ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงหัวเราะแหบแห้งอย่างเสแสร้งที่ดังขึ้นภายในสถานที่ที่มีอากาศอับชื้นและมีกลิ่นเหม็นเน่าก็หยุดลง สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงเสียงเย็นะเืบาดกระดูก
“ไม่ว่าอย่างไรต้องให้นางชดใช้อย่างสาสม…”
เสียงเงียบไปครู่หนึ่ง ชายชุดดำกุมมือแห้งกร้านของตนเบาๆ กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ
“...ตามหานาง ต้องจับเป็!” ชายชุดดำกล่าวออกมาหกคำ โดยเน้นยำทีละคำให้ชัดเจน น้ำเสียงของเขายังคงมีรอยเ้าเล่ห์ไม่เสื่อมคลาย ราวกับเสียงเรียกร้องแห่งความตาย
ทันทีที่สิ้นเสียงก็เกิดเสียงดังโครมคราม!
ทันใดนั้นเศษดินแข็งและกะโหลกในมือของชายชุดดำก็แตกออกเหลือเพียงผุยผงทันที
จากการใช้พลังบางอย่างโบกสะบัดแขนเสื้อ เก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ในช่องเก็บของตรงกางเกง ก่อนที่มือทั้งสองข้างของเขาไม่หลงเหลือเศษฝุ่นผงใดๆ อยู่เลย!
จากนั้นชายชุดดำก็หันมองไปยังซากศพสีดำบนพื้น โบกแขนเสื้ออย่างกล้าหาญ “ไม่ต้องเหลือใครไว้แม้แต่คนเดียว นำทั้งหมดไปมอบให้ หลงเหวินอิ้น”
เสียงอันน่าขนลุกทั้งหนักหน่วงและน่าหดหู่ใจ น่าหวาดกลัวสยองเป็อย่างมาก
ชายชุดดำยืนเงียบๆ หายใจสูดกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนในถ้ำเข้าไปลึกๆ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด
จู่ๆ ชายชุดดำก็กางฝ่ามือออก มองขึ้นไป้าแล้วหัวเราะเสียงดัง “การทำงานหนักหลายปีของข้าสามารถทำลายล้างได้ภายในคืนเดียว ดี ดีมาก...”
เสียงหัวเราะแปลกๆ ค่อยๆ จางหายไป...
เสียงหัวเราะที่ไร้ซึ่งความอบอุ่นใดๆ ดังก้องอยู่ในทางเดินยาวของถ้ำเป็เวลานาน ดังชัดออกไปไกลมาก เสียงแหบแห้งแต่เสียดหู ราวกับเป็เสียงที่มีพลังทิ่มแทง
หลังจากนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็จากไป
ถ้ำศพขนาดใหญ่ที่ที่มีซากศพคนนับพัน เมื่อพวกเขาออกไปกลับถูกรื้อจนราบเป็หน้ากลองพังทลายกับพื้น
ในที่สุดทุกสิ่งก็หยุด!
—
ภายในโตรกผาลึก [1] ไร้นาม
มู่จื่อหลิงที่ติดอยู่ในระบบซิงเฉินเป็เวลาสามวันในที่สุดก็ตื่นขึ้น
เจ็บ! เจ็บมาก!
ในยามนี้ มู่จื่อหลิงรู้สึกว่ากระดูกทั้งใหญ่และเล็กทั้งหมดในร่างกายเหมือนจะได้รับการจัดระเบียบใหม่
ความเ็ปเสียดแทงแผ่กระจายจากแขนขาไปยังระบบประสาททุกส่วนในร่างกาย ความเ็ปทำให้นางอยากจะกลิ้งตัวไปมา แต่นางกลับไม่มีแรงแม้แต่จะยกนิ้ว
เป็ความเ็ปเกินบรรยาย เ็ปรุนแรงจนแทบหยุดหายใจ หัวใจเกือบหยุดเต้น
มู่จื่อหลิงหลับตาแน่น กัดฟันทนความเ็ป
บ้าจริง! ก่อนหลับไป นางรู้สึกปวดเมื่อยตามทุกส่วนทั่วร่าง หลังจากตื่นขึ้นมา นางก็ปวดกระดูกไปทั่ว ความเจ็บครั้งนี้เทียบได้กับความเ็ปยามนางได้เกิดใหม่
แม้์จะอยากกดขี่ข่มเหงคน ก็ยังไม่ใช่วิธีเช่นนี้!
