“ท่านพ่อต้องตกระกำลำบากจริงๆ” หลี่ลั่วมิรู้ว่าจะกล่าวเช่นไรดี ถึงแม้ว่าอยากจะกรีดน้ำตาออกมาสักหยดสองหยด ก็ยังยากลำบากยิ่งนัก
“ใช่แล้วขอรับ บิดาของท่านรู้จักกับผู้น้อยระหว่างเดินทางไปเป็ทหาร ขณะนั้นข้าน้อยเป็เพียงขอทานที่ไร้ซื่อไร้แซ่ ชื่อหลี่จงินี้ ก็เป็ชื่อที่บิดาของท่านตั้งให้ โหวเหฺยบอกกับข้าน้อยว่าให้ข้าน้อยยืมแซ่หลี่ จง ก็คือใจที่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ิ จากิซิน คือให้จดจำสถานการณ์ในตอนนี้ไว้ในใจ แต่ความจริงแล้วใจของข้าน้อยมิได้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน แต่ทว่าซื่อสัตย์ต่อโหวเหฺย พวกเราอาศัยอยู่ในค่ายทหารเป็เวลาแปดปี ขณะที่เดินทางกลับเมืองหลวง บิดาของท่านด้วยทักษะทางทหาร[1]จึงได้รับแต่งตั้งเป็รองผู้บัญชาการทหารม้า ขุนนางขั้นสี่ ใน่เวลานั้นพวกเราติดตามฉีอ๋อง[2] ซึ่งก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และในปีเดียวกันท่านโหวก็แต่งฮูหยินซึ่งเป็บุตรีในภรรยาเอกของฮ่านหลินย่วน[3] ครอบครัวบัณฑิตขั้นสี่เข้ามา ในปีถัดมาได้ให้กำเนิดคุณชาย สองปีให้หลังจึงให้กำเนิดคุณหนู ขณะเดียวกันบิดาของท่านได้รับการแต่งตั้งเป็ขุนนางขั้นสามไปประจำการที่ค่ายทหารซีเป่ย สิบปีให้หลัง ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของราชสำนัก บิดาของท่านนำทัพทหารมือดีกว่าห้าพันนายจากค่ายทหารซีเป่ย เป็กำลังสำคัญช่วยให้ฉีอ๋องชิงอำนาจเป็ขึ้นเป็องค์รัชทายาทได้สำเร็จ ฉีอ๋องขึ้นครองราชย์ในปีที่สอง ฮ่องเต้ทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้บิดาของท่านเป็จงหย่งโหว[4]” นี่ก็คือผลงานั นอกเสียจากการสร้างคุณงามความดีในคราวขึ้นยุคใหม่เปลี่ยนราชวงศ์แล้ว จึงจะได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็ กั๋วกง[5]
“ในเมื่อบิดามีตี๋จั๋งจื่อ[6]อยู่แล้ว ไฉนตำแหน่งโหวนี้ไยจึงมาถึงตัวข้าได้เล่า?” หลี่ลั่วเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
แววตาของหลี่จงิทอประกายวาบ คุณชายน้อยอายุเพียงห้าขวบทว่ากลับเข้าใจเื่บุตรชายคนโตจากภรรยาเอก ฉลาดยิ่งนัก “นั่นเป็เพราะว่าพี่ชายของท่านขี่ม้าแล้วพลัดตกได้รับาเ็ในวัยเยาว์ จึงกลายเป็คนร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งโหวได้ขอรับ ในสถานการณ์เช่นนี้แล้วนั้น หากบิดาของท่านยังคงไม่มีซื่อจื่อ[7]ต่อไปเช่นนี้ ตำแหน่งโหวนี้ก็จะต้องสืบทอดต่อไปให้พี่น้องคนอื่นๆ แทน ผู้ที่มาแทนในตำแหน่งบุตรชายคนโตก็จะรับสืบทอดตำแหน่งโหวแทนไปด้วย”
ให้ตายสิ หลี่ลั่วรู้สึกว่าการเดินทางไปเมืองหลวงครั้งนี้ช่างอันตรายยิ่งนัก
“หลังจากนั้นเล่า?”
