“ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะตายไปพร้อมกับนาง!” ซวงเอ๋อร์ดูสงบจนน่าประหลาดใจ เขาจ้องเฟิ่งสือจิ่นเขม็ง “ในเมื่อเ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าหากข้าไม่ฆ่าเ้า เ้าจะมีวิธีปกป้องนางใช่หรือไม่? ท่านราชครูจะยอมช่วยหรือ?”
ตอนนี้ คนเดียวที่เขาคิดออกก็คือราชครู หากราชครูยืนยันว่าโรคของพระสนมอวี๋รักษาไม่หาย ฮ่องเต้ต้องเชื่ออย่างไม่คิดสงสัยแน่
แต่เฟิ่งสือจิ่นกลับตอบกลับมาเช่นนี้ “ท่านอาจารย์ไม่มีทางช่วยแน่”
“แล้วเ้าล่ะ?”
เช้าวันต่อมา จวินเชียนจี้มาหาเฟิ่งสือจิ่นก่อนจะเข้าประชุมในท้องพระโรงเหมือนทุกๆ วัน เพียงแต่วันนี้ เพราะเห็นเฟิ่งสือจิ่นยังหลับสนิทอยู่ เขาจึงไม่ได้ปลุกให้นางตื่น
หลังออกมาจากท้องพระโรง จวินเชียนจี้ก็ไปดูอาการ และให้ยากับพระสนมอวี๋ แถมยังนำยาสมุนไพรจากจวนราชครูมาให้เป็พิเศษอีกด้วย เมื่อเฟิ่งสือจิ่นตื่นขึ้นมา นางก็พบว่าจวินเชียนจี้กำลังนั่งอยู่ข้างเตียง เพียงแต่สีหน้าของเขาดูประหลาดเล็กน้อย
เฟิ่งสือจิ่นสะดุ้งใ แต่เพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนมาเป็ดีอกดีใจแทน “อาจารย์ ท่านมาแล้วหรือ?”
จวินเชียนจี้แตะหน้าผากของเฟิ่งสือจิ่นเบาๆ จากนั้นก็ป้อนยาให้นางสองเม็ด อาการหวัดของเฟิ่งสือจิ่นยังไม่หายดี แถมยังมีแววว่าจะกลับมารุนแรงขึ้นอีกด้วย เฟิ่งสือจิ่นคัดจมูก เจ็บคอไปหมด นางกระแอมไอหลายครั้งเพื่อขับเสมหะในลำคอ
จวินเชียนจี้สังเกตเห็นว่าที่เสื้อของเฟิ่งสือจิ่นมีรอยเืเปื้อนอยู่ แต่ก็แน่ใจเช่นกันว่าเฟิ่งสือจิ่นไม่ได้าเ็ตรงไหน “เืบนเสื้อ เป็เืของใคร?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบตามความจริง “ของข้าเอง”
จวินเชียนจี้ถามต่อ “มาจากไหน?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “อาจารย์ ไม่ต้องกังวล ศิษย์แค่กำเดาไหลเท่านั้น อาจเพราะร้อนในกระมัง”
จวินเชียนจี้ตอบด้วยเสียงราบเรียบ “ข้าจำได้ว่า ด้วยสภาพร่างกายของเ้า เป็ไปได้ยากที่จะร้อนในจนกำเดาไหลเช่นนี้”
เฟิ่งสือจิ่นนิ่งเงียบลงชั่วขณะ “อาจารย์ช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ก็ได้... เมื่อวาน นางในเอาหนังสือภาพกำหนัดมาที่ตำหนัก เพื่อให้พระสนมอวี๋ศึกษาและเตรียมพร้อมสำหรับการถวายตัวรับใช้ฝ่าา ศิษย์ไม่ระวัง เลยเห็นภาพด้านในไปหลายภาพ ก็เลย...”
