ใช่ว่ารอบข้างจะไม่มีคนเดินผ่านไปมา แต่ไม่มีผู้ใดกล้ายุ่งเื่ของผู้อื่น
แค่ดูหน้าสี่คนนี้ก็รู้แล้วว่าไม่ควรยุ่งด้วย
ทันใดนั้น ทั้งสี่คนชักมีดออกมา เดินเข้าใกล้หลินหวั่นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
ผู้คนที่สัญจรไปมาวิ่งหนีกระจัดกระจาย กลัวจะโดนลูกหลงไปด้วย เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็ระลอกเหมือนคลื่น
ระเกะระกะไม่เป็ระเบียบ
หลินหวั่นชิวกัดฟัน มองบุรุษสองคนที่อยู่ด้านหน้าตาขวาง มีดพับที่อยู่ในมือดีดออกเมื่อเดินชนกัน สีหน้าดีใจของบุรุษผู้นั้นถูกความเ็ปเข้าแทนที่
“โอ๊ย…นังนี่มีมีด!”
หลินหวั่นชิวผลักแล้วออกวิ่ง บุรุษอีกคนด้านข้างไล่ตามมา เอื้อมมือมาดึงแขนเสื้อ นางฟันมีดใส่
ในจังหวะนี้เอง พลังอันแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งปกคลุมเข้ามา แขนข้างหนึ่งของนางถูกดึงอย่างแรง
หลินหวั่นชิวแทงมีดใส่แบบไม่คิด
ขณะเดียวกันก็หันไปมอง เจอเข้ากับใบหน้าคุ้นตา
ตู้ซิวจู๋!
เขาเจ็บจนหน้าซีด มือหนึ่งจับนาง อีกมือกุมแผลที่ซี่โครง
“รีบหนี…ทังหยวนไปแจ้งทางการแล้ว” ตู้ซิวจู๋ดึงหลินหวั่นชิวเข้ามาในตรอกแห่งหนึ่ง ยกเท้าถีบที่นั่งผุผังด้านข้างใส่คนพวกนั้น
ขัดขวางสำเร็จก็พาหลินหวั่นชิวออกวิ่ง ไปซ้ายทีขวาที ในที่สุดก็มาโผล่ที่บ้านเก่าผุหลังหนึ่ง ปิดประตูจากด้านใน
จากนั้น เขามองไปรอบๆ ลานบ้าน หาบันไดพังมาวางพาดกำแพง “ปีนขึ้นไป!”
“ขอยืมกริชเ้าหน่อย” ตู้ซิวจู๋พูดแล้วคว้ามีดพับไปจากมือหลินหวั่นชิว ใช้มีดกรีดชายเสื้อตัวเอง “เ้าช่วยข้าดึงหน่อย ข้าไม่มีแรงแล้ว” ตู้ซิวจู๋คืนมีดให้หลินหวั่นชิวพร้อมกับพูด
มือเขามีแต่เื ซี่โครงเืไหลไม่หยุด
“ได้” สมองหลินหวั่นชิวว่างเปล่า นางช่วยตู้ซิวจู๋ดึงชายเสื้อออกมา ตู้ซิวจู๋ถอดเสื้อคลุมทิ้งแล้ว
เสื้อตัวในก็ถอดออกเช่นกัน เปลือยท่อนบนอยู่หน้าหลินหวั่นชิว “ช่วยข้าพันแผลที ใช้เสื้อตัวในห้ามเืไว้…เร็วหน่อย ด้านนอกมีรอยเื ถ้าพวกเขาหาเราเจอขึ้นมาคงแย่แน่”
เสียงเขาอ่อนแรงมาก หลินหวั่นชิวไม่มัวมาสนใจอย่างอื่น ทำตามที่เขาพูด ใช้เสื้อตัวในกดแผลที่ซี่โครง “ท่านกดไว้ก่อน” นางพูดกับตู้ซิวจู๋
ตู้ซิวจู๋ออกแรงกดแผลอย่างเชื่อฟัง หลินหวั่นชิวรีบใช้เศษผ้าพันแผล
ผ้าพันแผลต้องทแยงผ่านไหล่ลงมา หลินหวั่นชิวเขย่งขา สองมือโอบรอบคอเขาเหมือนกำลังกอด
นางอยู่ใกล้เขามาก กลิ่นกายลอยผ่านจมูก ตู้ซิวจู๋ก้มหัวต่ำกว่าเดิม ขยับเข้าใกล้ผมนาง สูดหายใจเข้าลึกๆ
“ข้าทำท่านเจ็บหรือไม่? ท่านยังพอทนไหวหรือไม่?” หลินหวั่นชิวรีบถาม นางนึกว่าตู้ซิวจู๋หมดแรง
นางพันแผลให้เขาเสร็จเรียบร้อย จับมือช่วยเขาใส่เสื้อไปด้วย ถามไปด้วย
ให้ตายเถิด ตู้ซิวจู๋อุตส่าห์มาช่วยนาง แต่นางกลับฟันเขาเสียได้
ไม่สิ ใช้คำไม่ถูก หั่นเลยต่างหาก
แต่ไม่ว่าจะฟันหรือหั่น ความจริงก็คือนางแทงผู้มีพระคุณ!
