ต้นอู๋ถงค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีเหลือง
ใบสีเหลืองตลอดทั้งต้นของมันดูแล้วงามตาไม่เบา
หากได้เอนกายลงใต้ต้นอู๋ถงแล้ว ต่อให้ใช้เวลาตลอดวันก็ยังรู้สึกว่ายังไม่พอที่จะชื่นชมความงามของมัน
ฝูงวัว ฝูงแกะนับวันก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น
อาชาป่าก็พากันสวนสนามั้แ่ฟ้าสางจวบจนแสงตะวันลาลับ
หน้าผาลึกไร้สิ้นสุด ยามนี้ได้กลายเป็รังนอนของเหล่าอินทรีที่มารวมตัวกัน ร่างมหึมาของพวกมันดูคล้ายกับเมฆทะมึนที่ลอยอยู่เหนือหน้าผา
บางคราก็มีเสียงร้องแหลมของพวกมันดังขึ้น
ทว่าเสียงแหลมของมันกลับทำให้ชาวบ้านรู้สึกอุ่นใจนัก
เฉินโย่ววิ่งไล่จับเ้าลูกหมาป่าสีขาวราวกับหิมะของนาง
เ้าลูกหมาป่าตัวนี้ คือตัวเดียวกันกับที่นางเก็บกลับมาหลังจากาจบลง
เริ่มแรกยามเข้าเรียนเฉินโย่วก็แอบซ่อนเ้าลูกหมาป่าไว้ใต้กระโปรง จวบจนบัดนี้ที่กระโปรงไม่อาจปกปิดร่างของมันได้มิดแล้ว อีกทั้งมันยังวิ่งเร็วราวกับติดปีกโบยบินก็ไม่ปาน
บัดนี้เฉินโย่วจึงมีกิจกรรมใหม่อย่างการวิ่งไล่เ้าลูกหมาป่า
นางตั้งชื่อให้เ้าหมาป่าน้อยของนางว่าเสี่ยวลวี่ แม้ว่าขนของเ้าหมาป่าจะขาวโพลนตลอดทั้งร่าง แต่บนหน้าผากของมันกลับมีขนสีเขียวอยู่กระจุกหนึ่ง
เด็กหญิงและลูกหมาป่าวิ่งไล่กันทั่วท้องทุ่งหญ้า
เสียงหัวเราะอย่างเอาแต่ใจของเด็กหญิงแว่วดังมาตามสายลม
เสียงใสๆ ของนางกังวานเจื้อยแจ้วทะลุเข้าโสตประสาทของชาวบ้านหมู่บ้านไป๋กู่ทั้งูเา
ท่านราชครูพร้อมเครายาวที่สะบัดพลิ้ว บัดนี้ยืนนิ่งอยู่ระหว่างนายท่านสามและแม่นางหลัว
เขารู้สึกอึดอัดนัก เหตุใดสองคนนี้จึงต้องให้เขายืนตรงกลางด้วยเล่า
ทว่าไหนๆ ก็ยืนไปแล้ว หากจะบุ่มบ่ามเปลี่ยนที่ตอนนี้ก็คงกระอักกระอ่วนไม่เบา
ราชครูลูบเครายาวของตนไปพลางถามขึ้น “ในเมื่ออ่านจดหมายกันแล้ว พวกท่านสองคนมีแผนการอย่างไร”
นายท่านสาม “แน่นอนว่าต้องไปให้ได้”
หลัวอู๋เลี่ยง “แน่นอนว่าไม่ไป”
บุรุษและสตรีสองคนกล่าวอันใดมิได้ความ รู้นัยกันเพียงแค่สองคน
นายท่านสามเป็บัณฑิตผู้เคยพลาดฝันจากสำนักเชิน ชีวิตนี้จึงได้แต่นึกเสียใจมาตลอด เดิมทีก็มุ่งหวังให้อาสวินได้เข้าเรียนแทน ด้วย เพราะอาสวินสามารถสอบเข้าได้อย่างแน่นอน ทว่าบัดนี้ช่างไม่นึกไม่ฝันว่าเด็กทั้งสี่คนจะมีรายชื่อเข้าร่วมการสอบเข้าได้ เช่นนั้นถึงอย่างไรก็จำต้องไปให้ได้
ทว่าแม่นางหลัวกลับไม่ได้รู้สึกดีกับเมืองหลวงมากนัก
นางเองก็ถือกำเนิดในตระกูลขุนนาง ยิ่งเมื่อได้เห็นสภาพอเนจอนาถของเหล่าแม่นางที่ถูกส่งตัวมา จึงได้รู้สึกว่ายิ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงได้มากเท่าใดก็ยิ่งดี
เมื่อทั้งสองมีความเห็นไม่ตรงกัน จึงหันมามองราชครูอย่างเก้อเขิน
