“กุ่ยเม่ย เ้ารีบบอกท่านอ๋อง เร็วเข้า เมื่อครู่เป็เพราะคนชุดดำล้มโต๊ะ ข้าถึงได้...ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” มู่จื่อหลิงเฉหน้าไปทางกุ่ยเม่ยที่อยู่ไม่ไกล อธิบายพลางชี้มือไปทางคนชุดดำบนพื้น
มู่จื่อหลิงพลันรู้สึกว่าตนเองน่าสังเวชยิ่งนัก ความจริงแล้วเมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น หลงเซี่ยวอวี่ปรากฏตัวได้อย่างไร นางไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย นางมัวแต่หลับตารอโหม่งพื้นเท่านั้น
หากให้นางเห็นว่าหลงเซี่ยวอวี่อยู่ตรงหน้า นางจะต้องทุ่มแรงสุดชีวิต เปลี่ยนทิศทางเสียก่อนแล้วค่อยล้มลง ต่อให้จมูกเขียวหน้าบวมนางก็ยอมทั้งนั้น
กุ่ยเม่ยได้ยินมู่จื่อหลิงพูดถึงเขา ก็ได้สติกลับจากอารามใจนตาโตอ้าปากค้าง หุบปากที่อ้าจนเกือบจะยานถึงพื้นเข้าหากันแน่น
ปิดปากไม่ตอบอย่างแน่วแน่!
เขาผุดเหงื่อเย็นแทนหวางเฟยของพวกเขาอย่างเงียบๆ!
แม้เขาจะเคยเห็นนายท่านขี่ม้าตัวเดียวกับหวางเฟยมาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นการใกล้ชิดเพียงนี้เช่นการจุมพิตกัน นายท่านเกลียดสตรีที่เป็ฝ่ายเข้ามาแตะเนื้อต้องตัวก่อนเป็ที่สุด นายท่านคงไม่ทำอันใดหวางเฟยจริงๆ กระมัง
แต่นายท่านอุ้มหวางเฟยไว้โดยตลอดเช่นนี้ เหมือนกับไม่คิดจะ ‘ปล่อย’ หวางเฟยไปแล้ว เื่ที่นายท่าน้าทำ เขาคงเข้าไปยุ่งด้วยไม่ได้แล้ว
ในใจกุ่ยเม่ยเตือนตัวเองอย่างเงียบๆ สิ่งใดไม่เหมาะสมไม่มอง สิ่งใดไม่เหมาะสมไม่ฟัง ใช่ เมื่อครู่นี้นายท่านปรากฏตัวรวดเร็วเกินไป ฉากที่ทำให้ผู้คนตกอกในั่น เขามองไม่ชัดเลยแม้แต่น้อย
อืม เขาไม่เห็น แล้วจะยืนยันอะไรได้? ต่อให้เป็พยานได้ ให้เขามีความกล้าหาญเป็ร้อยเท่าเขาก็ไม่กล้า เขาไม่นึกรังเกียจที่ตนตายช้าหน่อย!
“กุ่ยเม่ย เ้ารีบพูดสิ!” มู่จื่อหลิงเห็นกุ่ยเม่ยยืนแน่นิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้นราวกับตอไม้ ในใจก็กระวนกระวายนัก
หากเป็เพราะแตะถูกริมฝีปากของหลงเซี่ยวอวี่โดยไม่ตั้งใจ จนถูกเขาโยนออกไปอย่างไร้ความปรานี เช่นนั้นนางคงน่าสงสารยิ่งกว่าโต้วเอ๋อ [1] เสียอีก
กุ่ยเม่ยได้ยินมู่จื่อหลิงขอความช่วยเหลืออยู่โดยตลอด เขาก็พลันนึกถึงสามสิบหกแผน เผ่นก่อนนับเป็แผนแรก [2] ขึ้นมา
ตอนนี้เขาอยากทาน้ำมันไว้ที่ฝ่าเท้า อยากเผ่นหนี อยากไปจากความถูกผิดของสถานที่แห่งนี้ เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เขาก็ทำตามนี้แล้วกัน
ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่เผ่นยามนี้แล้วจะรอเผ่นยามใดเล่า!