แผลยาวอย่างน้อยหนึ่งคืบ เืไหลซึม คุณชายบอบบางเช่นนี้จะทนไหวได้อย่างไร
“ไม่เป็ไร ยังทนไหว เ้ารีบขึ้นบันได พวกเราต้องออกจากที่นี่” เขาพูด
หลินหวั่นชิวรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาชักช้า รีบปีนขึ้นบันได ปีนถึง้าแล้วยื่นมือให้ตู้ซิวจู๋
ตู้ซิวจู๋ยิ้มให้ เขาหน้าตาหล่อเหลา ยิ้มแล้วหล่อกว่าพวกบุรุษวัยละอ่อนน่ากินบนจอโทรทัศน์ในยุคปัจจุบันเสียอีก
แบบไหนถึงน่ากิน?
ก็ต้องแบบตู้ซิวจู๋นี่แหละ
หน้าตารูปงาม ขึ้นนั่งบัลลังก์ พิชิตใจจักรพรรดินี…สง่างามแบบลูกผู้ดีมีเงิน หน้าตา ผิวพรรณ เสื้อผ้าล้วนดีหมด
พวกคุณชายชาติกำเนิดดีในเกมคงเป็แบบเขานี่แหละ
ตู้ซิวจู๋ปีนขึ้นมาสองสามขั้น เช็ดคราบเืในมือกับเสื้อผ้าก่อนที่จะยื่นมือให้หลินหวั่นชิว
มือนางนิ่มมาก
นุ่มมาก
ให้ััราวกับหยกอ่อน
หลินหวั่นชิวออกแรงดึงเขาขึ้นมา ปล่อยมือแล้วยกบันไดขึ้นมาพาดอีกฝั่ง
ฝ่ามือว่างเปล่า
หัวใจตู้ซิวจู๋ว่างเปล่าเช่นกัน
เขาเอื้อมมือออกไปตามสัญชาตญาณแต่คว้าได้แค่อากาศ
แม่นางคนนี้ทำให้เขาต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่อยู่เรื่อย
เริ่มจากตำรา ตัวหนังสือของนาง ต่อด้วยอันอี้จวี ความคิดเลิศล้ำแปลกใหม่กับช่องทางหาเงินที่ไม่เหมือนผู้ใด
กระทั่งตอนนี้ที่เจอคนไม่ดี นางกล้าควักมีดสู้
กล้าย้ายบันไดจากบนกำแพง…หากเป็สตรีนางอื่นคงเป็ลมั้แ่เจอโจรแล้ว
สตรีสาวคนนี้เป็ดั่งดอกไม้ไฟอันสว่างพร่างพราวแห่งแดนมนุษย์
งดงามละลานตา
ทว่าไม่อาจไขว่คว้าได้
“ลงมา ข้าช่วยรับ” เสียงของหลินหวั่นชิวดังขึ้น ตู้ซิวจู๋รีบลงไปทางบันได ขาสองข้างเหยียบลงบนพื้น หลินหวั่นชิวประคองเขาไปพิงกำแพง “ท่านรอประเดี๋ยว ข้าเอาบันไดไปซ่อนเสียก่อน”
อืม ทั้งยังเป็คนรอบคอบ กลัวถูกค้นเจอจากร่องรอย
ตู้ซิวจู๋พิงกำแพงมองหลินหวั่นชิววิ่งวุ่น นางเอาบันไดไปแอบหลังกองฟืน
“ข้าพาท่านไปโรงหมอ” หลินหวั่นชิวพูด
