เมื่อตระหนักว่าตนเองทำขลุ่ยตก อวิ๋นจื่อก็เก็บขึ้นมาและกล่าวด้วยความขวยเขินว่า “เ้าเล่นได้ดีมาก ถ้าเสด็จแม่รู้จักเ้า นางต้องชอบเ้ามากแน่”
ซูเจินไม่กล่าวอะไร
ท้องฟ้ายังคงเป็สีดำสนิท มันดูเหมือนชิ้นส่วนของสีที่ถูกดึงออกมาจากความมืดและความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต สีดูเหมือนหมึกแต่ไม่ใช่หมึก
ค่ำคืนอันเงียบงันช่างยาวนานนัก
“บอกข้าทีว่าตอนนี้เ้ารู้สึกอย่างไร?” จู่ๆ ซูเจินก็ถามขึ้น
อวิ๋นจื่อรู้สึกประหลาดใจมาก
เหตุใดซูเจินถึงถามเช่นนี้?
ถึงเวลาพักผ่อนแล้วไม่ใช่หรือ?
แต่อันที่จริงตอนนี้นางอารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลย
“กล่าวตามตรง ข้ากำลังอารมณ์ไม่ดี” โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่นางได้รู้ว่าตระกูลอวิ๋นมีความลับมากมายซ่อนอยู่
“แล้วอย่างไร?”
“ข้าสงสารเสด็จพ่อ” อวิ๋นจื่อกระซิบ
“สงสาร?”
“ข้าเห็นใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ในชีวิตนี้เขาคงไม่เคยเจอหญิงสาวที่รักเขาจริงๆ ข้าจึงเห็นใจเขา” อวิ๋นจื่อเรียบเรียงความคิดและพยายามตอบให้อีกฝ่ายเข้าใจง่ายที่สุด
ซูเจินยิ้ม “แล้วท่านลุงอวิ๋นเซียวล่ะ?”
หญิงสาวบิดชายเสื้อแล้วกล่าวว่า “เสด็จอาช่างน่าเวทนายิ่งนัก! เขาเป็คนมากความสามารถ เขาควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ แต่จู่ๆ เขากลับสิ้นพระชนม์ ถ้าเขาไม่ได้ใช้แซ่อวิ๋น บางทีเหตุการณ์ทั้งหมดอาจแตกต่างออกไป ซูเจินบางครั้งเมื่อข้านึกถึงเื่นี้ ข้าก็อิจฉาเ้า ข้าอยากมีชีวิตแบบเ้า”
“เ้ารู้หรือว่าข้ามีชีวิตแบบใด? เ้าไม่รู้หรอกอวิ๋นจื่อ นี่อาจเป็เพียงด้านเดียวที่เ้าเห็น ลองใช้สมองหน่อยเถิด”
อวิ๋นจื่อผงะเล็กน้อยที่โดนซูเจินว่าอย่างกะทันหัน นางกล่าวว่า “ข้า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าแค่คิดว่าชีวิตในแบบของเ้าคือชีวิตที่ข้าอยากให้เป็”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ซูเจินก็กล่าวว่า “เอาล่ะ บอกแผนการของเ้ามาก่อน จากนี้เ้าจะทำอย่างไรต่อไป?”
อวิ๋นจื่อถามออกมาโดยไม่ทันได้ครุ่นคิดว่า “แผนการหรือ? เ้าต้องวางแผนให้ข้าไม่ใช่หรือ?”
ซูเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเบื่อหน่ายว่า “เ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้า้าจะสื่อหรือ? สถานที่ที่เ้ากำลังมุ่งหน้าไปไม่ใช่เมืองอวิ๋นเมิ่งเมื่อสามหรือสี่ปีก่อนอีกต่อไปแล้ว เ้าจะทำอย่างไรต่อไป?”
หญิงสาวหลุบตาลงและกล่าวว่า “จริงอย่างที่เ้ากล่าว ข้าคงจะอาศัยอยู่ในจวนตระกูลเสิ่นก่อน หลังจากนั้นข้าก็ทำได้เพียงเฝ้ารอ แม้ว่าสถานะปัจจุบันของตระกูลเสิ่นจะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ข้าก็ต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ ดังนั้นหากไม่จำเป็ข้าจะไม่ไปร่วมงานเลี้ยงหรืองานสังสรรค์ใดๆ ตราบใดที่ข้าเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในจวนตระกูลเสิ่น ข้าก็จะไม่เป็ไรใช่หรือไม่? แล้วแผนการที่เ้าเคยพูดถึงเกี่ยวข้องกับเย่เช่อหรือไม่?”
