่าในขู่หลิ่งถุน ก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน
แน่นอนว่าค่าครองชีพย่อมสูงเป็เท่าตัว
ไปตลาดซื้อแม่ไก่มาตัวหนึ่ง กับเนื้อตุ๋นที่หั่นเรียบร้อยแล้วสองชั่ง ทั้งสามหอบของทั้งห่อใหญ่ห่อเล็กกลับมาโรงเตี๊ยม
เอาแม่ไก่ไปให้ครัวของโรงเตี๊ยมช่วยจัดการ แน่นอนว่าต้องจ่ายเงิน
เซวียเสี่ยวหรั่นใช้ตะเกียบแบ่งแม่ไก่เป็ส่วนๆ
ตอนเที่ยงทุกคนได้กินไก่ตุ๋นน้ำแกงหอมฉุย
"เสี่ยวเหล่ยกินน่อง เหลียนเซวียนก็กินน่อง ข้ากับหลันฮวาจะกินปีก ส่วนอาเหลยกินเนื้ออกไก่"
ในชามของแค่ละคนล้วนมีเนื้อชิ้นใหญ่ ไม่มีใครมีปัญหา พวกเขากินข้าวด้วยกัน เคยชินกับการปันส่วนเช่นนี้แล้ว
ตอนแรกเซวียเสี่ยวเหล่ยไม่ยอมกินน่องไก่ เซวียเสี่ยวหรั่นชอบกินแต่ปีกไม่ชอบกินน่อง เขาจึงหันไปหาอูหลันฮวา แต่อูหลันฮวากลับยิ่งเถรตรงกว่านั้น นางกัดปีกเข้าไปหนึ่งคำ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมแลกกับเขา
ทว่าเซวียเสี่ยวเหล่ยก็กัดฟันยืนกรานไม่กิน ตอนเก็บถ้วยชาม เซวียเสี่ยวหรั่นก็ถอนหายใจ "น่องไก่ดีๆ กลับต้องโยนทิ้ง"
ท้ายที่สุดเซวียเสี่ยวเหล่ยถึงยอมให้ความร่วมมือ
ต่อมาก็กลายเป็ความเคยชิน
เหลียนเซวียกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ ยามอยู่ในป่า เขาก็รู้แล้วว่านางชอบกินปีกไก่กับตีนไก่ แล้วก็ส่วนที่เป็เอ็นกับหนัง
เซวียเสี่ยวหรั่นกินปีกไก่อย่างเบิกบาน หลังจากนั้น ก็เล่าเื่ที่วันนี้ไปซื้อของให้เขาฟัง
นางพูดไม่หยุดปาก อูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยคอยแทรกสองสามประโยคเป็ครั้งคราว เหลียนเซวียนกินข้าวเงียบๆ ไม่พูดแม้แต่คำเดียว
เขาอยากแก้นิสัยพูดคุยตอนกินข้าวของพวกมานานแล้ว ทุกครั้งที่กินข้าวสามคนตรงหน้าต้องกินไปคุยไปอย่างสนุกสนาน
เหลียนเซวียนรู้สึกระอา แต่ทุกครั้งที่คิดเอ่ยปาก ก็ไม่อยากขัดความสุขของพวกเขา
อดทนอดกลั้นจนชินเสียแล้ว
ในที่สุดก็ได้แต่ทอดถอนใจ รอน้าหงมาก่อนค่อยให้ช่วยอบรมสั่งสอนพวกนาง
เหลียนเซวียนคร้านจะยุ่งด้วยแล้ว
เช้าตรู่วันที่เจ็ดเดือนสี่ ท้องฟ้าดำทะมึนมีฝนโปรยปราย
เมื่อวานฝนตกหนักตลอดคืน จนกระทั่งรุ่งสางถึงค่อยเบาลงเหลือเพียงปรอยๆ
ในอากาศเต็มไปด้วยละอองไอน้ำเย็นๆ
เหลียนเซวียนลืมตาขึ้นมา เห็นผ้าม่านสีขาวหนาหนักปรากฏตรงหน้าก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ผ้าขาวที่ปรากฏสู่สายตามีสีเหลืองหม่น โดยเฉพาะที่ชายยังขาดเป็รู
เหลียนเซวียนกะพริบตาถี่ๆ ลุกขึ้นมานั่ง
เขายื่นมือมาข้างหน้า ก็เห็นฝ่ามือใหญ่ที่คุ้นเคยอย่างชัดเจน
ดวงตาที่มักเฉยชาอาบย้อมไปด้วยความตื่นเต้น
ดวงตาที่ต้องพิษมาหนึ่งปีเต็มบัดนี้กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง
ผ่านไปครู่ใหญ่ มือที่กำแน่นเริ่มผ่อนคลาย ความตื่นเต้นในหัวใจกลับมาสู่ภาวะปรกติ พลิกกายลงจากเตียง
ด้านนอกฝนยังตกอยู่ บรรยากาศภายในห้องยังขะมุกขะมัว
