“มือเ้าเจ็บ ข้าล้างจานเอง” จางเจิ้นอันเอ่ยขึ้น พลางยื่นมือไปกดไหล่อันซิ่วเอ๋อร์ที่กำลังจะลุกขึ้นให้นั่งลงตามเดิม ก่อนที่ตนเองจะเดินเข้าไปในครัว
ดวงตาอ่อนโยนของอันซิ่วเอ๋อร์มองตามไปยังห้องครัว ไม่นานก็ได้ยินเสียงน้ำและจานกระทบกันดังแว่วมา ความรู้สึกสงบสุขอย่างที่ไม่เคยััมาก่อนค่อยๆ เอ่อล้นขึ้นในใจ ประหนึ่งไอหอมกรุ่นที่อบอวลอยู่รอบใจนาง
พลันนึกขึ้นได้ว่าเขาคงล้างจานได้ไม่สะอาดนัก อันซิ่วเอ๋อร์จึงเดินตามเข้าไปในครัว นางมองเขาขัดถูล้างจานพลางเอ่ยเตือนอยู่ข้างๆ “เฮ้อ ท่านพี่เช็ดขอบชามอีกหน่อย ก้นชามด้วย...เอ้อ คว่ำลงแบบนั้น แล้วก็ซ้อนตามขนาดให้ดี”
จางเจิ้นอันไม่เคยคิดมาก่อนว่าแค่การล้างจานจะมีรายละเอียดหยุมหยิมถึงเพียงนี้ แต่เมื่อรับปากทำแล้วก็จำต้องทำตามที่นางบอก เช็ดน้ำบนโต๊ะให้แห้ง เช็ดเตาไฟให้สะอาด ซักผ้าขี้ริ้วแล้วกางผึ่งไว้ให้ดี
เห็นว่ายังพอมีเวลา อันซิ่วเอ๋อร์จึงถือโอกาสใช้ให้จางเจิ้นอันปอกหน่อไม้ที่เหลืออีกสองหน่อ หั่นเป็ชิ้นเล็กๆ แล้วหมักด้วยเกลือกับน้ำส้มสายชู
แม้จางเจิ้นอันจะรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง แต่ก็ยังทำตามที่นางบอกทุกอย่าง จนได้รับคำชมจากนางในที่สุด “ฝีมือใช้มีดของท่านไม่เลวเลยนะ”
อืม พ่อบ้านพ่อเรือนผู้เก่งกาจรอบด้าน คงหมายถึงตนเองกระมัง
เมื่อราตรีมาเยือน แม้มือของอันซิ่วเอ๋อร์จะพองเป็ตุ่มน้ำ แต่นางก็ยังจุดตะเกียงน้ำมันนั่งปักผ้าอยู่ในห้อง อย่างไรเสียนิ้วมือของนางก็ไม่ได้าเ็ จึงไม่กระทบต่อการจับเข็ม
จางเจิ้นอันนั่งรับลมเย็นอยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง รู้สึกว่าวันนี้อากาศเย็นลง ลมค่อนข้างแรง พัดจนหลังคาดังลั่น เขาจึงรินสุราดื่มเองสองจอกเพื่อแก้หนาว พอฟ้าเริ่มมืดค่ำจึงกลับเข้าห้อง เป็จังหวะเดียวกับที่อันซิ่วเอ๋อร์ปักเข็มสุดท้ายเสร็จพอดี
พอเห็นเขาเข้ามา อันซิ่วเอ๋อร์ก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นอวดราวกับได้ของล้ำค่า ถามเขาว่า “เป็อย่างไรบ้าง ข้าปักได้ไม่เลวใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินนางถามเช่นนั้น ความสนใจของจางเจิ้นอันก็ถูกดึงไปยังผ้าผืนนั้นทันที เห็นเพียงผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นงดงามยิ่งนัก ขอบผ้าปักลายดอกไม้เล็กๆ อยู่บริเวณรอบๆ มุมทั้งสี่ปักลายดอกกล้วยไม้ เว้นพื้นที่ว่างตรงกลางไว้สำหรับเช็ดหน้า จะได้ไม่ระคายผิว
เขาละสายตาแล้วเอ่ยตอบส่งๆ “ก็สวยดี”