ในขณะนี้ มู่จื่อหลิงที่อดทนต่อความเ็ป สงสัยจริงๆ ว่านางจะต้องถูกโชคร้ายเข้าครอบงำเป็แน่
เพราะความเ็ป น้ำตาจึงไหลออกมาจากรอยแยกตรงดวงตาของนาง ขนตายาวบอบบางเปียกชุ่ม ใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อยเพราะความเ็ป
โชคดีที่ความเ็ปไม่นาน
เพราะใช้ครึ่งก้านธูป [2] ความเ็ปที่เสียดแทงก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยเ็ปมาก่อน
ความเ็ปจางหายไป แต่กลับทำให้มู่จื่อหลิงรู้สึกเหมือนนางป่วยหนัก ร่างกายอ่อนล้า ความเ็ปเมื่อครู่นี้แทบจะทำให้เรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกายของนางสูญสิ้น
เมื่อความเ็ปสิ้นสุดลง คิ้วที่ขมวดของมู่จื่อหลิงก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย
ขนตาเปียกชื้นที่สั่นเล็กน้อยของนางค่อยๆ เปิดออก
เพียงแต่ ในยามนี้ไม่ว่านางจะลืมตาหรือหลับตาล้วนไม่มีความแตกต่าง เพราะสิ่งที่เห็นยังคงเป็ความมืด มืดจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งนิ้ว
มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นอย่างอ่อนแรง ใช้มือััว่ายามนี้นางอยู่ที่ใด
แม้ว่านางจะมองไม่เห็น แต่นางก็ยังรู้สึกได้ว่านางอยู่ในพื้นที่ปิดขนาดเล็ก
พื้นที่นี้เล็กมากจนมีนางเพียงผู้เดียวก็ยังอึดอัด เล็กถึงขนาดที่ทำได้เพียงพลิกกายเท่านั้น
แต่ไม่ว่ายามนี้นางจะอยู่ที่ไหน มู่จื่อหลิงไม่ได้ตื่นตระหนก นางหวาดกลัวน้อยลงมาก มีแต่ความปีติยินดี
เพราะนางรู้ว่าแม้นางจะถูก์ทรมานถึงสองครั้ง แต่นางก็ยังเป็ที่โปรดปรานของ์เช่นกัน...นางมู่จื่อหลิงยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังปลอดภัยดี
สามวันก่อนนางคิดว่าหลังจากนางล้มลง นางจะไม่ตื่นขึ้นอีก
หรือการล้มลงนั้นจะเป็เพียงการเป็ลมทั่วไป แต่หวงอีหญิงบ้าผู้นั้นยังอยู่ อีกทั้งนางยังไม่อาจปกป้องตนเองได้ แต่ยามนี้นางกลับยังมีชีวิตอยู่
เมื่อสามวันที่แล้ว นางสลบไสลไปโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า อีกทั้งแส้อันโหดร้ายครั้งสุดท้ายของหวงอีก็ไม่ได้คร่าชีวิตนาง...