“ไม่ไปโรงหมอ ข้ามีคฤหาสน์ในอำเภอ ช่วยพยุงข้าออกไป ถ้าเจอเกี้ยวก็เรียก พาข้ากลับไปส่งเป็พอ” เขาพูด กลัวหลินหวั่นชิวไม่วางใจก็พูดอีกว่า “กลับไปแล้วค่อยให้คนไปตามหมอ พวกเราไปโรงหมอทั้งแบบนี้สะดุดตาเกินไป ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะมีพรรคพวกซ่อนอยู่ที่อื่นหรือไม่”
จะเรียกรถม้าต้องออกไปที่ถนนชั้นนอก รถม้าจอดรอลูกข้าอยู่ด้านนอก ไม่ค่อยมีให้พบเห็นในถนนชั้นใน
แต่ถนนชั้นในมีเกี้ยวเยอะ
“ได้ เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิด” หลินหวั่นชิวคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าตู้ซิวจู๋พูดถูกจึงตอบตกลง นางออกไปมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดจึงกลับมาประคองตู้ซิวจู๋เดินออกด้านนอก
หลินหวั่นชิวรอบคอบมาก แต่นางก็ประหม่ามากเช่นกัน กลัวเจอคนพวกนั้นอีกจึงไม่ได้เดินย้อนไปทางเดิม แต่เดินไปทางทิศตรงข้าม
มาถึงหน้าตรอก นางให้ตู้ซิวจู๋พิงกำแพงก่อน ตัวเองวิ่งออกไปหาเกี้ยว
โชคค่อนข้างดี แค่เดินออกไปก็เห็นเกี้ยวที่ไม่มีลูกค้าจอดอยู่ริมถนน คนหามเกี้ยวกำลังนั่งรอลูกค้าอยู่
หลินหวั่นชิวโบกมือให้คนหามเกี้ยว คนหามเกี้ยวรีบหามเกี้ยวเข้ามา วางเกี้ยวที่ตรอก นางประคองตู้ซิวจู๋เข้าด้านใน
จังหวะที่นางจะกลับออกไป ตู้ซิวจู๋กลับดึงแขนเสื้อนางไว้ “ด้านนอกอันตราย…ตามข้ากลับไป ข้าจะให้คนไปส่ง”
หน้าเขาซีดขาว หน้าผากมีเหงื่อซึม หลินหวั่นชิวรู้สึกผิด คิดดูแล้วก็ควรไปดูเขาก่อน ไม่เช่นนั้นหากเป็กระไรขึ้นมาจะทำอย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงไม่ปฏิเสธ
อีกอย่าง นางกวาดตาดูรอบตรอกนี้แล้ว มีเกี้ยวแค่คันเดียว เป็ไปไม่ได้ที่จะหาอีกคัน
ตู้ซิวจู๋ขยับที่ให้นางนั่ง “นั่งเถิด ระวังจะกลิ้งออกไป”
หลินหวั่นชิวคิดดูแล้วก็ใช่ นั่งลงอย่างสบายๆ
ต้องบอกก่อนว่าเวลานั่งรถไฟฟ้าใต้ดินในยุคปัจจุบันมีหลายครั้งที่ต้องเบียดเสียด ก็แค่ต้องนั่งเบียดกันครู่เดียว ไม่ใช่เื่ใหญ่สำหรับหลินหวั่นชิว
แต่ตู้ซิวจู๋กลับมองต่างออกไป
ทั้งที่หลินหวั่นชิวเป็ฟู่เหรินที่เก็บตัวอยู่บ้าน แต่นางกลับมีความกล้าหาญและไม่เคร่งครัดเื่ยิบย่อยเหมือนชาวยุทธภพ
ตอนนี้ บุปผางามอยู่ข้างกาย
หัวใจเขา
สับสนเสียแล้ว
