ข้ากลับมานั่งที่เดิมทว่าเนื่องจากวันนี้ศิษย์ผู้หญิงที่นั่งแถวหน้าขาดเรียนกันไปเยอะซูเหยียนจึงบอกให้ข้าไปนั่งข้างนางข้าเลยเก็บสมุดตำราแล้วเดินไปนั่งลงข้างซูเหยียนท่ามกลางสายตาที่อิจฉาตาร้อนของพวกศิษย์ผู้ชาย
“เ้ารู้ไหมว่าคำเชิญการจัดอันดับัพยัคฆ์นั้นหมายถึงอะไรแล้วเ้ารับมาแบบนี้ได้อย่างไรกัน?” นางพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“หมายถึงอะไรล่ะ?”
“ป่าร้างบูรพานั้นถือว่าเป็พื้นที่เขตนอกที่นั่นไม่มีแม้แต่ทหารของสหพันธ์ บางทีอาจจะมีสัตว์ิญญาระดับสูงหรืออะไรที่มีพลังอันน่ากลัวโผล่ออกมาด้วยแม้ว่าผู้ที่อยู่ในอันดับัพยัคฆ์จะส่งผู้ที่มีฝีมือไปกำจัดสัตว์ิญญาพวกนั้นทุกๆปี แต่ว่ามันไม่เป็ความจริงหรอกเพราะฉะนั้นการจะเข้าไปในเขตป่าร้างบูรพาจึงอันตรายมากๆและแน่นอนว่ามันอันตรายกว่าที่สนามเซินยวนหลายเท่าเลยล่ะ”
ข้าขมวดคิ้วพลางถาม“เมื่อก่อนข้าก็เคยได้ยินคนพูดกันนะ แต่ข้าก็ไม่เข้าใจทั้งหมดหรอกแต่พอฟังดูแล้วมันก็ท้าทายดี หรือว่าเ้าไม่อยากไป?”
ดวงตาคู่สวยของซูเหยียนมองค้อนมาทางข้าพร้อมกับแก้มที่แดงระเรื่อ “อยากไปสิ ไม่อย่างนั้นข้าจะขัดขืนคำสั่งของท่านพ่อทำไมล่ะแต่ยังมีเื่ที่เ้าไม่รู้ก็คือทุกๆห้าปีคำเชิญการจัดอันดับัพยัคฆ์นั้นไม่เพียงแต่จะเรียกรวมตัวผู้ที่มีฝีมือจากสำนักเท่านั้นทว่าพวกเขายังเรียกรวมตัวพวกนักดาบพเนจร นักฆ่า และทหารรับจ้างอีกซึ่งคนพวกนี้จะไม่ถูกจำกัดอายุหรือว่าฐานะใดๆ ก็ตามจุดมุ่งหมายของพวกเขามาเพียงเพื่อฆ่าเท่านั้นเพราะสุดท้ายแล้วผู้ที่ได้รับตราเชิญมากที่สุดยี่สิบคนแรกถึงจะมีสิทธิ์เข้าสู่การจัดอันดับัพยัคฆ์ได้เ้าไม่รู้หรอกว่าคนที่เ้าเจอนั้นจะเป็นักฆ่าหรือนักดาบพเนจรอีกอย่างท่ามกลางผู้ที่เข้าร่วมคำเชิญนี้อาจจะมีผู้มีฝีมือที่มีการบำเพ็ญั้แ่ผู้พิทักษ์ระดับพิภพไปจนถึงผู้พิทักษ์ระดับดาวปรากฏขึ้นก็ได้มันก็เลยเป็การแข่งขันที่ไม่ยุติธรรมั้แ่แรก”
ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วมองไปที่ดวงตาอันสวยงามของนางจากนั้นก็พูดขึ้น “เสี่ยวเหยียนนี่เ้ากังวล...ว่าข้าจะถูกลั่วเหยียนลอบฆ่าที่ป่าร้างบูรพาอย่างนั้นเหรอ?”
“แล้วเ้าคิดว่าไงล่ะ?”
นางลูบจมูกไปมาเบาๆแล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่แค่ลั่วเหยียนนะ คงมีอีกหลายคนเลยที่อยากจะฆ่าเ้าเนื่องจากอยากจะได้ตราเชิญชิ้นนั้นที่อยู่ในมือเ้าเพราะมันคือสิ่งที่สามารถยืนยันพลังอันแข็งแกร่งและชื่อเสียงเกียรติยศของพวกเขาได้ยังไงล่ะ”
“วางใจเถอะน่า เหลือเวลาอีกตั้งสามเดือนแน่ะ!” ข้าพูดออกไปเบาๆ“ยังมีโอกาสนะภายในสามเดือนนี้ข้าจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งจนกลายเป็ผู้ที่ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาฆ่าได้เชียวล่ะ!”
