คังเหว่ยคิดว่าอาชีพของตนเองน่าเบื่อหน่าย เขาทำงานที่ไหนน่ะหรือ เขาทำงานที่กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม
กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมเป็ที่ที่คนธรรมดาสามารถเข้าไปได้หรือ? อย่างไรเสียนักศึกษาจากวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งยังยากที่จะถูกส่งเข้าไป เมื่อความเชี่ยวชาญไม่เหมาะสมกับหน้าที่การงาน พวกเขาก็ไม่รับนักศึกษาจากวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง ส่วนมหาวิทยาลัยซางตูจะได้หรือไม่ได้นั้นบอกยาก แต่คณะศิลปกรรมศาสตร์ไม่ได้แน่นอน!
กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมเป็หน่วยงานที่ดี มันคือกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศในภายหลัง และต่อจากนั้น สำนักงานยาสูบจะถูกผนวกรวมเข้าด้วยกัน หากชาติก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานสามารถหาอาชีพดีขนาดนี้ได้ เธอคงไม่โดนบังคับไปเป็พนักงานขายแน่นอน
กงหยางรู้สึกอิจฉา เซี่ยเสี่ยวหลานเองอยู่ในภาวะอารมณ์ผสมปนเปเหมือนกัน ชาติก่อนพอจบการศึกษาก็ประสบกับที่รัฐยกเลิกการจัดสรรอาชีพหลังจบการศึกษาพอดี
กลับมาชาตินี้ทันการจัดสรรอาชีพหลังจบการศึกษาแล้ว ถ้าไม่เกิดเหตุนอกเหนือความคาดหมาย มหาวิทยาลัยที่จะสอบติดก็คงดีกว่าชาติก่อนด้วย เพียงแต่เธอถูกลิขิตแล้วว่าจะไม่อาศัยอาชีพที่รัฐจัดสรรให้ทำมาหากินอย่างเดียว
สำหรับบ้านพักรับรองประจำหน่วยงานของคังเหว่ย ห้องสภาพแย่แค่ไหนก็ได้มาตรฐานอยู่ดี ในอนาคตเซี่ยเสี่ยวหลานนอนพักโรงแรมห้าดาวจนเคยชินจึงไม่รู้สึกอะไร ต่างจากกงหยางและคนงานทั้งสองที่หลิวหย่งพามาที่ไม่เคยนอนเตียงนุ่มนิ่มแบบนี้มาก่อน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น คังเหว่ยมารับคนอีกครั้ง หลิวหย่งปล่อยให้คนงานทั้งสองเดินเตร่อยู่บริเวณใกล้เคียง และไปบ้านของคังเหว่ยพร้อมเซี่ยเสี่ยวหลานและกงหยาง
กระทั่งเซี่ยเสี่ยวหลานยังอิจฉาทำเลบ้านของคังเหว่ย เนื่องจากชาติก่อนเธอซื้อบ้านแถบนี้ไม่ไหว
สิ่งของสัพเพเหระในบ้านถูกขนย้ายจนโล่งเกือบหมดแล้ว ทว่าก็ยังไม่พบครอบครัวของคังเหว่ย
“แม่ฉันย้ายไปอยู่บ้านย่าชั่วคราวน่ะ รอบ้านตกแต่งเสร็จแม่ค่อยย้ายกลับมา”
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้า เธอเคยฟังโจวเฉิงพูดถึงเื่ของคังเหว่ยว่า ตอนที่เขายังไม่ทันเกิดบิดาก็เสียชีวิต ปกติในบ้านมีเพียงคังเหว่ยและมารดาที่อาศัย แม้บ้านคังเหว่ยหลังนี้จะมีสองห้องนอน ทว่าไม่ขาดทั้งห้องรับแขก ห้องครัว และห้องน้ำ
“ลุง เราวัดขนาดก่อนดีกว่า”
หลิวหย่งหยิบตลับเมตรที่พกไว้ออกมา นักศึกษากงหยางก็รู้งานทีเดียว ช่วยจับตลับเมตรพลางจดข้อมูล
ตัวบ้านไม่ใช่ว่าไร้ซึ่งการตกแต่งภายในโดยสิ้นเชิง อีกทั้งฐานะบ้านคังเหว่ยไม่ได้แย่เสียด้วย เพียงแค่เครื่องเรือนล้วนเก่าล้าสมัยมากเท่านั้น แม้ข้าวของส่วนตัวได้ขนย้ายไปแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงดูออกว่าปกติคนที่อาศัยที่นี่ละเลยเพียงใด
โดยทั่วไปบ้านเรือนจะมีเ้าบ้านหญิงคอยดูแลเก็บกวาด เซี่ยเสี่ยวหลานชี้ไปที่เปียโนซึ่งยังไม่ทันได้เก็บไปในห้องรับแขก “คุณน้าเล่นเปียโนเป็ด้วยหรือ?”