เห็นกุ่ยเม่ยเดินมาทางพวกเขา ใจของมู่จื่อหลิงก็ผ่อนคลายลง กุ่ยเม่ยยังยึดมั่นต่อคุณธรรมมากพอ
เพียงแต่คำพูดต่อมาของกุ่ยเม่ย ก็ทำให้นางแทบอดใจโบกศีรษะเ้าตอไม้นี่ให้ตายไม่ได้
“นายท่าน ข้าน้อยจะไปหาคนมาทำความสะอาด!” กุ่ยเม่ยหลบสายตาที่เปี่ยมความหวังของมู่จื่อหลิงที่ถูกหลงเซี่ยวอวี่กอดเอาไว้อย่างร้อนตัว พูดกับหลงเซี่ยวอวี่อย่างนอบน้อม
มู่จื่อหลิงเจ็บหน้าอกขึ้นมาโดยพลัน! น่าชิงชังนัก!
นางลืมไปได้อย่างไรว่ากุ่ยเม่ยเป็คนของหลงเซี่ยวอวี่ แล้วยังเป็องครักษ์ที่จงรักภักดีที่สุด จะช่วยนางได้อย่างไร แต่ แต่นี่มันรังแกกันเกินไปแล้ว จะทำเช่นนี้ไม่ได้
“สองคนที่รอดชีวิตข้างนอกนั่น จัดการให้เรียบร้อย!” หลงเซี่ยวอวี่ค่อยๆ เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบและทุ้มต่ำในที่สุด
เสียงนี้ มู่จื่อหลิงได้ยินในใจก็รู้สึกสั่นสะท้าน นางไม่คิดจะไปคาดเดาความหมายในคำพูดของหลงเซี่ยวอวี่ สีหน้าท่าทางเช่นนี้ก็คือให้กุ่ยเม่ยไปได้แล้ว แล้วนางจะทำเช่นใด?
ในฐานะที่เป็องครักษ์ของหลงเซี่ยวอวี่ กุ่ยเม่ยย่อมเข้าใจความหมายของคำว่าจัดการให้เรียบร้อยนี้ เขาจึงมิได้มากความอีก หลังจากกุ่ยเม่ยตอบรับก็ออกไปราวกับเผ่นหนี
หวางเฟย ท่าน ‘รักษาตัว’ ให้ดีๆ ด้วย!
มู่จื่อหลิงเห็นกุ่ยเม่ยหายไปราวกับควันสายหนึ่งก็โมโหจนหายใจไม่ออก น้ำตานองหน้าในใจอยู่นานแล้ว
เหตุใดกุ่ยเม่ยก็เป็เหมือนหลงเซี่ยวเจ๋อเล่า ต่อหน้าผู้อื่นก็ปกป้องนางอย่างมีคุณธรรมน้ำมิตร แต่เมื่อเห็นหลงเซี่ยวอวี่ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หลังจากกุ่ยเม่ยไปแล้ว หลงเซี่ยวอวี่ก็ชำเลืองมองสถานที่ที่เละเทะระเนระนาด ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย เปลี่ยนท่าอุ้มเป็ท่าอุ้มเ้าสาว อุ้มมู่จื่อหลิงเข้าไปยังตำหนักในอย่างมั่นคง โดยในระหว่างนั้นก็ไม่ได้พูดแม้สักประโยค
มู่จื่อหลิงเห็นหลงเซี่ยวอวี่อุ้มนางไปตำหนักใน จิตใจก็วิตกกังวล หมอนี่คิดจะทำอะไรกันแน่ ปล่อยนางลงได้หรือไม่ แล้วจัดการนางเลยอย่างไม่ต้องอ้อมค้อม
บัดนี้พานางไปตำหนักในเพราะมีความคิดเช่นใด คงมิได้้าฆ่าปิดปากคนโดยมิให้ผู้อื่นรับรู้ใช่หรือไม่
-
หลังจากที่เข้าไปในตำหนักใน หลงเซี่ยวอวี่ก็ยังคงไม่ปล่อยมู่จื่อหลิง ยังคงกอดนางไว้แน่นเช่นเดิม
มู่จื่อหลิงเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่น่ายำเกรง ก็ยิ่งไม่มีความมั่นใจมากขึ้นไปอีก เอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ “ข้า...ข้าไม่ได้ตั้งใจ ปล่อย...ปล่อยข้าลง”
นางพยายามจะดิ้นรนมาโดยตลอด แต่ไม่ว่านางจะพยายามเช่นใด ก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อนเช่นเดิม ราวกับว่าต่อหน้าหลงเซี่ยวอวี่ นางตัวเล็กดั่งฝุ่นละอองที่ถูกลมพัดเบาๆ ก็หายไปอย่างไรอย่างนั้น
หลงเซี่ยวอวี่หลุบตาลงโน้มลงไปมองใบหน้าแดงก่ำที่เกิดจากการออกแรงดิ้นรนของสตรีตัวเล็กในอ้อมแขน ดวงตาลุ่มลึกฉายแววหยอกเย้า แต่สีหน้ากลับยังนิ่งสงบเช่นเดิม น้ำเสียงราบเรียบราวกับสายน้ำ “ไม่ได้ตั้งใจ?”