ซูเหยียนยิ้มร่าออกมา“อืม ข้าก็เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นพอได้เข้าไปในป่าร้างบูรพาแล้วพวกเรามารวมกลุ่มกันเถอะถึงตอนนั้นถ้าเจอผู้มีฝีมือที่บำเพ็ญผู้พิทักษ์ระดับพิภพเข้าไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เปรียบก็ได้”
“อืม!”
ตั้นไถเหยาที่ยืนอยู่ข้างๆพูดขึ้นอย่างแค้นใจ “น่าเสียดายจังที่ข้าไม่มีคุณสมบัติพอในการเข้าร่วมตราเชิญ ไม่อย่างนั้นละก็...ช่างเถอะถึงยังไงข้าก็คงจะถูกกำจัดออกไปก่อนอยู่ดี”
ข้าได้ยินแล้วก็พูดไม่ออก
เนื่องจากอาจารย์หลันเท้อสอนได้น่าเบื่อมากข้าเลยฟุบลงบนโต๊ะจากนั้นก็ผล็อยหลับไป โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ทว่าจู่ๆก็มีคนมาเขย่าไหล่ข้าเบาๆ พอลืมตาขึ้นก็พบว่าเลิกเรียนกันแล้วและคนที่ปลุกข้าก็คือซูเหยียน ดวงตาคู่สวยอันจ้องมองมาข้าเป็ประกาย และว่าพลางยิ้ม“เ้าคนกินจุ พวกเราไปทานมื้อกลางวันที่ร้านจุ้ยเซียนกันดีไหม? กินของดีๆ เพื่อบำรุงร่างกายของเ้ากันหน่อย”
“เอาสิ ถ้าเ้าเลี้ยงข้าก็ไป”
“ฮึ เ้านี่มันขี้งกจริงเลย ข้าเลี้ยงก็ได้”คุณหนูแห่งพันธมิตรนักปราชญ์ขาวกอดอกแน่นพร้อมกับทำท่าทางไม่พอใจ
“พวกข้าไปด้วยสิ”
ถังเชวียหรานหลิงถงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้นมาพร้อมกัน
“เอาสิ ไปด้วยกันๆ”
และทันทีที่พวกข้าเดินลงจากตึกไม่ไกลนักก็เห็นว่าลั่วเหยียนกับศิษย์อีกสองสามคนของสำนักหยุนต้งยืนรอกันอยู่ที่ด้านล่างอย่างไรก็ตามคนพวกนี้ก็เป็คนจากสำนักหยุนต้ง เพราะฉะนั้นแต่ละคนแทบจะบำเพ็ญไปได้มากกว่าผู้พิทักษ์มนุษย์่สุดท้ายกันหมดแล้วและอย่างน้อยสามคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นอาจจะบำเพ็ญไปได้ถึงผู้พิทักษ์ระดับพิภพ่แรกแล้วก็เป็ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ยังเห็นได้ชัดเจนว่าลั่วเหยียนเป็ผู้มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในนั้นและศิษย์พวกนั้นก็ดูจะเคารพนับถือเขามากจนสามารถน้อมรับและทำตามคำสั่งของเขาได้ทุกประการ
แต่โดยพื้นฐานแล้วทุกสำนักก็คงมีอะไรแบบนี้อยู่เพราะใครๆ ก็อยากจะรายล้อมผู้ที่มีพลังอำนาจเพื่อจะได้ใช้สิ่งนี้มาเพิ่มบารมีให้กับตัวเองไงล่ะ
ลั่วเหยียนเดินปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับดวงตาเป็ประกาย “ซูเหยียน เลิกเรียนแล้วเหรอ?”