คังเหว่ยจุดบุหรี่ “เล่นไม่บ่อยหรอก ปกติวางอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ”
นอกจากเปียโนที่แทบไม่ได้แตะ เซี่ยเสี่ยวหลานประเมินคราบสกปรกของพัดลมระบายอากาศบนผนังห้องครัวแล้ว คิดว่าปกติก็คงแทบไม่ได้ใช้ห้องครัวด้วยซ้ำ ดูเหมือนมารดาของคังเหว่ยจะไม่ใช่คนกระตือรือร้นกับการใช้ชีวิตเท่าไร จะบอกว่าเธอไม่ละเอียดลออ ก็ดันบรรเลงเปียโนได้ แต่เล่นไม่บ่อย และไม่ชื่นชอบการอยู่ในครัวนัก
เซี่ยเสี่ยวหลานวนเวียนอยู่ในบ้านหนึ่งรอบ จากนั้นก็เดินไปยังระเบียง
แผนผังของบ้านคังเหว่ยคือเมื่อเข้าประตูมาทางซ้ายมือเป็ห้องครัวและห้องน้ำ ห้องนอนใหญ่และห้องรับแขกอยู่ตรงข้ามกัน ห้องรับแขกรับแสงอาทิตย์จากด้านหน้าอาคาร ห้องนอนใหญ่รับแสงอาทิตย์จากอีกฝั่งของอาคาร ห้องนอนใหญ่มีระเบียงกว้าง ส่วนห้องนอนเล็กอยู่ทางซ้ายมือของห้องรับแขก มีพื้นที่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน และยังมีระเบียงอีกด้วย ภาพรวมแสดงเป็รูปร่างตัวอักษร ‘回’
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าตกแต่งได้ง่ายมาก อาคารในยุคนี้ตรงไปตรงมา สิ่งกีดขวางหน้าหลังน้อย นอกจากหน้าต่างที่บานค่อนข้างเล็กซึ่งกระทบต่อแสงแดด ก็แทบไม่มีจุดด้อยอื่นเลย บ้านของพื้นที่แถวนี้ในปักกิ่ง โดยปกติหน้าต่างบานไม่ใหญ่นัก อีกทั้งกระจกสองชั้นสำหรับเก็บความอบอุ่นยังไม่เป็ที่นิยม ดังนั้นการสร้างหน้าต่างบานใหญ่แบบนั้นจะส่งผลเสียต่อความความอบอุ่นในฤดูหนาวขนาดไหนน่ะ!
เซี่ยเสี่ยวหลานมีความคิดคร่าวๆ ในใจแล้วถึงลองถามคังเหว่ย
“เธอมีแนวการตกแต่งที่ชื่นชอบไหม? มุมมองต่องบประมาณตกแต่งภายในล่ะ เธอต้องอธิบายความ้าของตัวเองอย่างชัดเจน พวกเราถึงออกแปลนให้เธอได้ง่ายขึ้น”
แนวการตกแต่งภายใน?
