เจ็ดดินแดนชายขอบทางเหนือสุดและใต้สุดถูกปิดกั้นไว้ด้วยเขตแดนที่ถูกขีดเอาไว้ ซึ่งแต่เดิมมาไท้หยู (คนเก่า) ก็ไม่ทราบกระจ่างว่าผู้ขีดเขตแดนนั้นคือผู้ใดหรือมีเจตนาใด
แม้จะพอทราบว่าทางเหนือสุดมีสัตว์ประหลาดหิมะที่น่าสะพรึงกลัวสุดแสน แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าตอนใต้ที่โพ้นทะเลยังมีสัตว์มารหลงเหลืออยู่ นี่ไม่อาจโทษว่าไท้หยู (คนเก่า) ไม่มีความรู้แต่เื่ที่อยู่ห่างไปหลายหมื่นลี้เช่นนั้นจะทราบอย่างกระจ่างแจ้งย่อมเป็เื่ยาก
อีกทั้งเื่ประการนี้ผู้ที่ทราบส่วนใหญ่ล้วนเป็ผู้มีอำนาจใหญ่ในเจ็ดดินแดนเท่านั้น ไท้หยูแม้เป็ประมุขสำนักพันปี แต่ยังไม่อาจเทียบกับคนเ่าั้
“ฉงฉง (หนอน) กลับรู้เื่ราวมากมายนัก ช่างน่าเสียดายที่มันเป็หนอนที่หยิ่งยโสเพียงเล่าเื่ที่อยากบอกเท่านั้น”
แม้ฉงฉงจะฝังสู่ร่างเขาได้ไม่นานแต่ไท้หยูก็ได้ถามไถ่มันหลายเื่แล้ว ทว่าเ้าหนอนตัวนี้กลับมีนิสัยยโสไม่สนใจผู้อื่น เื่ที่สงสัยมันไม่ตอบ ที่ตอบส่วนใหญ่เป็เื่ไร้สาระ
ฉงฉงพลันกล่าวว่า
“ข้าใช้พลังจากมหาพยุหะปิดผนึกชิ้นส่วนคำสาปนี้ไว้แล้ว ในระยะสั้นมันจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก แต่เป็ถึงชิ้นส่วนคำสาปที่เทียบได้กับอาวุธคู่แผ่นดิน แม้จะสะกดไว้ได้แต่มันยังสามารถตื่นขึ้นมา ทางที่ดีควรนำมันออกจากเทือกเขาหยกให้ตัดขาดจากพยุหะคำสาป หรือไม่ก็ผนึกมันไว้ด้วยพลังของเส้นปฐี”
ไท้หยูนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งพลันส่ายศีรษะตอบว่า
“ข้อแรกแม้จะเป็ทางออกทีดีแต่ยังอันตราย ยังไม่แน่ว่าชิ้นส่วนคำสาปนี้นอกจากเชื่อมโยงกับพยุหะคำสาปแล้วยังเชื่อมโยงกับตัวผู้ใช้หรือไม่ อีกอย่างถ้าหากนำออกไปจากเทือกเขาหยกพลังจากการสะกดจะปิดกั้นคำสาปได้ตลอดทางหรือไม่ อีกทั้งตอนนี้ไม่มีสถานที่ใช้ผนึกที่อื่น ข้อหลังจึงเป็วิธีที่ดีกว่า แต่ว่า..” ไท้หยูกล่าว
เื่ที่เขาไม่เข้าใจจะให้ฉงฉงเป็ผู้ตัดสินใจ เขาวางใจเ้าหนอนตัวนี้มากขึ้นแม้จะไม่ชอบมันก็ตาม
หลังจากสามารถปิดผนึกชิ้นส่วนคำสาปได้ ไท้หยูพลันสามารถััได้ว่าในอากาศพลังิญญาหลั่งไหลอย่างไม่ติดขัด พลังมากขึ้นกว่าเดิมส่วนหนึ่ง ดูเหมือนว่าพยุหะคำสาปนี้จะไม่เพียงทำให้ป่วยและลดทอนพลัง ยังเป็ตัวการปิดกั้นพลังิญญาที่ปลดปล่อยจากเส้นปฐีได้
“ฉงฉง” ไท้หยูเอ่ยขึ้น
“เ้าเรียกผู้ใดว่าฉงฉง”
“เช่นนั้นจะให้เรียกว่าอันใด”
“เรียกข้าว่าท่านผู้สูงส่ง”
“ไม่ ฉงฉงเพราะกว่า”
“ฉงฉง มารดาเ้า”
“ตามหาชิ้นส่วนคำสาปชิ้นที่สองเถอะ หลังจากปิดผนึกชิ้นแรกได้ พลังิญญาก็กลับคืนมาส่วนหนึ่ง หากสามารถถอนพยุหะทั้งหมดได้ ข้าจะอาศัยพลังิญญาทะลวงขั้นให้พลังฝึกตนกลับคืนมา”
ไท้หยูยังคงร้อนใจอยู่ไม่น้อย แม้ว่าตอนนี้หลายสิ่งหลายอย่างจะเริ่มหันทิศไปในทางที่ดีขึ้น แต่ทว่าก็ยังมีมีดจี้ที่คอเขาอยู่ หากยังไม่สามารถฟื้นฟูพลังฝึกตนกลับมาก่อนสำนักพิรุณพายุจะบุกมาย่อมย่ำแย่อย่างยิ่ง
“ข้าคิดว่าเ้าเป็ถึงประมุขจะมีความฉลาดอยู่ในตัวบ้าง ทว่าความจริงไม่เป็เช่นนั้น ข้ายังมองเ้าสูงเกินไป”
ไท้หยูเบิกตากลมโตสองแก้มแดงระเรื่อ
“เ้าด่าว่าข้าโง่?”
