แม้เมืองลู่ิจะไม่ใช่เมืองใหญ่อะไร แต่ในเขตทั้งสี่ทิศของเมืองกลับแตกต่างกันมาก เขตเหนือเป็เขตที่มีประชากรยากจนอาศัยอยู่มากที่สุด ระเบียบผังเมืองยุ่งเหยิง ตรอกซอกซอยยิบย่อยพาดผ่านกันมั่วไปหมด ใครไม่คุ้นทางเดินเข้ามาคงเหมือนเดินเข้าวงกต
และเขตใต้คือเขตการค้าที่รุ่งเรืองที่สุด รวมกลุ่มพ่อค้ารายย่อยและรายใหญ่ไว้ด้วยกัน แล้วยังมีหน่วยคุ้มกันและกลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่ม คนมากมายจากในเนื้อที่หลายพันลี้นี้มาปรากฏตัวที่นี่เพื่อเป้าหมายเดียวกัน ผู้คนสารพัดอาชีพ หาได้หมดั้แ่สากกะเบือยันเรือรบ
พริบตาที่เ่ิูย่างเข้าเขตใต้ เขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นการค้าปะทะหน้าเต็มตื้น ความรู้สึกและสภาพเขตต่างกับทิศเหนือโดยสิ้นเชิง
แม้ว่าจะยังเป็ยามเช้าตรู่ อากาศปกคลุมด้วยหิมะหนาวเหน็บ และอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า ท้องฟ้าทิศตะวันออกมีกลุ่มสีขาวเหมือนท้องปลา ทว่าข้างถนนเล็กแคบที่สุดก็ยังอุตส่าห์มีพวกพ่อค้ามาตั้งร้านเร่ขายของประหลาดๆ
อากาศยามแรกเริ่มนั้นหนาวสุดขั้ว
เ่ิูสวมเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ เขาเดินเข้าฝูงชนไป
เขาตรงสู่ ‘แดนม่านหมอก’ อย่างไม่รีบร้อนและไม่เอื่อยเฉื่อย
เ่ิูยังกังวลว่าการที่แต่งตัวเช่นนี้มาจะเป็การวาดงูเติมขาหรือไม่ จะดึงดูดความสนใจผู้อื่นไปหรือเปล่า แต่พอมาถึงที่นี่แล้วถึงได้พบว่าคนที่สวมเสื้อคลุมปิดบังใบหน้าลับๆ ล่อๆ เช่นเขามีอยู่ทุกที่
เป็เหมือนกับเขตเหนือ บนถนนของที่นี่มีทหารลาดตระเวนอยู่ไม่น้อย
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือ เหล่าทหารที่เดินลาดตระเวนน้อยครั้งจะไต่ถามอะไร
เขตส่วนนี้เป็เขตที่ประชากรมากที่สุดในลู่ิ โครงสร้างแรงงานซับซ้อนที่สุด หากมีใครมีพิรุธจะถูกไต่ถามทันที น่ากลัวว่าขนมาทั้งกรมก็คงทำงานนี้ไม่สำเร็จกระมัง
เ่ิูเดินสบายใจเฉิบ
เขาไม่ได้รีบไปแดนม่านหมอกอะไรนัก เด็กหนุ่มนั่งลงร้านข้างทาง กินซาลาเปาเนื้อไปหลายก้อน แถมโจ๊กอีกชาม ทั้งยังหยุดพักอีกครึ่งชั่วโมง รอจนฟ้าสางผู้คนก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนฝูงชนหลั่งไหลเป็เส้นด้ายนั้นเองถึงเดินเข้าไปรวมด้วย
ตอนที่ผ่านร้านแผงลอยนั้นเอง เ่ิูยังทั้งต่อราคาและยืนชมไม่หยุด
เมื่อผ่านแผงลอยอันยุ่งเหยิง เ่ิูพลันนึกถึงเด็กน้อยที่เขาไปหามิอาจไปหาขึ้นมา และไม่รู้เพราะอะไร เพียงแค่มองเห็นตุ๊กตาหมีตัวเล็กสีขาวที่วางอยู่บนแผง แล้วนึกว่านางต้องชอบเป็แน่ เขาจึงถามราคาไป พ่อค้าฉีกยิ้มเ้าเล่ห์พลางบอกราคาว่าหนึ่งเหรียญทอง เ่ิูยังมีเื่อื่นในใจจึงขี้คร้านจะต่อราคา เขาซื้อมาในที่สุด