นายท่านสามเดาสถานะที่แท้จริงของชายชราที่ยืนอยู่ข้างกายออกได้ระยะหนึ่งแล้ว ด้วยหลัวอู๋เลี่ยงั้แ่แรกก็เชื่อใจชายชรายิ่งนัก ราวกับว่านางรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็ใคร ทั้งท่านข้าหลวงที่เพิ่งจะเดินทางมาจากเมืองหลวง ก็ยังเรียกท่านอาจารย์กัวว่าท่านผู้าุโ ท่านข้าหลวงแซ่จ้ง ประกอบกับที่หญิงชราบนรถม้าะโเรียกเขาว่าราชครูก่อนจะสิ้นใจ นายท่านสามก็พอจะมั่นใจได้ทันทีว่าท่านอาจารย์กัวจะต้องเป็คนเดียวกับท่านราชครูแน่
อารมณ์ของฮ่องเต้เวินแปรปรวนอยู่เสมอ คราแรกที่มีบัญชาส่งคนมาไล่ล่าสังหารท่านราชครูก็เพราะพิโรธที่ท่านราชครูกล้าช่วยเหลืออดีตฮองเฮา อีกทั้งอดีตฮองเฮายังเป็หนามยอกอกพระองค์เสมอมา
ทว่ายามนี้สนมเอกมีครรภ์ เช่นนี้ก็เป็การพิสูจน์ว่าท่านราชครูไม่ได้ลงมือทำเื่พรรค์นั้น เพียงแค่โอกาสและเวลาดูจะเป็ใจจนเหมือนว่าเขาเป็คนลงมือทำเื่นี้ ยามนี้ฮ่องเต้เวินจึงได้รู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา
ฮองเฮาจ้าวเข้าใจฝ่าาดี จึงได้ใช้โอกาสนี้ลอบสังหารท่านราชครูอย่างลับๆ ทว่าน่าเสียดายที่เื่นี้ไม่สำเร็จ
นายท่านสามแม้ตัวจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ทว่าความจริงเขากลับสนใจเื่ในราชสำนักเป็พิเศษ ทั้งยังส่งคนไปคอยสืบข่าวอยู่เสมอ
ทว่าก็ยังไม่ทราบว่าเหตุใดท่านราชครูผู้สูงส่งจึงยอมลดตัวลงมาเป็อาจารย์ในค่ายของพวกเขาเช่นนี้
แต่ถึงกระนั้นผู้คนบนูเาลูกนี้ก็ล้วนแต่ให้ความเคารพท่านราชครูนัก คงมีเพียงเฉินโย่วคนเดียวที่ไม่เป็เช่นนั้น
ราวกับว่าเด็กหญิงปรากฏกายบนโลกนี้เพื่อทรมานท่านอาจารย์ก็ไม่ปาน
เพียงแต่ท่านอาจารย์กัวกลับไม่เคยโกรธเลยสักครา ทั้งยังดูสนุกสนานไปกับนางเสียด้วยซ้ำ
ทุกคนพบว่าท่านอาจารย์กัวปฏิบัติกับเฉินโย่วแตกต่างจากที่ปฏิบัติกับคนอื่นๆ
“ท่านอาจารย์เห็นว่าอย่างไร” แม้ว่านายท่านสามจะคาดเดาสถานะของชายชราได้แล้ว นายท่านสามก็ไม่ได้เลือกปฏิบัติกับชายชรา ยังคงทำตัวเช่นวันวาน
แม่นางหลัวคิดอ่านล้วนรอบคอบ จึงสังเกตเห็นมานานแล้วว่าท่าทีที่ท่านราชครูมีต่อเฉินโย่วไม่เหมือนคนอื่นๆ ท่าทีของเขาดูใส่ใจเด็กหญิงเป็พิเศษ
“หากว่าอยากให้เฉินโย่วได้ใช้ชีวิตสงบๆ จนถึงวัยปักปิ่น พวกเราก็อยู่บนทุ่งหญ้าแห่งนี้ต่อไป แต่หากว่าอยากให้นางได้เติบใหญ่เช่นคนอื่นๆ พวกเราก็จำเป็ต้องกลับเมืองหลวง” ราชครูถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ
เหตุผลที่ราชครูกล่าวมา มีความหมายชัดเจนนัก
ถ้ายังอยู่บนทุ่งหญ้า เฉินโย่วก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสงบ หากเดินทางไปเมืองหลวงเฉินโย่วย่อมมิอาจเป็เช่นนี้ได้ ทว่านางกลับมีโอกาสได้เติบโตเป็ผู้ใหญ่เช่นคนอื่นๆ