“เ้าคิดว่าการใช้พลังจากมหาพยุหะผนึกชิ้นส่วนคำสาปนั้นทำได้ง่ายรึ ข้าในตอนนี้อยู่ในตันเถียนของเ้า ที่ใช้คุมร่างเป็ส่วนหนึ่งของจิต แต่พลังส่วนใหญ่ที่ใช้คือพลังของเ้า แม้ว่าข้าจะเป็ผู้ทรงพลังอย่างมาก แต่พลังส่วนใหญ่มาคือของเ้า เฮอะ และทุกครั้งหลังจากข้าใช้พลัง ข้าจะต้องหลับใหล หากไม่ฉะนั้นข้าคงต้องดูดพลังจากเ้าโดยตรงแล้ว”
พอฟังถึงคำว่าดูดพลัง ไท้หยูพลันขนลุกซู่ทั่วร่าง เ้าหนอนนี่อาศัยเส้นปฐีหล่อเลี้ยงตนเอง หากดูดพลังเขาสภาพเขาคงไม่ต่างจากตาย
ห้องโถงร้อยปีของสำนัก เป็อาคารใหญ่โตที่สุดของในเทือกเขาหยก ส่วนหน้าเป็ห้องโถงกว้างใหญ่ เสาสูงอลังการส่วนหลังของห้องโถงเป็ตำหนักเหมันต์ เป็ที่พักของประมุขสำนักเป็สถานที่ต้องห้ามของเทือกเขาหยก ใจกลางของมหาพยุหะที่เชื่อมโยงพยุหะทั้งหมดเข้าด้วยกัน
ไท้หยูเรียกผู้าุโเฝ้าประตูมาพร้อมกับศิษย์ทั้งสี่คน
“ช่างน่าละอายยิ่งนัก สำนักที่มีรากฐานพันกว่าปี กลับมีลูกศิษย์เพียงสี่คนเท่านั้น”
ไท้หยูกล่าวอย่างหดหู่อยู่ในใจ เปลือกนอกยังคงวางท่าสูงส่งเ็า สร้างภาพลักษณ์ของผู้ลึกลับ
ศิษย์ทั้งสี่คนนี้เป็เด็กที่เหล่าผู้าุโเก็บมาั้แ่ยังเป็ทารก สามคนยังเป็ศิษย์รับใช้อีกหนึ่งก็พึ่งเริ่มต้นฝึกตน สำหรับสำนักพันปีทุกฤดูเหมันต์ เหล่าผู้าุโจะพาศิษย์ออกจากเทือกเขาหยกให้พวกเขาได้ผจญภัยในยุทธจักร สร้างประสบการณ์สำหรับการฝึกตน และทุกครั้งมักมีผู้าุโเก็บเด็กทารกกลับมา บ้างอ้างว่าเพราะดูมีแวว บ้างเพราะถูกชะตา แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็เพราะสงสาร
ศิษย์ทั้งสี่คนนี้มีที่มาไม่แตกต่างกัน นั้นคือเป็ทารกที่ถูกมารดาคลอดทิ้งเอาไว้ และอาจเพราะสำนึกในพระคุณผู้ช่วยชีวิตแม้สำนักเผชิญเื่ร้ายแรงพวกเขาก็ยังไม่ทอดทิ้ง
ศิษย์ชายสองศิษย์หญิงสอง อายุเพียงสิบกว่าปี ศิษย์ที่เริ่มต้นฝึกตนยังอยู่ในระดับรับแสงปราณขั้นต้น พึ่งเริ่มฝึกตนไม่นาน ส่วนอีกสามคนยังไม่มีประสบการณ์
แววตาเป็ประกายยืนก้มหน้ามีบางครั้งพยายามระงับความกลัวเงยหน้าจ้องมองประมุขสำนักที่สูงส่งหาใดเปรียบ สำหรับศิษย์ทั้งสี่แม้จะเติบโตมาในสำนักพันปีแต่เพราะอายุน้อยบวกกับฐานะศิษย์รับใช้ เมื่อไม่ได้แสดงพร์ที่โดดเด่นออกมาจึงไม่เคยได้พบบุคคลระดับสูงของสำนัก
อย่าว่าแต่ประมุขสำนัก แม้แต่ผู้าุโนอกจากผู้ที่ช่วยชีวิตแล้วส่วนใหญ่ล้วนไม่เคยพบ