จวินเชียนจี้มีสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย “ต่อไป อย่าดูของแบบนั้นอีก”
ตอนนี้ อาการของพระสนมอวี๋ดีขึ้นแล้ว ข่าวลือเื่ดวงิญญาในวังหลวงก็เริ่มซาลงเช่นกัน ลับหลัง สาวใช้ทั้งหลายมักจะเล่าลือว่านี่เป็เพราะพลังที่น่ายำเกรงของท่านราชครู เมื่อราชครูมาถึง ิญญาร้ายจึงไม่กล้าเข้าใกล้พระสนมอวี๋อีก โรคของพระสนมอวี๋ก็หายดีด้วยเช่นกัน เพราะเหตุนี้ เมื่อถึง่บ่าย เฟิ่งสือจิ่นที่เสร็จภารกิจจึงกลับไปที่จวนราชครูพร้อมกับจวินเชียนจี้
เมื่อเดินออกมาจากพระราชวัง ขณะที่ดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า เฟิ่งสือจิ่นหันไปมองพระราชวังอันแสนยิ่งใหญ่เื้ัอีกครั้ง พลางถอนหายใจยาวๆ ออกมา แท้จริงแล้ว มันก็คือกรงทองดีๆ นี่เอง ชีวิตในนั้นช่างน่าอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก ไม่เหมือนชีวิตนอกกำแพงวัง เมื่อออกมายืนอยู่ข้างนอก แม้แต่อากาศก็ยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายของอิสรภาพเลย เฟิ่งสือจิ่นหลับตาลง พลางสูดลมหายใจเข้าลึก กลิ่นหอมของดอกไหวในฤดูใบไม้ผลิลอยมาแตะจมูก ชาวบ้านพากันกลับบ้านหลังจากทำงานมาทั้งวัน ภาพตรงหน้าแลดูอบอุ่น เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
ดวงตะวันยามเย็นลากให้เงาของจวินเชียนจี้สูงกว่าตัวจริงหลายเท่า เฟิ่งสือจิ่นเดินตามหลัง เดินอยู่ในเงาของจวินเชียนจี้ อาจารย์เป็บุคคลที่อยู่ท่ามกลางแสงสว่าง ส่วนนางก็เป็เหมือนเงาของเขา ตราบใดที่มีเขาอยู่เบื้องหน้า ก็มีคนให้เฟิ่งสือจิ่นคอยพึ่งพิง เป็เหมือนฉากที่กำบังลมฝนให้เฟิ่งสือจิ่นได้เสมอ
เขาเป็เช่นนี้เสมอ เป็มาตลอดหกปี
จู่ๆ จวินเชียนจี้ก็ชะงักฝีเท้าลง เฟิ่งสือจิ่นไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับแผ่นหลังของเขาจนจมูกเจ็บแสบไปหมด เฟิ่งสือจิ่นลูบจมูกของตนเพื่อบรรเทาความเจ็บ อีกด้าน จวินเชียนจี้หันหน้ากลับมา แล้วยื่นกริชเล่มหนึ่งมาให้ เฟิ่งสือจิ่นเห็นดังนั้นก็ชะงักลงเล็กน้อย
กริชเล่มนี้ไม่ได้แลดูเก่าแถมยังเต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่างเหมือนกริชเล่มที่เฟิ่งสือจิ่นคืนให้ซูกู้เหยียน แต่เป็กริชใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่ง มันไม่มีอัญมณีหรือของล้ำค่าประดับประดา แต่เป็กริชที่ดูเรียบง่ายเป็อย่างมาก ด้ามจับและปลอกกริชล้วนทำมาจากไม้แข็ง เป็กริชธรรมดาๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น เฟิ่งสือจิ่นรับกริชมาดู ทันทีที่จับก็รับรู้ได้ถึงความหนักแน่นแข็งแรงของกริช ผิวไม้เรียบสวย ลวดลายที่สลักอยู่บนนั้นแลดูเรียบง่ายและสบายตา บนนั้นมีคำว่า ‘จิ่น’ สลักอยู่ด้วย กริชเล่มนี้มีคุณค่ากับนางมากกว่ากริชเล่มเก่าเป็ไหนๆ
นี่เป็กริชที่ทำขึ้นเพื่อนางโดยเฉพาะ
เฟิ่งสือจิ่นดึงกริชออกมาดู ดูเหมือนกริชเล่มนี้จะคมเฉียบเป็อย่างมาก นางพูดด้วยท่าทางดีอกดีใจ “อาจารย์รู้ได้อย่างไรว่ากริชเล่มนั้นไม่อยู่แล้ว?”