จนถึงยามนี้ มู่จื่อหลิงก็ยังไม่รู้ว่าั้แ่ยามที่นางเวียนหัวเมื่อสามวันก่อนเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ต่อมา นางก็นึกขึ้นได้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ นางถึงรู้สึกวิงเวียน...เป็เพราะเสี่ยวไตกูกัดลิ้นของตนอย่างโง่เขลา
เมื่อสามวันก่อน ยามที่นางล้มลง นางพยายามอย่างเต็มที่เป็ครั้งสุดท้าย เพียงแวบเดียวก่อนที่นางจะหมดสติไป ิญญาของนางจึงเข้าสู่ระบบซิงเฉิน
โดยไม่คาดคิด ทันทีที่นางเข้าไป นางถูกขังไว้ไม่อาจออกมาได้ ต้องรอจนกระทั่งเสี่ยวไตกูตื่นขึ้น
แน่นอน เหตุผลเหล่านี้สามารถนำมาอ้างกับการที่...เสี่ยวไตกูกับระบบซิงเฉินอยู่ร่วมกัน!
ในเวลานั้น ทันทีที่มู่จื่อหลิงโยนเสี่ยวไตกูที่กัดลิ้นของตนเข้าไปในระบบซิงเฉิน ระบบซิงเฉินก็กระตุกทันที ลงเอยด้วยการทำให้นางวิงเวียนจนหมดสติไปในที่สุด
ยามมู่จื่อหลิงรู้ว่าเสี่ยวไตกูกัดลิ้นของตน นางอยากจะตบมันลงบนโต๊ะอย่างแรง
เมื่อคิดถึงว่าในยามนั้นนางพยายามใช้สมองคิดหาหนทางป้องกันไม่ให้มันาเ็แม้เพียงน้อยอย่างสุดกำลัง
แต่ใครจะคิดว่าเ้าตัวน้อยนี้จะ ‘ทำร้ายตัวเอง’ โดยไม่คิดจะปรึกษานางแม้แต่น้อย มันกัดลิ้นตัวเอง เพื่อใช้วิธีนี้หลีกหนีจากเงื้อมมือของหวงอี
ในเวลานั้น นางอยากทุบตีเสี่ยวไตกูให้ตายจริงๆ แต่ยามเห็นมันนอนอยู่บนขาที่มีเพียงสามนิ้วน้อยๆ อย่างน่าเวทนา ร่างเล็กของมันอ่อนแรงเกินกว่าจะเคลื่อนไหว มู่จื่อหลิงจึงจำต้องอดกลั้นไว้ในอก ไม่อาจปล่อยออกมาได้
แน่นอนว่ามู่จื่อหลิงรู้ดีว่า หากเสี่ยวไตกูไม่กัดลิ้นของตน ในยามนี้นางอาจไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
ภายในระบบซิงเฉินิญญาจะคงอยู่ในสภาพปกติเสมอ ดังนั้นมู่จื่อหลิงจึงรู้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่
เพียงแต่นางไม่รู้ว่าหญิงบ้าหวงอีจะปฏิบัติต่อร่างไร้ิญญาที่อยู่ภายนอกของนางอย่างไร
สามวันมานี้นางอยู่ในระบบซิงเฉินอย่างกระวนกระวาย แต่อย่างไรก็ออกไปไม่ได้
โชคดีที่คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นางหรือเสี่ยวไตกูอาจกล่าวได้ว่าล้วนมีทุกขลาภ [3]
เพราะนางได้ชีวิตกลับคืนมา แม้ว่าเสี่ยวไตกูจะเสียลิ้นยาวไป แต่เสี่ยวไตกูบอกว่าตราบใดที่นางให้อาหารมันเพิ่มเติม ลิ้นก็สามารถงอกขึ้นใหม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็พูดไม่ออก มีเพียงสีหน้าที่เข้มขึ้น
ต่อมามู่จื่อหลิงก็นึกได้ว่ายามที่นางเวียนหัว ได้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นที่หลัง เนื่องจากหวงอีเฆี่ยนนางอย่างแรง
ด้วยแส้เพียงครั้งเดียว ร่างกายทุกส่วนของนางเ็ป อีกทั้งนางยังไม่สามารถทนความเ็ปได้
แต่ที่แปลกคือการได้รับาเ็สาหัสจากแส้อย่างรุนแรง จะเป็สิ่งที่สมเหตุสมผลกว่าหากแผลไม่หายเร็วเพียงนี้
แต่ยามนี้ นอกจากร่างกายที่อ่อนแรงแล้ว นางยังไม่รู้สึกเจ็บที่หลังเลย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยามนี้นางนอนหงายอยู่ ดูเหมือนนางจะไม่รู้สึกถึงาแใดๆ ที่หลังของนาง มู่จื่อหลิงไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
แต่ยามนี้ มู่จื่อหลิงี้เีเกินกว่าจะเคลื่อนไหว อีกทั้งยังไม่อยากคิดเื่นี้อีกต่อไป
นางรู้สึกหวาดกลัวหลังจากต้องประสบกับความเ็ปรอบสองที่เลวร้ายยิ่งกว่าตายอีกครั้ง
ยามนี้นางไม่รู้สึกเ็ปจากาแที่ถูกแส้เฆี่ยนตีเลย นางควรจุดธูปบูชาพระอมิตาพุทธ แทนที่จะคิดว่าเหตุใดมันถึงไม่เจ็บ
......