ราชครูหันมองคนทั้งสองที่ยืนขนาบซ้ายขวาแล้ว บุรุษและสตรีคู่นี้ดูอย่างไรก็รู้ว่ามีใจให้กัน หากว่ายังอยู่บนูเาก็ย่อมจะได้ลงเอยกันอย่างแน่นอน แต่หากเดินทางไปเมืองหลวงแล้ว เื่ราวยอมเปลี่ยนแปลงไปได้นับร้อยนับพัน พูดถึงโชคชะตาแล้วก็ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน มันเดินทางมาเงียบๆ ราวกับว่าถูกกำหนดเอาไว้แล้วก็ไม่ปาน
เมื่อราชครูกล่าวจบ ทั้งสองก็พลันตอบขึ้นพร้อมกันราวกับว่านัดกันมา
นายท่านสาม “เช่นนั้นก็ไป”
หลัวอู๋เลี่ยง “เช่นนั้นก็ไป”
ครั้งนี้ทั้งสองกลับเห็นตรงกัน
หลัวอู๋เลี่ยงและนายท่านสามหันมาสบตากันครู่หนึ่ง
ราชครูที่ยืนอยู่ตรงกลางรู้สึกราวกับว่าร่างของตนจะทะลุเพราะสายตาร้อนแรงดุจเปลวเพลิงของบุรุษ และสตรีข้างกายตนที่มัวแต่จ้องมองกัน ทำเอาเขารู้สึกว่าตนยืนอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างบอกไม่ถูก
ต่อไปหากว่าเขายังกล้ามายืนอยู่ตรงกลางเช่นนี้อีก ก็เรียกเขาว่าสุนัขเถิด
“ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไป พวกเราก็ต้องมาช่วยกันวางแผนระยะยาว ทางพื้นที่ห่างไกลไม่จำเป็ต้องกังวลใจ ท่านข้าหลวงที่เพิ่งจะมาประจำการ แม้จะคร่ำครึไปสักหน่อย แต่ก็เป็คนมีเหตุผลและมีน้ำใจ ข้าจะช่วยกำชับเขาอีกแรง ส่วนเื่สำคัญอื่นๆ บนูเาลูกนี้พวกท่านสองคนก็จัดการให้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลาก็ออกเดินทางไปพร้อมกัน”
ฟังดูแล้วท่านอาจารย์กัวก็ดูเหมือนว่าจะมีเจตนาเดินทางไปเมืองหลวงกับเฉินโย่ว
หลัวอู๋เลี่ยงก็เช่นกัน
อีกทั้งเมื่อหลัวอู๋เลี่ยงตัดสินใจจะไปเช่นนี้ นายท่านสามก็ย่อมจะไปด้วยเช่นกัน
ไม่คาดคิดว่าคำตอบเพียงไม่กี่ประโยคของท่านราชครู จะทำให้พวกเขายอมจากไปอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้
นายท่านสามทั้งรู้สึกงุนงงและตื่นเต้น
หลัวอู๋เลี่ยงก็ทั้งตื่นเต้นและงุนงงอย่างยิ่งไม่ต่างกัน
ทว่าเด็กหญิงที่ยังคงวิ่งไล่ลูกหมาป่ากลับยังไม่รู้แม้แต่น้อยว่าชีวิตของตนกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เด็กหญิงยังคงออกวิ่งราวกับสายลม ดวงตายังคงจับจ้องไปที่เ้าลูกหมาป่าตรงหน้า ด้วยหมายจะจับตัวมันให้ได้ ครั้นนางไม่ทันระวังเผลอเตะเท้าออกไปครั้งหนึ่ง ร่างน้อยจึงลอยหวือ สายตาคู่เดิมยังถลึงใส่เ้าหมาป่าที่กำลังจะหนีไปได้ แต่ด้วยเพราะเฉินโย่วไม่ทันระวังเตะเท้าออกไปจนร่างน้อยโผไปข้างหน้า สุดท้ายจึงล้มลงบนร่างของเ้าลูกหมาป่า ร่างน้อยของเด็กหญิงทับอยู่บนร่างของเ้าลูกหมาป่าสีขาวหิมะพอดิบพอดี
เ้าลูกหมาป่าส่งเสียงร้อง “เอ๋งๆ” ขึ้นอย่างโมโห
ส่วนเฉินโย่วพลันหัวเราะคิกคักๆ ขึ้นทันใด เ้าหมาป่าน้อยก็ไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะาเ็หรือไม่ รีบยืดตัวยกเด็กหญิงบนหลังขึ้น
เ้าลูกหมาป่าไม่เพียงร้อง “เอ๋งๆ” เท่านั้น ยามนี้ยังร้องเสียงหอนสูงอย่างน่าเวทนา บัดนี้คนอื่นๆ ล้วนเห็นหมดแล้วว่ามันต้องมีสภาพเช่นนี้