จวินเชียนจี้ชะงักลง “ไม่อยู่แล้วหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย “ก็ใช่น่ะสิ องค์ชายสี่บอกว่ากริชเล่มนั้นเป็ของของเขา ข้าก็เลยคืนให้เขาไปแล้ว”
“อืม... แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จวินเชียนจี้พยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินหน้าต่อไป “ใช้กริชเล่มนี้หั่นแคร์รอตให้เ้าสามมัดกินแทนก็แล้วกัน”
เฟิ่งสือจิ่นดีอกดีใจ นางเก็บกริชเข้าไปในหน้าอกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เดินตามจวินเชียนจี้ไป นางเอียงคอไปด้านข้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสที่ดูก็รู้ว่าเ้าของสร้างขึ้นเพื่อประจบประแจงใครบางคน แสงตะวันยามเย็นส่องกระทบลงบนม่านตาและใบหน้าของนาง ช่างเป็ภาพที่งดงามเสียจริง เฟิ่งสือจิ่นมองหน้าจวินเชียนจี้ “อาจารย์ ท่านเป็คนทำกริชเล่มนี้ให้ข้าด้วยตัวเองหรือ?”
จวินเชียนจี้ไม่ตอบ แต่พูดเปลี่ยนเื่แทน “เดินดูทางดีๆ”
เฟิ่งสือจิ่นขานรับ “รับทราบแล้ว อาจารย์”
เมื่อกลับไปที่จวนราชครู เฟิ่งสือจิ่นก็อาบน้ำจนสบายตัว และได้พบกับกระต่ายตัวโปรดอีกครั้ง ยามนี้ เ้าสามมัดกำลังนั่งอยู่ที่บันไดใต้แสงตะวันยามเย็น เส้นขนบนร่างกายพลิ้วไหวขึ้นเบาๆ ขนที่ขึ้นอยู่ข้างแก้มขยับไปมาตามจังหวะย่นจมูก มันดมทางนั้นทีทางนี้ทีไม่ต่างไปจากหนูที่กำลังหาอาหาร เฟิ่งสือจิ่นเดินออกมาด้านนอกโดยสวมเพียงชุดคลุมชั้นกลางบางๆ แค่ตัวเดียวเท่านั้น นิสัยของนางยังเป็เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ที่ร่างกายและเส้นผมยังเปียกชื้นเล็กน้อย นางอุ้มเ้าสามมัดขึ้นมาคลอเคลียที่ลำคอราวกับว่ามันเป็ผ้าขนหนูอย่างไรอย่างนั้น ทางด้านของเ้าสามมัดเองก็ยกแขนทั้งสองข้างขึ้น แล้วหมอบอยู่ที่บ่าของเฟิ่งสือจิ่นอย่างเชื่อฟัง
เฟิ่งสือจิ่นนั่งอยู่ที่ขั้นบันได สายลมยามเย็นพัดให้เส้นผมที่ข้างหูพลิ้วไสว นางวางเ้าสามมัดไว้ที่เข่า แล้วชั่งน้ำหนักของมันแบบคร่าวๆ “ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน ดูเหมือนเ้าจะหนักขึ้นเยอะเลยนะ อาหารของที่นี่อร่อยกว่าบนเขาหรือไง?” นางพูดอย่างอารมณ์ดี
เฟิ่งสือจิ่นหยิบแคร์รอตออกมาหนึ่งหัว เพียงได้เห็น เ้าสามมัดก็มีท่าทีดีใจอย่างเห็นได้ชัด