“ในปีเดียวกัน หลังจากที่บิดาของท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็จงหย่งโหวก็ได้เดินทางกลับไปยังค่ายทหารซีเป่ยอีกครั้ง โดยส่วนใหญ่เหล่าโหวเหฺยจะอาศัยอยู่ที่ค่ายทหารซีเป่ย หนึ่งปีให้หลังฮ่องเต้ทรงปลอมพระองค์เสด็จประพาสค่ายทหารซีเป่ย ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวง เหล่าโหวเหฺยร่วมเดินทางมาด้วย ผู้ที่เดินทางมาด้วยยังมีมารดาที่ให้กำเนิดท่าน ไต้อี๋เหนียง[8] และยังมีท่านในวัยเพียงขวบเศษ พร้อมด้วยหลี่ซื่อหลางที่เป็ทหารซึ่งอยู่ที่ค่ายทหารซีเป่ยขอรับ”
คำพูดของหลี่จงิทำให้หลี่ลั่วถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด เขาเกิดจากอนุหรือนี่
“แต่ระหว่างทางกลับนั้นได้พบกับทหารฏคิดลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ เหล่าโหวเหฺยปกป้องฮ่องเต้ด้วยชีวิต ก่อนจะจากไปได้ทูลขอร้องฮ่องเต้ให้ทรงแต่งตั้งท่านเป็ผู้สืบทอดตำแหน่งโหว ในระหว่างที่หลบหนีการลอบปลงพระชนม์นั้น หลี่ซื่อหลางเป็ผู้อุ้มท่านหนีไป ความจริงแล้วพวกเรารู้มาโดยตลอดว่าท่านอยู่ที่บ้านของหลี่ซื่อหลาง มิใช่ตามหาท่านมานานถึงสี่ปีจึงมาพบเข้า ที่ว่าเหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นไป ก็เพื่อ้าให้คนในครอบครัวของหลี่ซื่อหลางสบายใจ และเหตุใดที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมาตามหาท่าน ก็เป็เพราะว่า้าให้ท่านได้เติบโตอยู่ในสกุลหลี่ที่สงบสุขและปลอดภัยขอรับ”
เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงอยากจะส่งเขาไปหาที่ตายแล้วใช่หรือไม่?
หลี่ลั่วรู้สึกเสียใจภายหลัง คิดว่ายอมกลับไปดื่มน้ำแกงที่บ้านสกุลหลี่ได้ ก็ไม่อยากไปกินเนื้อที่เมืองหลวงแล้ว
เมื่อเห็นใบหน้าของหลี่ลั่วพลันเปลี่ยนเป็ซีดขาว หลี่จงิก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันใด คำพูดเหล่านี้ไม่ควรเล่าให้เด็กอายุเพียงห้าขวบฟัง แต่เมื่อได้ทำความรู้จักกับคุณชายน้อยแล้ว มักจะทำให้เขาลืมอายุของคุณชายน้อยอยู่เสมอ
“แล้วตอนนี้ด้วยเหตุใดจึงมาตามหาข้าเล่า?” หลี่ลั่วถาม
“สืบเนื่องด้วยกฎหมายของรัชสมัยปัจจุบัน ผู้ที่หายสาบสูญไปเป็เวลาสี่ปีแล้วยังตามหาตัวไม่พบให้ถือว่าได้เสียชีวิตไปแล้วขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นมิสู้แจ้งไปว่าข้าได้เสียชีวิตไปแล้วเสียเลยเล่า” หลี่ลั่วตอบกลับมาอีกหนึ่งประโยค
หลี่จงิฟังแล้วหัวเราะเสียงดัง “คุณชายน้อยโปรดวางใจขอรับ ข้าน้อยจะติดตามคุณชายน้อยตลอดไป จนกระทั่งท่านแต่งงานมีบุตร”
“้าให้ข้าเลี้ยงดูท่านในยามชราหรือไม่?”