ซูเจินไม่กล่าวอะไรสักคำ เขาทำท่าทางให้นางพูดต่อ
อวิ๋นจื่อกระซิบ “ข้าน่าจะไม่มีลูกพี่ลูกน้องในตระกูลเสิ่น เพราะข้าคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขา อย่างไรก็ตาม ข้าต้องระวังเสิ่นต้วนจูผู้เป็ท่านตาของเ้าเอาไว้”
ซูเจินพยักหน้าเบาๆ และไม่กล่าวอะไร
อวิ๋นจื่อกล่าวต่อ นางใช้นิ้ววาดวงกลมที่แขนเสื้อโดยไม่รู้ตัว “ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงหลิงเข้ากับคนง่ายมาก บางทีนางอาจจัดงานเลี้ยง บางทีข้าอาจได้พบเหล่าขุนนางในอดีต แต่เ้าไม่ต้องกังวล ไม่มีใครในเมืองอวิ๋นเมิ่งจำข้าได้แน่ แต่ข้าไม่รู้ว่าพี่สาวเซียนจะจำข้าได้หรือไม่?”
“นางเป็ใคร?” ซูเจินถาม
ทันใดนั้นน้ำเสียงของอวิ๋นจื่อก็เจือไปด้วยความไม่แน่ใจ นางกล่าวว่า “นางเป็บุตรีของใต้เท้าเซี่ย นางมีอายุไล่เลี่ยกับข้า เราสองคนเคยสนิทกันมาก แต่ข้าไม่ได้พบนางมาประมาณห้าหรือหกปีแล้ว”
ซูเจินถามว่า “ถ้าอย่างนั้นหากบังเอิญพบกันนางจะจำเ้าได้หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ข้าคิดว่านางคงจำข้าได้ แต่ตอนนี้นางอาจแต่งงานแล้ว หากลองคิดดูให้ดีก็ไม่น่ามีโอกาสมากนักที่จะได้พบกัน”
ซูเจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจำได้ลางๆ ว่าเย่เช่อเคยพูดถึงชื่อนี้ครั้งหนึ่ง เขาเล่าว่าสนมที่ชื่อเซี่ยเซียนเป็สนมที่ฮ่องเต้เฉิงเต๋อโปรดปรานมาก เป็ไปได้หรือไม่ว่านางคือพี่สาวเซียนที่อวิ๋นจื่อกล่าวถึง?
ซูเจินกล่าวว่า “เ้าต้องเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกเหตุการณ์ บางทีพี่สาวเซียนของเ้าอาจเป็สนมเซี่ยซึ่งขณะนี้อยู่ในวัง”
“เ้าว่าอย่างไรนะ?” หญิงสาวอุทาน
พี่สาวเซียนมีอายุเพียงยี่สิบเท่านั้น?
เหตุใดตอนนี้นางถึงเป็สนมในวังได้?
อวิ๋นจื่อไม่สามารถทำใจยอมรับข่าวนี้ได้
“ไม่ ต้องไม่ใช่นางแน่” อวิ๋นจื่อส่ายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ฮ่องเต้เฉิงเต๋ออายุเท่าไหร่กัน? เขาเป็บิดาของนางได้เลยด้วยซ้ำ”
ซูเจินไม่้ายุ่งเกี่ยวกับเื่นี้มากไป เขาทำได้เพียงกล่าวว่า “หลายอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไป อวิ๋นจื่อเ้าต้องใจเย็นก่อน บางทีเมื่อเ้าไปถึงเมืองอวิ๋นเมิ่ง เ้าจะพบว่าฮั่วฉีอวี่ได้แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง หรือแม้กระทั่งเย่เช่ออาจแตกต่างจากที่เ้าเห็นก่อนหน้านี้ ไม่มีสิ่งใดคงเดิมไปตลอด เ้าต้องเรียนรู้ที่จะมองอย่างใจเย็น”
อวิ๋นจื่อหลับตาและกล่าวว่า “ซูเจิน ข้าคิดว่าเมื่อเทียบกับข่าวอื่นๆ ที่ข้าได้ยินมา ข่าวนี้ทำให้ข้าเสียใจเหลือเกิน ฮ่องเต้เฉิงเต๋อจะปฏิบัติต่อนางอย่างไร?”