เฟิ่งสือจิ่นลองหั่นแคร์รอตด้วยกริชที่เพิ่งได้มาจากจวินเชียนจี้ กริชเล่มนี้คมพอๆ กับกริชเล่มก่อน แถมยังจับถนัดมือเป็อย่างมาก
ระหว่างกำลังเล่นกับเ้าสามมัด เมื่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตาก็ปรายไปเห็นใครคนหนึ่ง ซึ่งเดินอยู่บนถนนสายเล็กที่ถูกปกคลุมไปด้วยเงาร่มรื่นของต้นไม้ ร่างกายสูงใหญ่ ท่าทีงามสง่า สวมชุดนักพรตสีเขียวขุ่น เฟิ่งสือจิ่นชะงักนิ่ง ก่อนจะวางเ้าสามมัดลง แล้วรีบวิ่งเท้าเปล่ากลับเข้าไปในห้อง นางพึมพำเบาๆ “แย่แล้ว อาจารย์มา!” สิ่งแรกที่นางคิดได้ก็คือต้องรีบกลับเข้ามาที่ห้อง แล้วสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยเสียก่อน ไม่เช่นนั้นต้องถูกดุแน่ ตอนนี้นางยังตื่นเต้นกับกริชเล่มใหม่ที่อาจารย์มอบให้อยู่ ดังนั้น อย่าเพิ่งทำให้อาจารย์โมโหตอนนี้จะดีกว่า
เหตุนี้ เมื่อจวินเชียนจี้มาถึง เบื้องหน้าก็เหลือแค่เ้าสามมัดที่กำลังหรี่ตาเคลิ้ม กินแคร์รอตอย่างสบายใจอยู่ที่ข้างบันได กับปลอกกริชที่ตกอยู่บนพื้น และแคร์รอตท่อนหนึ่งที่กลิ้งหลุนๆ ลงมาจากบันไดเท่านั้น
จวินเชียนจี้เดินเข้าไปลูบขนของเ้าสามมัดเบาๆ พลางพูดด้วยเสียงไพเราะ “สือจิ่น เ้าอยู่ในห้องหรือเปล่า?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบด้วยเสียงอู้อี้ “อาจารย์ ศิษย์อยู่ในห้อง กำลังสวมเสื้อผ้าอยู่”
จวินเชียนจี้เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเื่ทั้งหมดได้ในทันที เขาพูดผ่านประตู “เ้าเพิ่งหายไข้ได้ไม่กี่วัน ตอนนี้ร่างกายยังไม่แข็งแรง หากสวมแค่เสื้อผ้าบางๆ อาการไข้อาจกลับมาอีกก็ได้ ทำไมถึงประมาทเช่นนี้”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “อาจารย์ ให้อภัยข้าเถอะ ข้าดีใจจนลืมตัวไปหน่อย”
เมื่อเฟิ่งสือจิ่นสวมเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้ว จวินเชียนจี้ก็พานางไปที่ห้องหลอมสมุนไพรต่อ ห้องหลอมสมุนไพรของจวนราชครูใหญ่กว่าห้องหลอมสมุนไพรบนเขาจื่อหยางหลายเท่าตัว ในนั้นมีควันสีขาวลอยอยู่เต็มไปหมด หากไม่ใช่เพราะกลิ่นสมุนไพรเข้มๆ ที่ลอยตลบอยู่ในอากาศละก็ นางต้องคิดว่าตนหลุดเข้ามาบนแดน์แน่ น่าเสียดายที่เฟิ่งสือจิ่นยังคัดจมูกไม่หาย จึงไม่ได้กลิ่นอะไรเลย