เมื่อครู่ที่เฉินโย่วกำลังจะหน้าคะมำ ใจของคนทั้งสามที่ยืนมองก็แทบจะร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าด้านล่างของร่างน้อยยังมีเ้าลูกหมาป่าขนปุกปุยคอยรองรับไว้ ก็พากันถอนหายใจเฮือกใหญ่
ทว่าแม่นางหลัวเมื่อเห็นว่าเฉินโย่วกำลังถูลู่ถูกังลากเ้าลูกหมาป่ากลับมา ก็รีบยื่นมือไปดึงหูเ้าเด็กตัวแสบเป็การสั่งสอนนาง
เมื่อราชครูเห็นแม่นางหลัวดึงหูเฉินโย่ว คิ้วทั้งสองข้างก็พลันขมวดเป็ปม ในใจแทบอยากะโห้ามไม่ให้ดึงหูเด็กหญิงตรงหน้า จะดึงหูองค์หญิงใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน
ทว่าขณะเดียวกันก็รู้สึกสาแก่ใจ ก็ใครใช้ให้เ้าเด็กปีศาจนี่เอาแต่รังแกเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกันเล่า
“หากยังซุกซนเช่นนี้อีก ท่านอาจารย์จะส่งเ้าไปเข้าเรียนในสำนักแล้วนะ” หลัวอู๋เลี่ยงทางหนึ่งก็ดึงหูเด็กหญิง อีกทางหนึ่งก็เอ็ดไปด้วย
ยามที่น้าหลัวดึงหูนางความจริงแล้วไม่เจ็บสักนิด ต่อมรับความเ็ปของนางก็ชักจะด้านชาเสียแล้ว ทว่าก็ยังต้องเสแสร้งว่าเจ็บมาก มิฉะนั้นน้าหลัวย่อมต้องเอ็ดนางต่อไม่หยุดปากเป็แน่
ทว่าเฉินโย่วยามได้ยินว่าจะต้องเข้าเรียนในสำนัก ใบหน้าน้อยๆ ก็พลันหม่นหมองราวกับว่าโลกของนางกำลังจะพังทลาย
แล้วจึงหันมามองท่านอาจารย์ตนด้วยแววตาอาฆาต
ราชครู “…” เหตุใดจึงเป็ข้าที่ต้องเป็แพะรับบาปอีกแล้วเล่า
“พวกเ้าพี่น้องหารือกันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็แล้วกัน” ราชครูกล่าวขึ้น
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ชาวบ้านก็เลิกงานพากันเดินกลับกระท่อม
ในวันนี้ท่านอาปารับหน้าที่เป็พยานให้ครอบครัวลู่ แล้วจึงเริ่มเปิดการประชุมอย่างอึกทึก
ครั้งนี้ให้เด็กทั้งสี่ได้ร่วมออกความเห็นอย่างยุติธรรม
เฉินโย่วน้อยพร้อมผมจุกบนศีรษะส่ายหน้าไปมา “ข้าไม่อยากเข้าเรียนที่สำนักเชิน”
เสี่ยวอู่เด็กหนุ่มหน้าใหญ่กรามเป็สันส่ายหน้าไปมา “ข้าก็ไม่ขอเข้าเรียนในสำนักเชิน”
อาลู่ผู้เคร่งขรึมตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้าไม่อยากเข้าเรียนที่สำนักเชิน”
ส่วนอาสวินเด็กหนุ่มติ่งหูหนากลับตอบด้วยท่าทางตื่นเต้น “ข้าอยาก ข้าอยาก”
อาสวินที่นั่งหลังตรงอย่างเรียบร้อยอยู่นั้นพลันถูกเฉินโย่ว เสี่ยวอู่ และอาลู่ยกมือขึ้นปิดปากเขาดังเพียะๆๆ
เหล่าปาเห็นเช่นนั้นก็กล่าวปรามอย่างร้อนใจ “พวกเ้าห้ามตีหน้าผู้อื่นนะ”
เมื่อตีเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็ถามขึ้นพร้อมกันอีกครา “ยังอยากหรือไม่อยากเข้าเรียนที่สำนักเชิน?”
อาสวินยังคงยืนยันพร้อมส่ายหน้าไปมา “อยาก”
ทั้งสามจึงยกตีปากเขาอีกครั้ง
“ยังอยากไปเรียนอยู่หรือไม่?”
ครานี้อาสวินจึงได้แต่พยักหน้าอย่างกล้ำกลืน ตอบออกไปว่า “ไม่อยาก”