สำนักพันปีหากเป็ทารกที่เก็บมาจะถูกเลี้ยงไว้เป็ศิษย์รับใช้ และเมื่อถึงอายุสิบสามปีจึงจะได้เริ่มต้นฝึกตน หากมีพร์โดดเด่นจะได้เปลี่ยนฐานะจากศิษย์รับใช้เป็ศิษย์สายนอกจากนั้นค่อยไต่ระดับขึ้นเป็ศิษย์สายจริง
ไท้หยูยืนพิจารณาลูกศิษย์ทั้งสี่คนสองมือไพล่หลังเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ
“ข้าจะรับเ้าทั้งสี่คนเป็ศิษย์ของข้า”
คำพูดดั่งอสนีบาตฟาดเปรี้ยงสะท้านอยู่ในหูคนได้ยิน แม้แต่ผู้าุโเฝ้าประตูยังแปลกใจจ้องมองไท้หยู สำหรับผู้าุโเฝ้าประตู เขาแม้ไม่ทราบเื่ที่ไท้หยูพลังถดถอย แต่ก็ทราบว่าเขาป่วยหนักและคาดว่าอาการคงย่ำแย่อย่างยิ่งแล้ว ดังนั้นในใจเขาจึงคิดว่า
“หรือท่านประมุขมองไม่เห็นทางออกแล้ว จึงคิดจะสืบทอดสำนักให้ใครสักคน? แต่ทำเช่นนี้จะได้ผลหรือ สุดท้ายหากไม่โดนศิษย์พี่ของท่านแย่งชิงไป สำนักคงมอดม้วยในมือเด็กพวกนี้”
“ลี่ซวน ข้าจะถ่ายทอดวิชาการควบคุมมหาพยุหะส่วนหนึ่งให้เ้า”
ลี่ซวนคือชื่อของผู้าุโเฝ้าประตู สำนักพันปีในอดีต มีประมุขเป็ใหญ่ รองลงมาคือผู้าุโใหญ่และผู้าุโ ผู้าุโใหญ่มีเพียงสามคน เ่าั้คือศิษย์พี่ของเขาที่ตอนนี้มิทราบหายตัวไปอยู่ที่ใด ส่วนผู้าุโมีเจ็ดคนล้วนออกไปจากสำนักหมดแล้ว ตำแหน่งของลี่ซวนถือว่าต่ำสุดในสำนัก พร์ธรรมดาพลังฝึกตนไม่สูง แต่นอกจากลี่ซวนไท้หยูไม่มีผู้อื่นอีกแล้ว
สาเหตุที่ถ่ายทอดวิชาคุมมหาพยุหะส่วนหนึ่งให้ลี่ซวน นั้นเพราะวันใดที่เทือกเขาหยกถูกโจมตี เขายังมีคนช่วยแบ่งรับภาระออกไปบ้าง การคุมมหาพยุหะมิได้ขึ้นอยู่กับระดับพลังฝึกตน แต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ
ไม่ได้ใช้ลมปราณและพึ่งพลังจิต ลี่ซวนอยู่ระดับหลอมจิตขั้นสมบูรณ์ ที่จริงแล้วต่อให้ไท้หยูถ่ายทอดวิชาให้ ในระยะสั้นยังไม่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ แต่กระนั้นขอเพียงช่วยรับภาระแทนเขาได้ส่วนหนึ่งก็ยังดี มหาพยุหะส่วนใหญ่ยังคงเป็ไท้หยูควบคุม
หลังจากคาดเดาวางแผนไท้หยูสรุปได้ว่า ในระยะเวลาอันสั้นไม่มีทางฟื้นพลังฝึกตนกลับคืนมา และคาดว่าคงอีกไม่นานที่เ้าสำนักพิรุณพายุจะบุกมา สิ่งที่เขาจะใช้ต้านเ้าสำนักพิรุณพายุมีแต่มหาพยุหะเทือกเขาหยก ในด้านการเอาชนะไม่มีหวังอยู่แล้ว เพียงสามารถป้องกันตนและเทือกเขาหยกเอาไว้ได้ก็พอแล้ว รอคอยวันใดที่พลังฝึกตนฟื้นกลับคืนมาค่อยกลับไปแก้แค้น มีเพียงทำเช่นนี้....