ไม่ว่าในยามนี้จะเป็ผู้ใดที่กักขังนางไว้ก็ตาม มู่จื่อหลิงยังคงรักษาสภาพจิตใจที่สงบที่สุดไว้ได้เสมอ เพราะในยามนี้นางไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน
ดังนั้น เมื่อนางยังมีชีวิตอยู่ นางต้องรักษาเวลาเพื่อเติมพลังและปรับสภาพร่างกายของนางให้ดีที่สุด
นางไม่รู้ว่ามีอันตรายใดรออยู่ในโลกที่ทั้งมืดมนและสว่างไสวใบนี้
มู่จื่อหลิงหายใจเข้าลึกๆ สองครั้ง กะพริบตาอีกสองครั้ง จากนั้นจึงหลับตาลงอีกครั้ง ค่อยๆ ปรับร่างกายที่ทรุดโทรมของตน
ใน่สามวันในระบบซิงเฉิน นางไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
ในเวลานั้น ม้าเมฆาที่ได้รับาเ็ก็ถูกนางพาเข้ามาในระบบซิงเฉินเช่นกัน อาการาเ็ที่ขามันค่อยๆ ดีขึ้น ฟื้นตัวกลับมาเป็ปกติแล้ว
มู่จื่อหลิงยังใช้เวลาสามวันนี้ในการปรับแต่งยาถอนพิษสำหรับโรคระบาดจากพิษที่สกัดได้จากกลุ่มค้างคาวเืแดงจนสำเร็จ
อย่างไรก็ตามยาที่สามารถช่วยชีวิตผู้คนนับแสนเ่าั้ได้ จะมีโอกาสออกสู่โลกภายนอกหรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับชีวิตในยามนี้ของนางว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้หรือไม่
หลังจากหลับตา แสร้งหลับไปชั่วขณะ มู่จื่อหลิงก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ยามนี้ร่างกายของนางเป็ปกติดี นางไม่รู้สึกไม่สบายใดๆ เลย มีเพียงเสียงท้องร้องเท่านั้น นางไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว นางหิวมากจนหน้าอกแนบไปกับหลังของตน
เมื่อสติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ มู่จื่อหลิงก็เหมือนจะรับรู้ได้ชัดเจนมากขึ้นว่ายามนี้นางอยู่ที่ไหน
มู่จื่อหลิงยื่นมือของนางออกไปโดยไม่รู้ตัว ผลักสิ่งกีดขวาง้าออก และมันก็หลุดออก
ด้วยแรงผลักจึงมีแสงส่องเข้ามา
มู่จื่อหลิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็พลิกตัว นอนคว่ำ ยื่นมือออกไปผลักอย่างระมัดระวัง
เนื่องจากอยู่ในความมืดเป็เวลานาน ชั่วขณะหนึ่ง แสงที่แรงกล้าจากภายนอกจึงส่องเข้ามาจนตานางเกิดอาการพร่ามัว ทำให้มู่จื่อหลิงไม่สามารถลืมตาได้
นางปล่อยฝา้าลงมา ทำให้มีช่องไฟที่มีแสงจ้าส่องแสงเบาบางลง หลังจากค่อยๆ ผ่อนคลายชั่วขณะ นางก็เปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง
มู่จื่อหลิงมองออกไปข้างนอกผ่านรอยแยกขนาดเท่าตาของตน มู่จื่อหลิงตระหนักได้ว่าสถานที่ที่นางอยู่นั้นเป็พื้นราบกว้าง อีกทั้งตัวนางยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าที่ราบนั้นเล็กน้อย
เนื่องจากนางอยู่บนที่สูงเช่นนี้ นางจึงมองเห็นได้เฉพาะที่ราบกว้างใหญ่และูเาไกลโพ้น แต่นางกลับมองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ด้านล่าง
นางอยู่บนที่สูง แต่ที่ที่นางอยู่นี่คือ...