“ใช่หรือไม่เล่า แล้วท่านชอบหรือไม่? ท่านอยากได้หรือเปล่า?” อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าถามอีกครั้ง
เมื่อเห็นจางเจิ้นอันไม่ตอบ นางจึงกล่าวต่อ “หากท่านอยากได้ ข้าก็จะให้ท่าน หากท่านไม่้า ก็ช่วยนำไปขายที่ตลาดในเมืองให้ข้าที แล้วก็ซื้อด้ายไหมกับผ้ากลับมาให้ข้าด้วย”
“เช่นนั้นก็ให้ข้าเถอะ” จางเจิ้นอันเอ่ยเสียงเรียบ เขาหรือจะเป็บุรุษที่ยอมให้ภรรยาตนต้องปักผ้าหาเงินมาจุนเจือครอบครัว อีกทั้งผ้าผืนนี้ก็ใช่ของธรรมดา หากมีชายอื่นซื้อไป มิใช่จะทำให้ชื่อเสียงของนางเสียหายหรอกหรือ?
คิดดังนั้น เขาก็ยื่นมือรับผ้าเช็ดหน้าจากนางมาเก็บไว้ในอกเสื้อ ตอนนั้นเองที่บังเอิญได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา ทำให้ใจเกิดหวั่นไหวขึ้นมาอย่างประหลาด
อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกเสียดายเล็กน้อย ผ้าผืนนี้กว่าจะปักเสร็จต้องใช้เวลาถึงสองวัน เมื่อให้จางเจิ้นอันไปแล้ว นางก็ไม่อาจนำไปขายได้ เท่ากับว่าไม่มีเงินติดตัว แต่ครั้นคิดอีกที ก็เหมือนเป็การเอาใจเด็กน้อย ขอเพียงเขาดีใจก็พอแล้ว เป้าหมายที่นางพากเพียรอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อ้าให้ชีวิตความเป็อยู่ดีขึ้นมิใช่หรือ
“อย่างไรกัน ให้ผ้าผืนนี้แก่ข้าแล้วยังเสียดายอยู่อีกหรือ?” จางเจิ้นอันมองใบหน้าเล็กๆ ที่ฉายแววเสียดายของนางแล้ว พลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา
“เปล่าเสียหน่อย” อันซิ่วเอ๋อร์รีบยิ้มหวาน เอ่ยประจบเอาใจ “เดิมทีข้าก็ปักให้ท่านอยู่แล้ว”
“เ้าช่างพูดจาเอาใจคนเก่งนัก” น้ำเสียงของจางเจิ้นอันฟังดูยินดี อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกโล่งใจ นางคิดว่ายามเขาพูดจาอ่อนโยนเช่นนี้ น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขามีเสน่ห์น่าฟังยิ่งนัก
“ข้าพูดความจริงนะ” อันซิ่วเอ๋อร์เก็บกล่องเข็มกับด้ายให้เรียบร้อยแล้วเอ่ยต่อ “คนที่ข้าให้ความสำคัญ ข้าถึงจะเอาอกเอาใจให้เขาดีใจ ส่วนคนอื่นข้าไม่สนใจหรอก”
“อืม” จางเจิ้นอันนั่งอยู่บนเตียง พอดีกับที่นางเก็บของเสร็จแล้วหันกลับมา ริมฝีปากเล็กๆ ของนางเผยอขึ้นเล็กน้อย ใบหน้างดงามยังคงมีเค้าความอ่อนเยาว์ ดูไร้เดียงสาน่าเอ็นดูยิ่งนัก
จางเจิ้นอันรู้สึกขัดเขินจนต้องเบือนหน้าหนี พลันรู้สึกหัวใจเต้นรัวไม่เป็จังหวะ สองแก้มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ท่านเป็อะไรไป?” อันซิ่วเอ๋อร์เดินเข้ามาถาม จางเจิ้นอันไม่ตอบ โชคดีที่แสงตะเกียงสลัว นางคงมองไม่เห็นรอยแดงบนใบหน้าเขา