คังเหว่ยคิดว่ารูปแบบการตกแต่งภายในของร้านเสื้อผ้าก็ไม่เลวทีเดียว
ทว่านั่นคือร้านค้า เหมือนจะฉูดฉาดเกินไปสำหรับในบ้าน
เซี่ยเสี่ยวหลานนำนิตยสารหนึ่งเล่มให้เขาดูตัวอย่างการตกแต่งภายในบ้านของต่างประเทศ “ผลลัพธ์อาจไม่เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว วัสดุตกแต่งส่วนใหญ่ในประเทศหาซื้อได้ยาก ผังบ้านก็ไม่เหมือนกัน บ้านเธอถือว่าขนาดใหญ่แล้ว ยังเทียบอาคารเดี่ยวขนาดเล็กของเมืองนอกไม่ได้เลย หยิบยืมใช้เป็แนวทางแล้วกันนะ”
บ้านคังเหว่ยไม่ถือว่าใหญ่หรอกหรือ หลิวหย่งกับกงหยางวัดขนาดเสร็จเรียบร้อย บ้านคังเหว่ยมีขนาด 69 ตารางเมตร นี่ยังไม่รวมระเบียงใช้สอยของอีกสองห้อง ระเบียงของห้องนอนเล็กขนาดกว้างสุดอยู่ที่มากกว่า 8 ตารางเมตร เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าสามารถก่อปิดเพื่อทำเรือนกระจกหรือห้องเปียโน
บ้านเรือนในสมัยนี้ไม่มีพื้นที่ใช้สอยร่วมกันมากนัก 69 ตารางเมตรคือพื้นที่ภายใน
คังเหว่ยพลิกนิตยสารไปมา แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้อยู่ดี กลั้นใจอยู่นานกว่าจะกล่าวออกมาในท้ายที่สุด
“ต้องดูดี แต่ไม่ต้องเหมือนโรงแรมพวกนั้น อย่างน้อยต้องเหมือนบ้านสินะ?”
“แล้วงบประมาณเล่า เธอมีมาตรฐานอยู่ในใจหรือไม่”
พอตกแต่งบ้านเสร็จสมบูรณ์ ไม่ว่าแจ้งราคากี่หมื่น คังเหว่ยย่อมจ่ายแน่นอน ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่คิดขูดเืขูดเนื้ออยู่แล้ว จึง้ารับทราบระดับราคาในใจของอีกฝ่าย จากนั้นค่อยยึดระดับราคานี้เพื่อทำการออกแบบและวางงบประมาณโดยเฉพาะ
“พี่สะใภ้ ฉันว่าร้านเสื้อผ้าเธอนั้นตกแต่งสวยไม่เบา จ่ายเงินไปเท่าไร?”
“ไม่ถึงสองหมื่นน่ะ”
อันที่จริงตอนแรกจ่ายไปหนึ่งหมื่นสองพันหยวน รวมกับส่วนที่หลิวหย่งออกสองพัน โดยรวมแล้วจ่ายไปราวหนึ่งหมื่นสี่พันหยวน เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมไม่อาจแจ้งจำนวนราคาที่เจาะจงแก่คังเหว่ยได้ นี่คือธุรกิจของหลิวหย่ง หากคังเหว่ย้าเลียนแบบ เช่นนั้นหลิวหย่งจะไม่ได้กำไรเลยแม้แต่น้อย คนทั้งกลุ่มก็มาปักกิ่งเสียเปล่ากันหมด
ถ้าหลิวหย่งไม่มีกำไร จะจ่ายค่าแรงให้คนงานทั้งสองได้อย่างไร ยังมีค่ากินอยู่ในปักกิ่งและตั๋วรถขากลับอีก
“แบบนี้นะ ฉันตั้งใจใช้เงินสามหมื่นหยวนสำหรับตกแต่งภายใน ถ้าตอนหลังเงินไม่พอ ลุงหลิวก็บอกฉันโดยตรงได้เลย”
เซี่ยเสี่ยวหลานจึงไม่เกรงใจ
การตกแต่งเกินงบประมาณเล็กน้อยถือว่าปกติสามัญมาก บ้านของใครตกแต่งภายในไม่เกินงบบ้าง?