“อืม ใช่” ซูเหยียนพูดออกไป
“วันนี้เป็วันเกิดของข้า ข้าเลยจะเลี้ยงข้าวมื้อกลางวันที่ร้านจุ้ยเซียนดังนั้น...ข้าถึงมารับเ้า ไว้หน้าข้าหน่อยเถอะนะ”
ซูเหยียนขมวดคิ้วแล้วยิ้มออกไปเล็กน้อย“ขอโทษด้วยนะ ตอนเที่ยงข้ามีนัดทานข้าวแล้วคือข้ามีนัดต้องไปเลี้ยงข้าวปู้อี้เชวียนกับเชวียหรานที่ร้านจุ้ยเซียนน่ะฉะนั้นคงไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของเ้าไม่ได้แล้วล่ะ”
“ไม่เป็ไร”
ลั่วเหยียนขมวดคิ้วพูดขึ้น“ถ้าอย่างนั้นให้พวกเขาไปด้วยสิ? ถึงอย่างไรข้าก็จองห้องโถงใหญ่ไว้อยู่แล้วไปด้วยกันทั้งหมดนี่ก็คงไม่เป็ไรหรอก”
“ก็ได้” ซูเหยียนพยักหน้ารับอย่างเบิกบาน
ลั่วเหยียนดีใจอย่างเห็นได้ชัดจึงเดินเพื่อเข้ามาจับมือของซูเหยียน ทว่าซูเหยียนกลับเอามือหลบไปอย่างรวดเร็วสีหน้าของนางเต็มไปด้วยความอายและความโกรธ “เ้าจะทำอะไร?”
“ข้า...” ลั่วเหยียนได้แต่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผู้คนโดยรอบก็จ้องมองเขาจึงหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที “ข้านึกว่าทำแบบนี้...ทำแบบนี้ได้ ข้าเลย...”
ข้าหัวเราะร่าแล้วเดินเข้าไปยืนตรงกลางระหว่างซูเหยียนกับลั่วเหยียน จากนั้นก็พูดขึ้น“ไม่ใช่ว่าจะไปกินข้าวกันเหรอ? ไปเถอะ รออะไรกันอยู่ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”
ลั่วเหยียนพยักหน้ารับพร้อมกับแก้มที่แดงระเรื่อ“อืม”
แต่เขากลับส่งสายตาอำมหิตมาแวบหนึ่งเหมือนกับจะบอกเป็นัยๆ ว่า “เพื่อนของซูเหยียน” คนนี้ขวางหูขวางตาจริงๆแต่ช่วยไม่ได้เพราะถึงตอนที่ข้าจะต้องแสดงต่อนี่นา
ซูเหยียนยืนเหม่อคิดอะไรอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งจากนั้นก็หันหลังไปพูด “ลุงหลง ท่านมานี่หน่อยสิ...”
ลุงหลงที่ซ่อนอยู่ด้านหลังตึกะโออกมาพร้อมกับพูดตอบอย่างหนักแน่น“คุณหนู มีอะไรให้ข้ารับใช้ขอรับ!”
ซูเหยียนพูดขึ้น“ท่านส่งคนไปบอกท่านพ่อทีว่าข้าอยากจะจ้างองครักษ์คนหนึ่งเอาไว้ปกป้องและอยู่เคียงข้างข้าทุกๆวัน”
ลุงหลงใอยู่พักหนึ่ง“คุณหนู ท่านจะทิ้งข้าหรือ...ข้าบกพร่องในการปกป้องรักษาตรงไหนอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
ซูเหยียนอมยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือไปตบที่ไหล่ของลุงหลงเบาๆ จากนั้นจึงพูด “ลุงหลงท่านไม่ได้มีปัญหาเื่การดูแลปกป้องข้าหรอก แต่หลักๆเลยคือข้าอยากจะได้องครักษ์ข้างกายที่ยังหนุ่มและหล่อน่ะเ้าดูสิ...ปู้อี้เชวียนคนนี้ถึงแม้จะดูพึ่งพาไม่ได้สักเท่าไรทว่าพละกำลังของเขานั้นไม่เลวเลยทีเดียวอันนี้ยืนยันได้ด้วยการที่เขาได้อันดับหนึ่งของสนามเซินยวนเลยนะ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงอยากจะจ้างเขาเป็องครักษ์ของข้าท่านช่วยบอกให้ท่านพ่อทำสัญญาให้หน่อยสิ ได้ไหม?”
ลุงหลงขมวดคิ้วพลางพูด“ถ้าเป็แบบนี้...ข้าน้อยก็ยินดีจะจัดการให้ขอรับอีกอย่างข้าคิดว่าท่านเสนาบดีก็คงจะไม่คัดค้านอะไรด้วย”
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็รีบจัดการให้ข้าด้วยแล้วกันนะ!”