ซูเจินกล่าวว่า “ตอนนี้นางน่าจะเป็คนโปรดของฮ่องเต้ หากเทียบกับโจวกุ้ยเฟยในตอนนั้นนางอาจได้รับการปฏิบัติดีกว่าด้วยซ้ำ”
อวิ๋นจื่อรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นางถามต่อว่า “ซูเจิน เ้ากังวลว่าข้าจะรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองอวิ๋นเมิ่งไม่ไหว นั่นเป็เหตุผลที่เ้าบอกข้าทุกอย่างในคืนนี้ใช่หรือไม่?”
“เป็การดีที่สุดสำหรับเ้าที่จะคิดแบบนี้”
หลังจากกล่าวจบซูเจินก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขาหลับตาพักผ่อนเงียบๆ
หลังจากพูดถึงเื่ราวในอดีตแล้ว ซูเจินก็ไม่รู้สึกเ็ปที่หัวใจอีกต่อไป แต่เขากลับรู้สึกว่าความเ็ปบรรเทาลง
ท้ายที่สุดอดีตเ่าั้ก็หนักหนาเกินกว่าจะแบกรับเอาไว้
หลังจากนี้เขาจะโบกมือลาทุกอย่างที่ผ่านมา
เมืองหยงโจวมีความเชื่อมโยงกับท่านลุงอวิ๋นเซียว
‘ตระกูลเสิ่น...ข้ามาแล้ว’ ซูเจินคิด
แต่อวิ๋นจื่อกลับแตกต่างจากซูเจิน นางรู้สึกว่าหัวใจของตนเองหนักอึ้ง
อนาคตเป็สิ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้ ชีวิตและความตายเป็สิ่งที่ไม่แน่นอน ส่วนการแพ้ชนะก็เป็เื่ยากที่จะกล่าว อันที่จริงการก้าวไปทีละก้าวช่างเชื่องช้าเหลือเกิน
ตอนนี้สถานการณ์ในวังจะเป็อย่างไร?
เย่เช่อจะเดินตามรอยเท้าบิดาของเขาหรือไม่?
เขาอาจไม่ทำเช่นนั้นก็เป็ได้ เขาได้เดินทางกลับมาที่เมืองอวิ๋นเมิ่งแล้ว พื้นที่ชายแดนในปัจจุบันค่อนข้างสงบ เซียวเหยียนรักษาสัญญาและไม่ก่อาใดๆ เขายังลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับแคว้นเล็กๆ ด้วย อาจเป็เพราะเสด็จอา เซียวเหยียนจึงใจดีกับนางมาก แต่ถ้าเขารู้ว่านางตกหลุมรักเย่เช่อ เขาอาจพาตัวนางไปแคว้นซินหลัวก็เป็ได้
สำหรับฮ่องเต้เฉิงเต๋อแล้ว สถานการณ์ในปัจจุบันนับว่ายอดเยี่ยมมาก
สันติภาพคือสิ่งที่ผู้ปกครองแคว้นปรารถนา
บัลลังก์มั่นคง บ้านเมืองก็มั่นคง
ไม่มีวิกฤติเกิดขึ้น
ยกเว้นเพียงตำแหน่งของเขาที่ได้มาอย่างไม่เป็ธรรม
นางควรทำอย่างไรเพื่อให้เหล่าทหารเลือกที่จะติดตามนาง
อวิ๋นจื่อตกอยู่ในภวังค์ความคิด
คนของเสด็จอาหันหลังให้นางแล้วหรือ?
สถานการณ์ในเมืองอวิ๋นเมิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?
เป็ไปได้หรือไม่ว่าทางเลือกเดียวคือให้เซียวเหยียนร่วมมือกับนาง? แต่การทำเช่นนี้จะเป็การชักศึกจากภายนอกหรือไม่?
อวิ๋นจื่อคิดว่านี่คงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้