เมื่อเห็นเ่ิูเดินจากไป พ่อค้าก็นึกเสียดาย หากเขารู้ว่าลูกค้าท่านนี้จะใจป้ำขนาดนี้คงโก่งราคาเพิ่มไปแล้ว
เื่เช่นนี้หาพบได้ทั่วไปในเขตใต้
เ่ิูซื้อตุ๊กตาหมีน้อยมาหิ้วไว้ ทำท่าราวกับขี่ม้าชมเมือง เลี้ยวไปอีกเจ็ดแปดซอยถึงได้เข้าใกล้จุดหมายขึ้นช้าๆ
แดนม่านหมอกมีชื่อเสียงเลื่องลือในเขตใต้
เพราะมันเป็หนึ่งในสิบยอดหอทองคำของเขตใต้นั่นเอง
สิ่งที่เรียกว่าสิบยอดหอทองคำนั้นมิใช่สถานที่ขายเครื่องเงินเครื่องทองแต่อย่างใด แต่เป็สถานที่ผลาญเงินในทุกรูปแบบ ฟังเพลงบรรเลงดนตรี ดูการร่ายรำ ผ่อนคลายอารมณ์ไปกับความเริงรมย์ ที่ใดก็ตามแต่ในเขตใต้ซึ่งมีการค้ามั่งคั่งย่อมจะมีสถานที่เช่นนี้ผุดขึ้นมาไม่น้อย
ยามเดินบนถนนเก่าแก่ ผ่านประตูบานเล็กโบราณเรียบง่าย จะพบวิมานหรูหราฟุ้งเฟ้อ ชวนให้คนมองต้องส่งเสียงจิ๊จ๊ะ
แดนม่านหมอกโด่งดังเพราะเป็อันดับสิบของสิบยอดหอทองคำ
เ่ิูเข้ามาแล้วก็แปลกใจนอกเหนือจากใ
เหตุใดหวังเยี่ยนถึงบอกให้เขามาหานางที่นี่กัน
ในสำนึกของคนทุกคน อิสตรี...โดยเฉพาะอิสตรีธรรมดา ไม่ควรเข้ามาในที่แบบนี้ และหวังเยี่ยนเองก็ใช่ว่าเป็อิสตรีธรรมดาอย่างเดียว นางยังเป็หนึ่งในหญิงที่มีตำแหน่งสูงที่สุด สูงส่งน่าเคารพที่สุด พลังมากที่สุดคนหนึ่งในนครลู่ิ ดังนั้นจึงไม่ควรเข้ามาในที่แบบนี้ยิ่งขึ้นไปอีก
เหตุผลเดียวกัน เด็กน้อย่เี่ิแม้จะเป็ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของใต้เท้าสักคนในเครือการค้าชิงหลัว แต่เป็ศิษย์สำนักกวางขาวเช่นกัน ไม่สมควรมาอยู่ที่นี่
เ่ิูหยุดยืนตรงหน้าประตูใหญ่แห่งแดนม่านหมอก
อิฐสีเทาเคลือบกระเบื้องดำ อาคารและบานประตูหลังเล็ก
รูปปั้นสิงโตเล็กขนาดไม่ถึงครึ่งเมตรประดับอยู่สองฟากฝั่ง แม้งานแกะสลักจะประณีตมาก แต่ก็หาใช่ผลงานของยอดศิลปินคนใดไม่ ดูธรรมดาเป็ที่สุด บานประตูไม้สนไร้การลงกลอน ให้ความรู้สึกราวกับผ่านฝนผ่านหนาวมามาก ปากประตูไม่มีป้ายอะไรติดอยู่เลย แล้วก็ไม่เห็นนามของแดนม่านหมอกอยู่ด้วย แม้แต่คนยืนต้อนรับยังไม่มี ดูผิวเผินเหมือนเคหาสน์หลังน้อยสุดแสนจะธรรมดา
เ่ิูชะงัก มองดูจนแน่ใจว่าไม่ได้มาผิดที่แล้วจึงผลักประตูเข้าไป
ประตูไม้เปิดออกดังแกรกกราก
ในห้องโถงนั้นมีจอมยุทธ์ชุดดำรัดรูปนั่งอยู่สามคนห้าคน เหมือนจะเป็พวกองครักษ์ กำลังร่ำสุราดื่มด่ำกับอาหารร้อนๆ ได้ที่ น่าจะเป็พวกจอมยุทธ์ที่เพิ่งมาเข้างานเช้า เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด มีคนหนึ่งในนั้นเงยหน้าขึ้นมามองเ่ิู เขาเดินเข้ามาพยักหน้าให้ เดินนำเ่ิูไปไม่เอ่ยอะไรสักคำ
หลังจากห้องโถงก็เป็ระเบียงกระเบื้อง
ระเบียงเงียบสงัดยิ่งนัก มองไม่เห็นใครสักคน