“ขอรับ!”
ลั่วเหยียนรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นทุกอย่างสีหน้าของเขาจึงย่ำแย่ลงทันที “เสี่ยวเหยียนความจริงแล้วข้า...ข้าก็รับหน้าที่เป็ผู้ดูแลข้างกายเ้าได้นะ!”
ซูเหยียนยิ้มเล็กน้อย“การที่ข้าเลือกองครักษ์ ข้าไม่ได้ดูว่าใครอยากจะเป็องครักษ์ แต่ข้าดูว่าข้าอยากได้ใครเป็องครักษ์ต่างหากล่ะ”
ข้าพูดอย่างจำใจ“แต่ว่าข้ายังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะ เ้าจะมาตกลงแทนข้าได้ยังไง?!”
...
“เงินสองร้อยล้านต่อหนึ่งปี”
“ตกลงขอรับเถ้าแก่เหยียน มีอะไร้าให้รับใช้บอกได้เลยนะขอรับ!”
“...”
...
เมื่อข้าอยู่ในฐานะองครักษ์ทุกอย่างจึงดูสมเหตุสมผลขึ้นมาทันที
ภายในร้านจุ้ยเซียนบรรยากาศครึกครื้นพอสมควร
เนื่องจากลั่วเหยียนเป็อัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักหมื่นิญญาและเป็ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของเมืองลั่วเฉินเหอ เขาจึงมีคนรู้จักมากมายดังนั้นภายในงานเลี้ยงจึงมีโต๊ะจัดวางอยู่เกือบยี่สิบกว่าตัวเขาเปลี่ยนไปสวมชุดหรูดูมีเกียรติและสูงศักดิ์มาก จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างสุภาพ“โต๊ะตัวหลักจะอยู่ตรงกลาง ซูเหยียน ตั้นไถเหยา ถังเชวียหราน และหลิวถงเอ๋อร์พวกเ้ามานั่งโต๊ะเดียวกับข้าเถอะ เชิญด้านนี้”
ไม่นึกเลยว่าจะไม่เชิญข้านี่มันตั้งใจทำให้ข้าขายขี้หน้าชัดๆ ใช่ไหมเนี่ย?”
ทว่าทันใดนั้นซูเหยียนก็ยื่นมือมาคล้องแขนข้าแล้วดึงให้เดินไป“มัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบไปเตรียมตัวกินข้าวได้แล้ว!”
ข้าหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ซูเหยียนนี่ไม่ไว้หน้าลั่วเหยียนแม้แต่นิดเดียวจริงๆ หักหน้าเขาไม่หยุดเลย
โต๊ะหลักจะเป็โต๊ะขนาดใหญ่นั่งได้สิบแปดคนซึ่งในโต๊ะนี้นอกจากลั่วเหยียนกับลั่วหว่านแล้วยังมีศิษย์จากสำนักหยุนต้งอีกกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ด้วยและสายตาของแต่ละคนที่จับจ้องข้าต่างนั้นเต็มไปด้วยความไม่เป็มิตรแต่ก็ไม่แปลกเพราะพวกเขาล้วนเป็คนของลั่วเหยียน ฉะนั้นในสายตาของพวกเขาข้าจึงเป็แค่คนที่เกะกะขวางหูขวางตาเท่านั้นอีกทั้งตอนนี้ข้าก็กำลังมีภัยคุกคามต่อที่นั่งของพวกเขาอีกด้วย
“ปู้อี้เชวียน ขอโทษด้วยจริงๆ นะ!”
ลั่วเหยียนพูดพลางทำสีหน้ารู้สึกผิด“รายชื่อทั้งสิบแปดคนของโต๊ะหลักถูกจัดเตรียมไว้ครบหมดแล้วถ้าเ้ามาก็เกินเป็สิบเก้าคน แล้วอีกอย่างข้าก็ไม่ได้เตรียมที่นั่งไว้ให้เ้าด้วยเอาเป็ว่า...เ้าไปนั่งโต๊ะอื่นแทนนะ เพราะถึงยังไงอาหารก็เหมือนกันหมด”
เขาพูดไปพลางโบกมือเรียก“เสี่ยวเหยียน มานั่งข้างๆ ข้าตรงนี้สิ?”