คำพูดนี้สำหรับมู่จื่อหลิงฟังแล้วเหมือนเป็ลางแห่งโทสะ แต่นางพลันรู้สึกว่าใจนั้นออกจะชาๆ เหลวๆ และขนลุกอยู่เสียหน่อย เป็ความรู้สึกที่แปลกประหลาดนัก!
เพราะนางรู้สึกได้ว่ายามที่หลงเซี่ยวอวี่พูด ลมหายใจร้อนก็ค่อยๆ พ่นออกมารินรดไปทั่วใบหน้าของนาง กลิ่นของเหมยอันหอมเย็นที่มีเอกลักษณ์และคุ้นเคยปกคลุมไปทั่วอวัยวะภายในของนาง!
“ใช่ๆ มิได้ตั้งใจ” มู่จื่อหลิงผงกศีรษะติดต่อกันราวกับไก่จิกข้าวสาร ยามนี้ไม่ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะพูดสิ่งใดนางเพียงคล้อยตามไปด้วยดีๆ ก็พอ จะอย่างไรก็มิอาจดึงดันถกเถียงได้ รักษาชีวิตไว้ก่อนเื่เร่งด่วนกว่า!
หลงเซี่ยวอวี่วางขาของมู่จื่อหลิงลง แต่แขนเรียวยาวกลับยังโอบรัดนางไว้ในอ้อมแขนแ่าเช่นเดิม
มู่จื่อหลิงคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่จะปล่อยนางไปแล้ว ใจที่ถูกแขวนไว้สูงมาแต่เดิมจึงลดลงมาโดยพลัน แต่ว่า
“เปิ่นหวางไม่เชื่อ” มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่โค้งขึ้นเล็กน้อยเสียจนถ้าไม่ได้มองอย่างละเอียดก็จะมองไม่เห็น ั์ตาเ็าจ้องมาที่มู่จื่อหลิงตรงๆ เอ่ยออกไปสี่คำทันที
ไม่เชื่อ? มู่จื่อหลิงตกตะลึงไปชั่วขณะ เงยหน้าขึ้นไปมองหลงเซี่ยวอวี่
“เหตุใด...” ไม่เชื่อ สองคำสุดท้ายยังไม่ทันหลุดออกจากริมฝีปาก มู่จื่อหลิงก็รู้สึกว่าท้ายทอยของนางมีมือขนาดใหญ่แข็งแรงควบคุมอยู่ ออกแรงบังคับศีรษะของนางให้เข้าไปใกล้ใบหน้าหล่อเหลาของหลงเซี่ยวอวี่
และหลงเซี่ยวอวี่ในเวลาเดียวกันนั้นก็ก้มศีรษะโน้มกายลงมา
ในชั่วขณะนั้น ใบหน้าหล่อเหลาของหลงเซี่ยวอวี่ก็ขยายใหญ่ปกคลุมลงมายังใบหน้าเล็กของมู่จื่อหลิง จากนั้นััอันเย็นเยียบก็จู่โจมบุกรุกเข้าที่กลีบริมฝีปากของนาง ปราศจากเค้าลางล่วงหน้า กลิ่นอายคุกคาม ไร้ซึ่งหนทางถอยหนี
“อุ๊บ” ริมฝีปากอ่อนนุ่มของมู่จื่อหลิงถูกอย่างเอาแต่ใจ ััอ่อนนุ่มอันเย็นเยียบ ลมหายใจสดชื่นที่ร้อนผ่าว
โดยไม่ทันตั้งตัว จุมพิตก็มาอย่างกะทันหัน
ม่านตาของมู่จื่อหลิงขยายใหญ่ขึ้นมาทันที พลันรู้สึกว่าสมองขาวโพลนไปหมด และสมองขัดข้องอย่างถึงที่สุด
นี่ นี่มันเกิดเื่ใดขึ้น...