เมื่อเดินตรงไปได้ร้อยเมตร ทางสองสายของระเบียงก็แตกออกไปอีกอย่างกับใยแมงมุม นำพาสู่อาคารแตกต่างกัน เ่ิูสายตาดีมากจึงกวาดมองที่ไกลๆ ได้ เห็นนามของพวกมันจนหมด ล้วนแล้วแต่งดงามเฉพาะตัวทั้งสิ้น นามสวนดอกไม้จั้วหลัน สวนชมหิมะ ชวนเงาดอกเหมย เป็ต้น เพียงแต่ปากประตูเป็รูปสี่เหลี่ยมเหมือนกันหมด เพราะประตูใหญ่สีดำขวางกั้นเอาไว้จึงมองไม่รู้ว่าด้านในเป็อย่างไร
เดินมาเท่าไร คนก็ยังน้อยอยู่ดี
บรรยากาศรอบด้านบริสุทธิ์สะอาดและสงบยิ่งนัก
ทุกอย่างที่นี่แตกต่างกับบนถนนด้านนอกที่วุ่นวาย รถม้ามาคนเดินไปยิ่งนัก ต่างกับสถานเริงรมย์ที่ร้องเพลงร่ายรำกันครึกครื้นอย่างเ่ิูคิดไว้ลิบลับ
จอมยุทธ์ชุดดำผู้นำทางเองก็เงียบตลอดทาง ฝีเท้าไม่เร็วไม่ช้าเดินไปชั่วดื่มชาครบถ้วยเต็มๆ ก็ผ่านมาหนึ่งลี้ ตรงนี้เองก็เพิ่งถึงปลายทาง หน้าประตูอาคารสีแดงสด
“มาถึงแล้ว”
จอมยุทธ์ชุดดำหยุดฝีเท้า
เ่ิูมองประตูแดงสดนั้น
แต่จอมยุทธ์ชุดดำไม่ได้ผลักประตูเข้าไป กลับหยิบตราประทับดวงหนึ่งออกมาจากอกแล้วกดลงบนผนังสีเทาทางขวาของประตู เกิดแสงระยิบระยับครู่หนึ่ง ระลอกดั่งคลื่นน้ำสั่นะเืออกมา อักขระสีเงินดุจัเงินขยับไหว แสงสว่างโชติ่
ผนังนี้เป็กระบวนอักขระหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
“เชิญคุณชายเย่” จอมยุทธ์ชุดดำไม่ได้เดินเข้าไป แต่กลับทำความเคารพเ่ิูครั้งหนึ่ง
เ่ิูนิ่ง เขาถามกะทันหัน “ที่แท้เ้าก็รู้จักข้าอยู่แล้วหรือ?”
“ภาพเหมือนจำลองของท่าน ข้าผู้น้อยได้เห็นมาร้อยครั้งแล้ว แม้ท่านจะเข้ามาที่แห่งนี้ทั้งที่สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า แต่จากจังหวะก้าวของท่านตอนที่เข้ามายังแดนม่านหมอก ตัวข้าเองก็รู้ว่าเป็ท่าน” จอมยุทธ์เอ่ยเสียงเคารพว่า “คุณชายเย่เชิญขอรับ ใต้เท้าหวังกำลังรอท่านอยู่”
เ่ิูยิ่งใเข้าไปใหญ่
ทว่าเขาก็มิได้ถามอะไร ก้าวยาวๆ ออกไป ผนังระลอกคลื่นท่วมเสมือนผืนน้ำ เพียงเดินผ่านก็รู้สึกเย็นสบายเหมือนลงแช่น้ำ ร่างกายสูญเสียน้ำหนักเล็กน้อย เหมือนกับครั้งที่เข้ากระบวนอักขระตอนลงสนามจริงอย่างกับแกะ
อึดใจต่อมา เ่ิูก็ดั่งเห็นแสงวาบตรงหน้า วิสัยทัศน์เบื้องหน้าเปลี่ยนแปลงอีกครา
เหมือนกับเป็โลกใบใหม่
สระน้ำ
ูเาจำลอง
น้ำพุ
อากาศมีลมพัดเอาหิมะส่วนเล็กส่วนน้อยมา สระน้ำและน้ำพุล้วนกลายเป็น้ำแข็ง
ปลายทางของศาลากลางน้ำนั้น มีเรือนร่างหนึ่งสวมอาภรณ์ยาวหันหลังให้เ่ิู ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ลมหนาวโชยพัดจนปอยผมสีฟ้าปลิวไสว เื้ัราวคนผู้ตัดขาดจากทั้งโลก เ่ิูรู้สึกลึกๆ ว่าช่างคุ้นเคยนัก เหมือนกับว่าเคยเจอกันมาก่อน
“เ้ามาแล้วหรือ”
น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังแว่วมา
คือหวังเยี่ยนนั่นเอง
เ่ิูถอนหายใจแล้วอ้าปากจะพูด...