เมื่อซูเหยียนเห็นดวงตาคู่สวยเป็ประกายของนางก็มีความโกรธเคืองปะทุขึ้นมาทันที “ไม่เป็ไรเดี๋ยวข้าไปนั่งโต๊ะอื่นกับปู้อี้เชวียนก็ได้”
“ได้ไงล่ะ เ้าเป็แขกคนสำคัญของข้านะ”
ลั่วเหยียนจึงพูดขอโทษข้าอีกครั้ง“ปู้อี้เชวียน ข้าขอโทษเ้าจริงๆ นะ โต๊ะหลักมันเต็มแล้วจริงๆและข้าก็ไม่ได้เตรียมเก้าอี้ไว้เพิ่มด้วย ฉะนั้น...เ้าไปนั่งโต๊ะอื่นเถอะนะ?”
“ไม่เป็ไร เ้าไม่ต้องรู้สึกผิดขนาดนั้นหรอก”
ข้ายิ้มร่าแล้วพูดออกไป“เ้าไม่มีเก้าอี้ก็ไม่เป็ไร เพราะข้ามีอยู่แล้ว”
ข้าพูดพลางหยิบเก้าอี้พับจากแหวนกระดูกจักรภพออกมาหนึ่งตัวจากนั้นก็กางออกนั่งลงตรงกลางระหว่างเขากับซูเหยียน ความสูงของมันพอดีเป๊ะเลยที่จริงข้าพกมันติดตัวเอาไว้ใช้ตอนไปฝึกพลังที่หุบเขา
หลิงหยุนน่ะแต่ไม่นึกเลยว่าจะได้เอาออกมาใช้ตอนนี้!
“เฮ้ย...”
บนหน้าของกลุ่มศิษย์จากสำนักหยุนต้งเต็มไปด้วยคำว่า“นับถือ” แม้แต่ลั่วหว่านยังก้มหน้าลงไปหัวเราะอย่างอดไม่ได้เลย
ลั่วเหยียนขมวดคิ้วแล้วพูดต่อ“เอาที่นั่งของตัวเองมาอย่างนั้นเหรอ ก็ได้ แต่ว่าข้าไม่มีตะเกียบให้นะอีกอย่างข้าได้ยินมาว่าที่ร้านจุ้ยเซียนวันนี้คนค่อนข้างเยอะจึงไม่เหลือตะเกียบสักอันเลยน่ะ”
“ไม่เป็ไร อันนี้ข้าก็เอามาเหมือนกัน”
ข้าหยิบตะเกียบสีขาวบริสุทธิ์ดั่งหยกออกจากแหวนกระดูกจักรภพแล้วควงไปมาในอากาศ จากนั้นจึงพูดขึ้น “ตะเกียบงาช้างทำมาจากพลาสติก เป็ไงข้าดูตระหนักถึงการปกป้องรักษาสัตว์ป่ามากเลยใช่ไหมล่ะ”
ทุกคนขำกันจนแทบจะพ่นน้ำชาออกมาและนับถือข้าทั้งกายและวาจาแล้วจริงๆ
“เอ่อ เ้า...จะนั่งตรงนี้ใช่ไหม?” ลั่วเหยียนรู้สึกผิดหวังและสับสนเล็กน้อย
“อืม ใช่”
ข้านั่งลงแล้วพูดขึ้น“ทุกคนต่างก็ได้ยินที่คุณหนูซูเหยียนพูดเมื่อกี้แล้วว่าจะจ้างข้าเป็องครักษ์ข้างกายเพราะฉะนั้นข้าต้องทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด อีกอย่างร้านจุ้ยเซียนนี้ก็งูเงี้ยวเขี้ยวขอเยอะด้วยถ้าข้าไม่นั่งตรงนี้ข้าคงต้องถูกไล่ออกแน่”
ลั่วหว่านกระแอมเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น“อาเหยียน วันนี้เป็วันเกิดเ้านะ มีความสุขหน่อยสิ เอาล่ะมาเริ่มทานข้าวกันเถอะ!”
“อืม”
ลั่วเหยียนที่นั่งอยู่ทางด้านขวาของข้ามีสีหน้าท่าทางโกรธเป็ฟืนเป็ไฟจากนั้นก็มองมายังซูเหยียนที่นั่งถัดจากข้าไปแล้วพูด “เสี่ยวเหยียนท่านเสนาบดีจะยินยอมให้เ้าว่าจ้างศิษย์เป็องครักษ์แนบกายจริงเหรอ?”
“ยอมสิ”
“ออ...”
แค่เพียงคำว่า“ออ” คำเดียว ก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้