ฉีอ๋องผู้มีข่าวลือว่าเป็โรครักความสะอาดขั้นรุนแรงที่อยู่ใกล้กันนักกำลังหลับตาทั้งสองจุมพิตนางอย่างใกล้ชิดตามอำเภอใจ
จูบเย็นเยียบของเขาเจือไปด้วยลมหายใจร้อนผ่าว ถ่ายทอดความนุ่มนวล รุนแรงและความเอาแต่ใจ แต่ก็มิได้ขาดความอ่อนโยนไป
หัวใจของมู่จื่อหลิงพลันไม่ฟังคำสั่ง เต้นตึกตักอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาในทันทีทันใด นางคิดดิ้นด้วยแรงทั้งหมดตามจิตใต้สำนึก ทว่ากลับตาลปัตรไปหมด
สองมือเล็กอ่อนแรงของนางไม่รู้ว่าถูกมือใหญ่เพียงข้างเดียวของหลงเซี่ยวอวี่รวบไปไว้ด้านหลังอย่างง่ายดายได้อย่างไร ส่วนมือใหญ่อีกข้างของหลงเซี่ยวอวี่ก็บีบท้ายทอยมู่จื่อหลิงแน่น
มู่จื่อหลิงในยามนี้แม้แต่จะขยับก็ขยับไม่ไหว ถูกจูบจนแน่นิ่ง ราวกับในชั่วขณะนั้นนางได้หลงลืมตนเองไปอย่างสิ้นเชิง ตกอยู่ในห้วงแห่งการจุมพิตที่ทั้งดึงดันแล้วอ่อนโยนนี้อย่างหลงใหล
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ร่างกายของมู่จื่อหลิงที่แข็งค้างมาแต่เดิม ก็ตัวอ่อนปวกเปียกลงไป ได้แต่ให้หลงเซี่ยวอวี่พยุงเอาไว้ด้วยใบหน้าเล็กแดงก่ำ สองตาพร่าเบลอ และใกล้จะขาดอากาศหายใจ
หลงเซี่ยวอวี่จึงปล่อยนางออกเพียงเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ได้ปล่อยทั้งหมด กลีบปากเย็นเยียบแตะปัดป่ายกลีบปากของมู่จื่อหลิง ริมฝีปากแยกออกเล็กน้อย เสียงทุ้มต่ำและทรงเสน่ห์ก็ดังขึ้น “ฉีหวางเฟย เ้าจดจำไว้ เปิ่นหวางไม่เคยเสียเปรียบ”
......
มู่จื่อหลิงสั่นสะท้านครู่หนึ่ง แล้วจึงตื่นใราวกับพึ่งตระหนักได้ ดิ้นให้หลุดจากมือของหลงเซี่ยวอวี่ที่จับนางไว้ เบี่ยงหนีออกจากอ้อมแขนของหลงเซี่ยวอวี่ในทันที ส่ายศีรษะที่มึนงง ก้มศีรษะหอบหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่...
หมอนี้กล่าวเตือนนางแล้ว!
เพราะไม่เคยเสียเปรียบ? ดังนั้นเมื่อครู่นี้เขาจึงกอดนางแน่นไม่ยอมปล่อย?
เพราะไม่เคยเสียเปรียบ? ดังนั้นเขาจึงจูบนางกลับโดยไม่มีเค้าลางล่วงหน้า?
เพราะไม่เคยเสียเปรียบ? ดังนั้นเขาจึงหลับตาจูบนางอย่างเผลอไผลเนิ่นนานเพียงนั้น?
แล้วโรครักสะอาดขั้นรุนแรงของฉีอ๋องเล่า? เหตุใดพอมาถึงนางก็ไร้ผลเสียแล้ว?
มู่จื่อหลิงพลันรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก ในใจจะร้องไห้อยู่รอมร่อ นางไม่ทันระวังชนเข้าเบาๆ เอง
ก็ได้! ไม่ใช่เบาๆ เป็ชนอย่างแรงนิดเดียวเอง
แต่ แต่ว่าเ้าคนสารเลวผู้นี้ก็รังแกผู้อื่นเกินไปแล้ว ยังเพิ่มไปอีกเท่าตัว
มีแบบนี้ที่ไหนกัน เป็กติกาไม่ยุติธรรม ั้แ่ต้นจนจบผู้ที่เสียเปรียบคือนางชัดๆ!
เมื่อเผชิญหน้ากับการประสบหายนะโดยไม่มีเค้าลางเตือนอย่างกะทันหัน มู่จื่อหลิงได้แต่คล้อยไปตามทิศทางลมอย่างเงียบๆ ด้วยใบหน้านองน้ำตาแล้ว
“รังแกกันเกินไปแล้ว!” มู่จื่อหลิงก้มศีรษะเบะปาก ครุ่นคิดไปพลางเผลอพึมพำคำพูดที่อยู่ในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
ไม่มีใครรู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่ได้ยินประโยคนั้นหรือไม่ ถึงอย่างไรเสียหลงเซี่ยวอวี่ก็ทำลายบรรยากาศด้วยการถามออกมาหนึ่งประโยค “แก้พิษกู่ของหลงเซี่ยวหนานแล้ว?”