นางนั่งลงบนเตียง ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเอง เหลือเพียงเสื้อตัวในตัวเดียว จางเจิ้นอันหันกลับไปมอง เห็นเนินอกขาวผ่องของนาง และตู้โตว [1] ปักลายด้านในรำไร เขาพลันรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าเดิม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอีกครั้งสองครั้ง
สิ่งไม่ควรมอง อย่ามอง สิ่งไม่ควรมอง อย่ามอง
จางเจิ้นอันท่องสองประโยคนี้ในใจ แต่พลันคิดขึ้นมาว่านี่คือภรรยาของตน จะมีอะไรควรไม่ควรอีกเล่า? แต่แล้วก็คิดอีกว่าตนนั้นเรียกตัวเองว่าเป็ลูกผู้ชาย แต่ก็ไม่แน่ว่าจะรับผิดชอบนางได้ตลอดไป เห็นทีคงต้องดูแลนางในฐานะแขกผู้บอบบางที่มาอาศัยอยู่ด้วยไปก่อน
แต่เมื่อคิดอีกครั้ง หากในอนาคตคนที่จะอยู่เคียงข้างตนเป็นางก็คงจะดีไม่น้อย เหตุใดยังต้องคอยระวังตัวอยู่อีกเล่า? เขารู้สึกสับสนในใจ จึงล้มตัวลงนอน เอามือรองศีรษะแทนหมอน พลางจ้องมองเพดานอย่างเหม่อลอย
ต้องไม่ทำร้ายผู้อื่นเพราะตัณหาของตนเอง ต้องรู้จักข่มใจรักษาคุณธรรม ภรรยาในอนาคตของเขา จะต้องเป็คนที่เขารักสุดหัวใจ เป็คนที่เขาเปิดใจยอมรับได้อย่างแท้จริง เป็คนที่...
ขณะกำลังคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองอันซิ่วเอ๋อร์ บังเอิญนางตะแคงหน้าอยู่พอดี เมื่อเห็นเขามองมา นางจึงเม้มปากยิ้มให้ ดวงตาทั้งสองคู่นั้น ประดุจดวงดาวบนฟากฟ้า ประหนึ่งทะเลสาบบนผืนดิน กระจ่างใส งดงามจับใจยิ่งนัก
เขารู้สึกแปลกใจ ตนไม่ใช่คนหลงใหลมัวเมาในความงาม แต่เหตุใดภรรยาตัวน้อยผู้นี้กลับทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจอยู่เสมอ
คืนนี้อากาศเย็นลงมาก ผ้าห่มของจางเจิ้นอันค่อนข้างบาง อันซิ่วเอ๋อร์นอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนนั้น ซึ่งกว้างพอดีแค่คลุมร่างกายนาง ทำให้ด้านข้างมีลมลอดเข้ามาได้ นางรู้สึกเย็นะเืไปทั้งตัวจนข่มตาหลับไม่ลง
“ข้าขยับเข้าไปนอนใกล้ๆ ท่านอีกนิดได้หรือไม่?” ในที่สุดนางก็ทนความหนาวไม่ไหว ตะแคงหน้าไปถามเขา
จางเจิ้นอันสุขภาพแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไร แม้ในฤดูหนาวอันโหดร้ายเขาก็ใช้ผ้าห่มผืนนี้ จึงไม่รู้สึกหนาวเท่าใดนัก แต่เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น ประกอบกับเสียงลมด้านนอกที่หวีดหวิวดุจภูตร่ำไห้ เขาก็ขยับตัวเข้าไปด้านในเล็กน้อย