เขาหยิบคันฉ่องวิหคล้อมบุปผาบนโต๊ะแปดเซียนขึ้นมาส่อง ภาพใบหน้าที่มีแต่หนวดเครารกครึ้มพลันปรากฏบนคันฉ่องใสบานเล็ก
ผิวที่ปรากฏยังมีรอยแผลเป็จางๆ
คุ้นเคยที่สุดคือความสุขุมกลางหว่างคิ้ว
"หึๆ" เขาหัวเราะเบาๆ รอยยิ้มบนใบหน้าเย็นะเื ฉายแววเหยียดหยัน "บัญชีนี้ข้าจะต้องสะสางคืนทั้งต้นทั้งดอก"
แม้แต่นางก็ตาม
"เหลียนเซวียน เหลียนเซวียน วันนี้ท่านตื่นเช้าจังเลยนะ"
เหลียนเซวียนยืนเอามือไพล่หลังชมสายฝนที่หน้าระเบียงโรงเตี๊ยม ค่อยๆ หันไปมองต้นเสียง
หญิงสาวสวมเสื้อสีขาวกระโปรงสีแดงะโโลดเต้นออกจากห้องวิ่งตรงมาหาเขา
นางผอมบาง รูปร่างเล็ก ดวงหน้าหน้าขาวผ่องเล็กจ้อยไม่เท่าฝ่ามือเขาด้วยซ้ำ
เรือนผมสนิทเกล้าสูงเป็มวยกลมหลวมๆ กลางกระหม่อม ยามะโไปะโมา ปอยผมเล็กๆ ที่หน้าผากก็ขยับตามไปด้วย ทั้งมวยผมและติ่งหูไร้เครื่องประดับ
ดวงตาหมดจดเกลี้ยงเกลาไร้เครื่องประทินผิว แต่รอยยิ้มกลับเจิดจรัสราวกับจันทราเดือนห้า ดวงตาสุกสกาว จิ้มลิ้มพริ้มเพรา
รอยยิ้มของนางสดใส ดวงตากลมโตโค้งเป็รูปจันทร์เสี้ยว ฟันขาวสะอาดตัดกับริมฝีปากแดงชุ่มชื้น ชวนให้มุมปากของคนมองโค้งขึ้นตามโดยไม่รู้ตัว
ที่แท้ นี่ก็คือนาง
สตรีที่อยู่ตรงหน้ากับภาพเงาร่างในสมองรวมเข้าด้วยกัน เป็เซวียเสี่ยวหรั่นผู้ร่าเริงสดใส เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
มุมปากของเหลียนเซวียนโค้งน้อยๆ แววตาอ่อนโยนดุจสายน้ำ "คำพูดนี้ ข้าควรเป็ฝ่ายถามเ้ามากกว่ากระมัง"
แต่ไรมานางไม่ชอบตื่นเช้า ปรกติยามนี้ยังหลับฝันหวานอยู่เลย
พอเขาเอ่ยคำนี้ออกมา สตรีที่อยู่ตรงหน้าก็เบะปากน้อยๆ ไม่ต่างจากที่คิดไว้
"ก็วันนี้ต้องไปสำนักวาณิชสกุลเมิ่งมิใช่หรือ ข้าตื่นเช้ามาตรวจความเรียบร้อยก่อนรอบหนึ่ง จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดยามไปถึง"
เหลียนเซวียนหลุบตาลงมองดวงตาสุกใสของนางที่มีภาพของตนเองสะท้อนอยู่ภายใน ดวงเนตรสีดำค่อยๆ ล้ำลึกดุจมหานที "มีข้าอยู่ ไม่ต้องพะว้าะวง"
"ข้ามิได้พะวงเสียหน่อย ข้าตื่นเต้นต่างหากล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นเอียงคอหัวเราะคิกคัก "ถ้าเมิ่งเฉิงเจ๋อผู้นั้นดวงตาไม่มีแวว ต่อไปข้าจะเปิดร้านเอง ไม่ร่วมมือกับเขาแล้ว"
"ดี" เหลียนเซวียนพยักหน้า ไม่ละสายตาไปจากดวงหน้าน้อย
"เอ๋? " เซวียเสี่ยวหรั่นทำปริบๆ สังเกตได้ว่าเหลียนเซวียนมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม
นางเดินวนรบตัวเขาสองรอบ ถึงร้อง "อา" ดวงหน้าบ่งบอกว่ารู้แล้ว
"ข้าว่าแล้ววันนี้ท่านดูแปลกไป ที่แท้ก็เล็มหนวดเคราแล้วนี่เอง"
เซวียเสี่ยวหรั่นชี้ไปที่ใบหน้าของเขา หนวดเครารุงรังเป็ระเบียบเรียบร้อยขึ้นมากหลังจากที่เขาจัดการเล็มตกแต่ง
สังเกตได้แค่นี้เองรึ? เหลียนเซวียนเม้มริมฝีปาก ดวงล้ำลึกจดจ้องนางเขม็ง
"อุตส่าห์ตัดทั้งที ไยไม่โกนทิ้งให้เกลี้ยงไปเลยเล่า" เซวียเสี่ยวหรั่นกลับเอาแต่บ่นแต่เื่นี้
เส้นเืที่หน้าผากของเหลียนเซวียนเต้นตุบๆ