“ท่านประมุขด้วยระดับของข้า...” ลี่ซวนเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล
ไท้หยูยกมือขึ้นขัดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เื่นั้นเ้าไม่ต้องสนใจ...” หยุดครู่หนึ่งหันมามองสำรวจลูกศิษย์ทั้งสี่คน อายุน้อยสุดคาดว่าสิบเอ็ดปี มากสุดสิบสามปี กล่าวสืบต่อว่า
“พวกเ้าแนะนำตัวเองมา”
“ศิษย์เห่าราน อายุสิบสามปี”
เห่ารานเป็หนึ่งเดียวที่เริ่มเข้าสู่เส้นทางฝึกตนเป็ผู้ที่อายุมากที่สุด
“ศิษย์ฮุ่ยเซี่ยนอายุสิบสองปี คารวะอาจารย์”
ท่าทางอ่อนน้อมไม่หวั่นเกรง คนที่สองเป็เด็กหญิงผิวขาวใบหน้ากลมมน ตาโตั์ตาสุกใส แม้จะสวมชุดธรรมดาที่ถูกซักจนซีด แต่ให้ความรู้สึกราวเด็กในบ้านผู้มีศักดิ์ฐานะ กลับรู้ความมากกว่าเห่าราน มีมารยาทงาม
“ชื่อเหมาะสมกับเ้าดี” ไท้หยูเอ่ยชมเบา ๆ (สงบและสง่างาม)
เห่ารานหันมองฮุ่ยเซี่ยนเห็นว่าตนเองทำพลาดไปจึงเอ่ยคำทำท่าคารวะตามฮุ่ยเซี่ยน
“ศิษย์ซวี่ฉีอายุสิบสองปี คารวะอาจารย์ทั้งสอง” จากนั้นหันไปทางลี่ซวนประสานมือค้อมกาย เมื่อทำเสร็จแล้วก็หันมาเขม้นใส่ฮุ่ยเซี่ยน ราวกับว่าข้าเหนือกว่าเ้า
ไท้หยูมองการกระทำนี้รู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง เด็กน้อยเท่านี้ก็รู้จักแข่งขันเอาชนะกันแล้วรึ
“ศิษย์จื่อหยวนอายุสิบเอ็ดปี คารวะอาจารย์ทั้งสอง”
ไท้หยูพยักหน้าในใจชมเชยว่า” ไม่เลว” พลางกล่าวว่า
“ลี่ซวนไปชงชามา”
การกราบอาจารย์เดิมจะใช้การดื่มจอกสุรา ให้ลูกศิษย์รินสุราให้อาจารย์ อาจารย์ดื่มครึ่งหนึ่ง ส่งต่อให้ศิษย์ดื่มให้หมด แต่ศิษย์ทั้งสี่ยังเด็กเกินไปจะดื่มสุรา ดังนั้นเขาเปลี่ยนเป็การ ยกน้ำชา แทนการดื่มจอกสุรา
ยามนั้นฮุ่ยเซี่ยนพลันเอ่ยขึ้นมาว่า
“อาจารย์ ศิษย์จะไปทำให้เอง งานรับใช้เป็งานถนัดของศิษย์”
ซวี่ฉีก็แย้งขึ้นมา
“อาจารย์ให้ศิษย์ไปเถอะ ฮุ่ยเซี่ยนทำอะไรล้วนเชื่องช้า หากให้ไปชงชาเกรงว่าน้ำชาคงเย็นชืดเสียก่อน”
จากนั้นทั้งสองพลันประชันสายตากัน ไท้หยูคาดมองเห็นประกายสายฟ้าจากดวงตาทั้งสองคู่ ดูท่าจะเป็คู่แค้น....
ไอร้อนลอยกรุ่นอยู่บนป้านน้ำชา ฮุ่ยเซี่ยนถือถาดใส่ป้านน้ำชา ตัวตรงราวกับด้ามพู่กัน ใบหน้าน้อยๆ เชิดขึ้นเดินอย่างสงบสง่า ซวี่ฉีถือถาดใส่ถ้วยน้ำชาหัวคิ้วขมวดมุ่นสีหน้าไม่ดีนัก ที่ปรางแก้มซ้ายยังแดงระเรื่อ
ไท้หยูมองศิษย์ทั้งสองที่เดินเข้ามา ดูท่าทั้งสองคงวิวาทมายกหนึ่งส่วนผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ ไม่ต้องคาดเดาเพียงมองปราดเดียวก็ทราบได้