อันซิ่วเอ๋อร์รีบขยับตามไปทันที นางดึงชายผ้าห่มด้านข้างตัวเองมาปูรองด้านล่าง แล้วใช้เท้าตวัดผ้าห่มขึ้นมาห่อตัวจนมิดชิด
ไอหยา ดูเหมือนจะขยับตัวแรงไปหน่อย ดึงผ้าห่มฝั่งเขามาด้วยเสียนี่ นางรีบขยับออกเล็กน้อย แล้วใช้มือคลำๆ ดึงผ้าห่มไปคลุมให้เขา
มือััถูกร่างที่ร้อนผ่าวของบุรุษ แต่เขากลับคว้ามือของนางไว้ เขาจัดผ้าห่มคลุมตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเอ่ยว่า “หากยังหนาว ก็ขยับเข้ามาอีก”
“เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์รีบขยับเข้าไปอีก ยกแขนขึ้นกอดอกเขาพลางเอ่ย “ตัวท่านอุ่นจริงๆ ข้าขอกอดหน่อยได้หรือไม่?”
จางเจิ้นอันไม่ตอบ อันซิ่วเอ๋อร์จึงถือว่าเขาอนุญาต นางขยับเข้าไปใกล้ด้วยความพอใจ ยกขาขึ้นพาดบนขาของเขา แล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ที่บ้านข้าเคยเลี้ยงแมวสีเหลืองตัวใหญ่ตัวหนึ่ง พอถึงหน้าหนาว มันชอบมานอนเป็เพื่อนข้า ตัวมันอุ่นมาก ในฤดูหนาว ข้าชอบกอดมันนอนที่สุดเ้าค่ะ”
“แต่ต่อมาแมวสีเหลืองตัวนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย มันเป็แมวตัวเมีย ท่านแม่บอกว่ามันหนีตามแมวตัวผู้ไปแล้ว แต่ข้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่” อันซิ่วเอ๋อร์เล่าด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยเล็กน้อย
“แต่ว่าตัวท่านอุ่นกว่าเ้าแมวสีเหลืองนั่นเสียอีก แถมยังตัวใหญ่กว่าตั้งเยอะ พรุ่งนี้ข้าขอกอดท่านนอนอีกได้หรือไม่? ข้าจะอยู่นิ่งๆ แค่ซุกอยู่ข้างๆ ท่าน ไม่ขยับไปไหน ไม่รบกวนการพักผ่อนของท่านแน่นอน” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยต่อ
ในที่สุดจางเจิ้นอันก็ลืมตาขึ้น เขาตะแคงหน้ามองศีรษะเล็กๆ ที่ซุกอยู่ใต้วงแขนตน รู้สึกว่านางช่างเหมือนลูกแมวตัวน้อยเสียจริง
แม้นางจะไม่ได้ขยับตัวไปมาจริงๆ แต่แขนขาที่พาดอยู่บนร่างเขานั้นราวกับจุดไฟขึ้นบนตัว ทำให้ร่างเขาร้อนผ่าวยิ่งขึ้น หัวใจเต้นระส่ำไม่หยุดจนแทบไม่กล้าขยับตัว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหมือนนางจะหลับไปแล้ว มีเสียงลมหายใจแ่เบาออกมา เขาจึงค่อยๆ ยกแขนขาของนางออกจากตัว แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปรับลมเย็นที่ประตูเพียงลำพัง เขารู้สึกว่าตนเองจำเป็ต้องสงบสติอารมณ์เสียหน่อย