“ไม่ต้องขอรับ ข้าน้อยมีภรรยา มีลูก” เมื่อพูดถึงภรรยาของตัวเอง หลี่จงิก็รู้สึกคิดถึงภรรยาขึ้นมาในทันใด “ข้าน้อยติดตามเหล่าโหวเหฺยมานานและมีทักษะทางทหารอยู่บ้าง เป็ราชองครักษ์ขั้นห้า มีบุตรชายสองคน คนหนึ่งอายุสิบห้าปี คนหนึ่งอายุสิบสามปี เคยฝึกยุทธ์มาก่อนจึงมีวิชาติดตัวอยู่บ้าง หลังจากกลับไปแล้ว ข้าน้อยจะให้พวกเขาทั้งสองมาเป็ผู้ติดตามของคุณชายน้อยนะขอรับ จะได้คุ้มกันปกป้องคุณชายน้อย”
“ต้องลำบากท่านอาหลี่แล้ว” ต่อให้เพิ่มคนอีกหลายคนมาคอยคุ้มกัน เขาก็หาได้วางใจไม่ “อ้อ มรดกของครอบครัวบิดาข้าอยู่ในมือของผู้ใดรึ? ข้าเคยได้ยินมาว่าคฤหาสน์ในเมืองหลวงนั้น มรดกของครอบครัวล้วนให้พ่อแม่เป็ผู้ดูแล คงไม่ใช่ว่าอยู่ในมือของมารดาเลี้ยงกระมัง?”
[1] จวินกง (军功) หมายถึงความสามารถหรือทักษะทางทหาร หรือคุณงามความดี ผลงานของขุนนางทหาร
[2] อ๋อง (王) หมายถึง พระโอรสของฮ่องเต้ ฉีอ๋อง คือพระโอรสนามว่า ฉี
[3] ฮ่านหลินย่วน (翰林院) เทียบเท่ากระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน
[4] จงหย่งโหว (忠勇侯) จง หมายถึงซื่อสัตย์ หย่ง หมายถึงความกล้าหาญ โหวคือบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่ขุนนางที่มีความชอบ บรรดาศักดิ์ของขุนนาง แบ่งเป็ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน (เทียบกับบรรดาศักดิ์ไทย คือ เ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน)
[5] กั๋วกง (国公) เป็บรรดาศักดิ์สูงสุดของชั้นกง เป็ตำแหน่งสูงสุดที่ขุนนางจะได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ ซึ่งจะมอบให้กับขุนนางที่มีความดีความชอบต่อแผ่นดินและราชวงศ์
[6] ตี๋จั๋งจื่อ (嫡长子) หมายถึงบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก หากเป็บุตรชายคนโตที่เกิดอนุภรรยาจะเรียกว่า ซู่จั๋งจื่อ (庶长子) ในสมัยจีนโบราณมีการแบ่งแยกปฏิบัติต่อตี๋และซู่ชัดเจนมาก ไม่ว่าบุตรอนุจะเกิดมาเป็ลำดับที่เท่าใดก็ตาม
[7] ซื่อจื่อ (世子) หมายถึง ผู้สืบทอด บุตรชายผู้ที่จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดา บรรดาบุตรชายของชินอ๋อง โหวเหฺย ฯลฯ จะถูกเรียกว่า “ซื่อจื่อ” ต่างจาก “ไท่จื่อ” (ไท่จื่อ หมายถึง รัชทายาท ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของฮ่องเต้)
[8] อี๋เหนียง (姨娘) หมายถึง อนุภรรยา ข้างหน้าจะเติมสกุลของผู้เป็อนุ ในเื่ แซ่ไต้ จึงเรียกว่า ไต้อี๋เหนียง