คราวก่อนโจวเฉิงก็คว้ากระเป๋าถือซึ่งเกรงว่าด้านในมีเงินสดหลายหมื่นและจะยื่นให้เซี่ยเสี่ยวหลาน เธอรู้ว่าสองคนนี้ขายบุหรี่เก็งกำไรได้เงินมามาก คังเหว่ยเองก็ไม่ขัดสนเื่เงิน สามหมื่นหยวนในปี 84 คือเงินจำนวนไม่น้อยจริงๆ ซื้อบ้านหลังเล็กที่ไม่ใช่ทำเลทองในปักกิ่งก็ยังเหลือแหล่
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ หลิวหย่งรู้ แต่กงหยางผู้น่าสงสารไม่รู้
สิ่งนี้ะเืไปทั้งจิตใจกงหยาง
เงินอุดหนุนนักศึกษาของกงหยางหนึ่งเดือน 21 หยวน เขาคาดว่าตนเองจบการศึกษาแล้วเงินเดือนก็คงไม่เกิน 100 หยวน นี่ใช้ 30000 หยวนมาตกแต่งบ้าน? ไม่แปลกใจที่เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวหย่งต้องพาคนจากซางตูมายังปักกิ่งเพื่อรับงาน
ั้แ่ออกจากบ้านคังเหว่ย เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวหย่งก็ได้พากงหยางเดินสายไปยังสถานที่ขายวัสดุก่อสร้างทั่วปักกิ่งอย่างไม่หยุดหย่อน
ปักกิ่งและซางตูแตกต่างกันยิ่งนัก ร้านค้าวัสดุก่อสร้างมากกว่าทีเดียว อีกทั้งก่อตั้งเป็เขตขนาดย่อม รูปแบบของกระเบื้องหลากหลายกว่าซางตู หลิวหย่งดูหนึ่งร้านก็ถามหนึ่งประโยค ใช้สมุดจดราคาทั้งหมดไว้ ส่วนเซี่ยเสี่ยวหลานพากงหยางไปดูวัสดุจริง ถ้าจะวาดออกมา ย่อมต้องมีภาพจำโดยคร่าวสินะ?
งานประเภทนี้ทำหนึ่งวันก็ไม่เสร็จ เซี่ยเสี่ยวหลานตะลอนในปักกิ่งอยู่สองวัน
คืนวันที่สามถึงออกแบบภาพโดยคร่าวๆ ได้ และปรึกษากับกงหยางอีกครั้งว่าจะวาดอย่างไร สีสันของเครื่องเรือน รูปร่างของไฟ ปี 84 ไม่มีคอมพิวเตอร์ออกแบบ การทำภาพจำลองผลเพียงไม่กี่แผ่นจึงยุ่งยากเช่นนี้
เซี่ยเสี่ยวหลานและกงหยางอดนอนทั้งคืน
ดวงตาของกงหยางแดงก่ำราวกับกระต่าย ดื่มกาแฟขมขื่นตามเซี่ยเสี่ยวหลานเป็ครั้งแรก
หลิวหย่งเองก็ไม่ได้สบายเลย เขาต้องตั้งงบประมาณจากภาพจำลองผลที่พวกเซี่ยเสี่ยวหลานทำออกมา เพื่อง่ายต่อการเสนอรายการให้คังเหว่ย ราคาวัสดุนั้นหลิวหย่งได้จดไว้หมดแล้ว ภายในสามหมื่นจะสร้างผลลัพธ์แบบที่เซี่ยเสี่ยวหลาน้าได้หรือไม่ หลิวหย่งคำนวณไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
“ค่าแรงของคนงานสองคนจะคิดอย่างไร ช่างไม้ของปักกิ่งค่าแรงเท่าไรต่อวัน ต้องใช้ไม้มากแค่ไหน ลุงต้องคำนวณออกมาทั้งหมดนะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้