รอจนความร้อนรุ่มในกายค่อยๆ สงบลง เขาจึงกลับเข้าห้องนอน แต่ทว่าทันทีที่เขาล้มตัวลงนอน มือเล็กๆ อันอ่อนนุ่มไร้กระดูกนั้นก็เอื้อมมากอดอีกครั้ง ร่างกายที่เพิ่งจะเย็นลงเมื่อครู่ พลันกลับมาร้อนรุ่มราวกับถูกจุดไฟขึ้นอีกครา
แม่สาวน้อย หากเ้ายังทำเช่นนี้อีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ เขาคิดอย่างหมายมาดในใจ แต่แล้วพอพลิกตัว โอบรั้งนางเข้ามาในอ้อมกอด สอดมือเข้าไปใต้สาบเสื้อ ััได้ถึงผิวเนียนละเอียดเย็นเฉียบ จนแทบไม่อาจควบคุมตนเองได้
เขาโน้มตัวลง ััใบหน้าของนาง แอบนึกชังความสามารถในการมองเห็นในที่มืดของตนเอง ใบหน้าเล็กๆ นั้นอ่อนเยาว์ ขนตาเรียวยาวสั่นระริก เห็นได้ชัดว่านางยังเป็เพียงหญิงสาวที่ยังไม่มีประสบการณ์
“เ้าตื่นแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม
อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงแสร้งหลับ แต่ร่างกายนางสั่นเทิ้มเล็กน้อย มีหรือที่จางเจิ้นอันจะดูไม่ออก? เขาจึงต้องหยุดมือลง ประทับจุมพิตแ่เบาลงบนเรือนผมของนาง “นอนเถอะ”
สุดท้ายเขาก็ไม่อาจตัดใจปล่อยร่างอันหอมกรุ่นนุ่มนิ่มนี้ไป แม้ไม่อาจสานสัมพันธ์ลึกซึ้งดังใจหวัง แต่ค่ำคืนนี้ก็นับว่ามีคนงามอยู่ในอ้อมกอด พอให้ได้คลายเหงาใจ
อันซิ่วเอ๋อร์ลืมตาขึ้น เงยหน้าเล็กๆ ขึ้นมองเขา ในความมืด นางพยายามเพ่งมองจนสุดความสามารถ แต่ก็ยังมองใบหน้าเขาไม่ชัดเจน รู้สึกเพียงแต่มือที่โอบเอวของนางนั้นแข็งแรงนัก ร่างกายของเขาอบอุ่นยิ่ง นางยื่นมือออกไป ลูบไล้ใบหน้าเขาเบาๆ แล้วจึงสอดมือเข้าไปใต้วงแขน กอดเขาไว้แล้วหลับใหลไปด้วยความอิ่มเอมใจ
ค่ำคืนนั้น อันซิ่วเอ๋อร์หลับสบายเป็อย่างยิ่ง เมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่พบใครอยู่ข้างกายแล้ว นางมุดตัวออกจากผ้าห่ม ลมเย็นพัดเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้นางหนาวสั่นสะท้าน รีบสวมเสื้อผ้าด้วยตัวสั่นงันงก แต่ก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี จึงลุกขึ้นไปค้นหาเสื้อผ้าเก่าๆ จากในหีบไม้ผุๆ มาสวมทับอีกชั้น
ในห้องไม่มีใคร อ่างปลาก็ว่างเปล่า อันซิ่วเอ๋อร์คาดว่าจางเจิ้นอันคงออกไปขายปลาแล้ว ก็อดที่จะตำหนิตัวเองไม่ได้ วันนี้ตนตื่นสายถึงเพียงนี้ ไม่ได้ทำอาหารเช้าให้เขากินเลย หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ นางก็ี้เีทำอาหารกินเอง อย่างไรเสียสมัยยังไม่ออกเรือนอยู่ที่บ้านนางก็กินเพียงวันละสองมื้ออยู่แล้ว จึงทนหิวต่อไป นางยกเก้าอี้มานั่งถักเชือกอยู่ที่หน้าประตู
เชิงอรรถ
[1] ตู้โตว หมายถึง ชุดชั้นใน