“อะไรนะ?” มู่จื่อหลิงเงยหน้าพรวดพราดขึ้นมา เพราะเปลี่ยนบทอย่างรวดเร็ว นางจึงตอบสนองไม่ทัน พูดขึ้นมาทันที “แก้ แก้แล้ว”
“หาสิ่งใดออกมาได้แล้ว?” หลงเซี่ยวอวี่ถามต่อ
มู่จื่อหลิงค่อยๆ กลับมาเป็ปกติ ยามนี้จึงได้นึกถึงคำถามที่นางเตรียมจะถามกุ่ยเม่ยก่อนที่คนชุดดำจะเข้ามา นางหยิบขนสีขาวสะอาดที่พึ่งยัดลงไปในเอวอย่างลวกๆท่ามกลางความวุ่นวายเมื่อครู่นี้
“ขนเส้นนี้จะต้องมีกลิ่นของกู่ติดอยู่แน่ เลยถูกคางคกม่วงเข้าใจผิดกินเข้าไป” มู่จื่อหลิงกะพริบตา ในใจมีความมั่นใจอยู่หลายส่วน
หลังจากเสี่ยวไตกูกินกู่ควบคุมใจไปครั้งนั้น ก็มีความว่องไวต่อกลิ่นของหนอนกู่มาโดยตลอด ให้ความสนใจต่อหนอนกู่เป็พิเศษ
และเสี่ยวไตกูจะต้องได้กลิ่นหนอนกู่บนขนเส้นนี้ ถึงได้เข้าใจผิดกินเข้าไป ผลคือย่อยไม่ได้จึงอาเจียนออกมา
“คางคกม่วง?” หลงเซี่ยวอวี่สงสัย
“เป็มัน คางคกพิษที่หม่อมฉันเอ่ยถึงเมื่อคราวก่อน” มู่จื่อหลิงล้วงเสี่ยวไตกูที่กำลังสัปหงกออกมาจากแขนเสื้อ
หลงเซี่ยวอวี่เหลือบมองเ้าเสี่ยวไตกูอ้วนกลมในมือมู่จื่อหลิงอย่างเรียบๆ พูดอย่างมั่นใจ “มันกินรังนกไปหนึ่งชาม!”
เอ่อ...
มู่จื่อหลิงตอบคำถามหลงเซี่ยวอวี่ไม่ออก เสี่ยวไตกูกินไปหนึ่งชามจริงๆ หากคิดตามความจริงขึ้นมาก็ไม่ถึงหนึ่งถ้วย แต่เ้าหมอนี่ต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนารวดเร็วเพียงนี้เลยหรือไง
มู่จื่อหลิงไม่อ้าปาก หลงเซี่ยวอวี่ก็ไม่ได้อ้าปากอีก เขาเดินไปที่เตียงหยกเหมันต์นอนลงไปแล้วชันเข่าขึ้นอย่างสง่างาม มือข้างหนึ่งหนุนท้ายทอยต่างหมอน ปิดตางีบหลับ
มู่จื่อหลิงหมดคำจะพูดขึ้นมาโดยพลัน เ้าหมอนี่ !
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันไปได้แล้วหรือยัง?” มู่จื่อหลิงถามอย่างระมัดระวัง นางยังต้องไปถามกุ่ยเม่ยให้ชัดเจน ไม่อาจยืนมองเขาหลับอยู่ตรงนี้ได้
ยามนี้เพียงถามให้ชัดเจนว่าขนสีขาวสะอาดเส้นนี้มาจากที่ใด ความจริงของเื่ราวก็จะเผยออกมาเกินครึ่งแล้ว ในเมื่อไม่มีคนที่ได้รับาเ็เข้าใกล้หลงเซี่ยวหนาน เช่นนั้นก็มีเพียง......
------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] น่าสงสารยิ่งกว่าโต้วเอ๋อ คือวลีเปรียบเปรยว่าตนถูกใส่ความจนได้รับความไม่เป็ธรรม
[2] สามสิบหกแผน เผ่นก่อนนับเป็แผนแรก มีความหมายว่า เมื่อพบสถานการณ์ที่เสียเปรียบหรือไม่สามารถต่อกรได้ การถอยถือเป็หนทางที่ดีที่สุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้