มู่จื่อหลิงใช้ประโยชน์จากแสงที่ส่องเข้ามาจากภายนอก ลดสายตาลงเพื่อมองดูสภาพแวดล้อมที่มืดมิดที่นางอยู่ยามนี้
หากไม่ดูก็ไม่เป็ไร แต่เมื่อดูแล้ว...
มู่จื่อหลิงพบว่ายามนี้นางอยู่ในหม้อนึ่งที่ทำจากไม้ไผ่ขนาดใหญ่
หม้อนึ่งนี้มีหลายชั้น คาดว่าสูงถึงสามมี่ ลึกครึ่งมี่ มีขนาดเพียงให้นางนอนภายในได้เพียงลำพังเท่านั้น อีกทั้งนางยังไม่สามารถเหยียดขาให้ตรงได้
แม่เ้า การค้นพบนี้ เกือบทำให้มู่จื่อหลิงะเิ
ไม่แปลกเลยที่เมื่อครู่นางรู้สึกว่าใต้แผ่นหลังของนางเป็หลุมเป็บ่อ นางรู้สึกตื่นตระหนก ปรากฏว่ามันคือรูอากาศของหม้อนึ่ง?
ไม่แปลกเลยว่าเหตุใดฝาถึงเปิดง่ายเช่นนี้ นางกล้าที่จะยกฝาหม้อนึ่งออกในยามนี้หรือไม่?
ฝาหม้อนึ่ง?
มู่จื่อหลิงกะน้ำหนักฝาหม้อนึ่งที่อยู่เหนือหัวด้วยมือของนาง ทำได้อย่างง่ายดายไม่ยุ่งยาก แต่หัวใจของนางกลับหนักอึ้ง
ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าอารมณ์ซับซ้อนของมู่จื่อหลิงในยามนี้เกินคำบรรยายไปแล้ว
ท้ายที่สุดแล้วจะมีใครกันที่นิสัยเสียเช่นนี้? ้านึ่งนางหรือ?
โชคดีที่นางตื่นทัน
อีกทั้งยังโชคดีที่เ้าคนวิปริตนั้นไม่นึ่งนางใน่สามวันก่อนที่นางจะตื่นขึ้นมา ไม่เช่นนั้นยามนี้นางคงกลายเป็เนื้อสุกไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มู่จื่อหลิงกำลังประหลาดใจ ทั้งสงสัย และดีใจอยู่นั้น ทันใดนั้น......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] โตรกผาลึก (大峡谷) มีความหมายว่า แกรนด์แคนยอน
[2] ครึ่งก้านธูป (半柱香) เป็การนับเวลา โดยหนึ่งก้านธูปประมาณสามสิบนาที ครึ่งก้านธูปประมาณสิบห้านาที
[3] ทุกขลาภ (因祸得福) เป็สำนวน มีความหมายว่า การที่ต้องรับทุกข์เสียก่อนจึงมีลาภ หรือลาภที่ได้มาด้วยความทุกข์ยาก สำนวนเต็มคือ 祸消福至,因祸得福 แปลว่า มีความโชคดีในความโชคร้าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้