ทว่าเมื่อร่างในอาภรณ์ยาวหันมาหา เ่ิูก็ชะงัก อ้าปากหวออย่างงงงัน
เพราะดวงหน้านั้น มิใช่ใบหน้าแสนธรรมดาของหวังเยี่ยนที่เขาคุ้นเคย
แต่เป็ใบหน้างามหมดจด สวยสดบันลือโลก
เ่ิูไม่รู้จะบรรยายหญิงตรงหน้านี้ว่ายังไง ท่าทางน่าจะอายุสักยี่สิบกว่าๆ เป็สตรีที่งดงามยิ่งนัก ผิวพรรณราวกับหยกขาว ไม่มีด่างพร้อยแม้แต่นิดเดียว ผมสลวยดุจปุยเมฆ เทพผู้รังสรรค์ต้องหลงรักนางเป็พิเศษแน่ ดวงหน้าทุกตารางนิ้ว ทุกส่วนโค้งเว้าของเรือนร่าง ประหนึ่งหยิบเอาความสมบูรณ์แบบที่พร้อมให้คนตกตะลึงมาเจียระไน กล้าพูดได้ชนิดไม่เกินจริงเลยว่า สตรีตรงหน้าเขานี้ คือหญิงที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
“อะไร เ้าไม่รู้จักข้าหรือ?” น้ำเสียงสาวงามมีความซุกซนแอบแฝง
เสียงแสนคุ้นเคย
เสียงของหวังเยี่ยน
แต่ว่าดวงหน้านั้น...เกิดเื่อะไรขึ้น?
แววตาเ่ิูกอปรความฉงนหนักยิ่งขึ้น
“ทำไมเล่า? ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกเราเคยพบหน้ากันมิใช่หรอกหรือ?” สาวงามบันลือโลกเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เ่ิูยิ่งสับสน
เคยเจอที่ไหน?
ใช่แล้ว เื้ัเมื่อครู่นั่น...
ความคิดหนึ่งแล่นแวบขึ้นมาในสมองอย่างฉับพลันทันใด
เ่ิูพลันนึกออกว่าไฉนตอนที่เขามองเห็นเื้ัของนางถึงได้คุ้นอย่างประหลาด เป็เพราะกลิ่นอายและร่างนี้คือยอดฝีมือกระหึ่มฟ้า เซียนหญิงผู้น่าตะลึงพร้อมกระบี่บนนภา หวังเจี้ยนหรูนี่เอง
วันนั้น คมกระบี่ผ่าเวหา ตัดก้อนเมฆทะมึนเต็มฟ้าจนสิ้นไป เซียนกระบี่ยอดยุทธ์ลอยคว้างกลางอากาศ นำความตื่นตะลึงแก่ชีวิตนับไม่ถ้วนในเมืองลู่ิ วินาทีสุดท้าย ยามท้องฟ้าสว่างใสอีกครา ร่างราวกับเทพเซียนเยื้องกรายจากฟากฟ้าก็ได้ประทับลงลึกซึ้ง บนหัวใจและิญญาของนักยุทธ์นับคนไม่ถ้วน
เ่ิูเงยหน้ามองฟ้า ณ ยามนั้น แน่นอนว่าจดจำมันได้ไม่รู้ลืม
ดังนั้นตอนที่มองเห็นเื้ั ใจถึงได้เหมือนถูกบางสิ่งกระแทกอย่างจัง รู้สึกคุ้นเคยในทันที บัดนี้เมื่อสติกลับคืนร่างก็ยิ่งจับสังเกตได้ว่า สาวงามสุดใจตรงหน้านี้จะใช่เซียนกระบี่ยอดยุทธ์ ผู้หันหลังให้ทุกชีวิตบนฟากฟ้านั่นหรือไม่?
แต่ทำไมเสียงนาง ถึงได้เหมือนหวังเยี่ยนเปี๊ยบกันเล่า?
หรือว่า?
ใจเ่ิูพลันเต้นโครมครามอย่างคุมไม่อยู่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้