หลังจากส่งหลิวจื่ออั๋งที่ใกับความจริงกลับไป
หลัวเลี่ยก็ต้องต้อนรับข่งไท่โต้วอีกครั้ง
ตอนนี้ข่งไท่โต้วที่ได้รับการสอนเป็การส่วนตัวจากข่งเซวียนมาพบหลัวเลี่ยอีกครั้ง เขาเปิดบทสนทนาที่ตรงไปตรงมากับหลัวเลี่ย
ข่งไท่โต้วพูดถึงเื่ภายในของตระกูลข่ง รวมถึงกฎที่เืเย็นเป็พิเศษนั้นด้วย
ในความเป็จริงหลัวเลี่ยก็เตรียมตัวไว้แล้ว
เขาไม่รู้เื่สถานการณ์ภายในของตระกูลข่งมากนัก พูดได้แค่ว่าเขาก็รู้สถานการณ์เพียงผิวเผินทั่วไป
แม้ว่าตระกูลข่งจะเรียกตนเองว่าเป็ตระกูล แต่จริงๆ แล้วคนที่เข้ามาในตระกูลนี้ก็มาจากสกุลอื่นไม่น้อยเลย และเื่นี้ทุกคนบนดินแดนเหยียนหวงก็รู้ ไม่เช่นนั้น หลัวเลี่ยจะกล้าเล่นตลกว่าเขาเป็พี่ใหญ่ของผู้นำตระกูลได้อย่างไร
ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงเริ่มชี้แจงความคิดของเขา
ก่อนอื่น เขาเต็มใจยอมรับกฎเืเย็นของตระกูลข่ง
อย่างที่ทุกคนในดินแดนเหยียนหวงรู้ว่ากฎของตระกูลข่งดูไร้มนุษยธรรม แต่กฎพวกนั้นก็เป็กฎที่ทำให้มีความสามารถในการฝึกฝนพลังได้มากที่สุด ดังนั้นผู้ที่อยู่ในตระกูลข่งได้จึงไม่มีใครที่เป็คนไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง และแม้ว่าคนจากตระกูลข่งจะออกไปที่ใด ก็ถือได้ว่าเป็ผู้มีฝีมือมากกว่าคนจากสำนักอื่น
การมีพลังมากเช่นนี้ถูกควบคุมด้วยกฎเกณฑ์ที่เืเย็น หรือจะพูดให้ถูกก็คือถูกบีบบังคับให้ทำตามนั่นเอง
หลัวเลี่ยก็ตกลงที่จะทำตามกฎเช่นกัน เพราะเขาเองไม่ชอบความรู้สึกที่จะให้ใครมาปกป้องเขาตลอดเวลา การมีคนคอยปกป้องทำให้เขาเสียประสบการณ์หลายอย่าง และหากเขา้าที่จะไปถึงระดับกายทองคำ อย่างแรกที่จะต้องทำคือการออกจากการคุ้มครองของคนอื่น
กล่าวได้ว่าผู้ที่อยู่เหนือระดับกายทองคำทั้งหมดไม่เคยมีใครมีประสบการณ์ที่ได้รับความคุ้มครองจากคนอื่นตลอดเวลา เพราะพวกเขาต้องประสบกับความเสี่ยง ความเป็ความตาย และประสบการณ์อื่นๆ ด้วยตนเองเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจความมหัศจรรย์ของพลังวรยุทธ์ และสามารถบรรลุถึงระดับกายทองคำได้ และสั่งสมประสบการณ์ทั้งหมดเพื่อขึ้นเป็บรรพชนและเทพ
เป้าหมายของหลัวเลี่ยคือเทพ หรืออาจจะถึงขั้นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาไม่อาจปล่อยให้มีอะไรมาขวางทางเขาได้
ประการที่สอง คำขอของเขาคือไม่อนุญาตให้ตระกูลข่งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขา ต่อให้ในสถานการณ์นั้นคู่ต่อสู้ของเขาจะเป็ผู้าุโก็ตาม เว้นแต่เขาจะขอความช่วยเหลือไปเป็การส่วนตัว
คำขอนี้ทำให้ข่งไท่โต้วแปลกใจ
หลัวเลี่ยพูดอย่างใจเย็น “การพึ่งพาตัวเองอย่างแท้จริงคือการลงมือทำทุกสิ่งด้วยตัวเอง”
เช่นตอนนั้นที่เขาพึ่งพาตัวเองโดยเสาะหาเยี่ยนอวิ๋นหวู่ หากเขาไม่เจอนาง และไม่ได้รับการอบรมจากเยี่ยนอวิ๋นหวู่ บางทีเขาก็อาจไม่สามารถต่อกรกับหอการค้าฟ้านเทียนได้
“ที่จริงแล้วเ้าไม่จำเป็ต้องกดดันตัวเองขนาดนี้ก็ได้” ข่งไท่โต้วเข้าใจว่านี่เป็วิธีกดดันและบีบบังคับตัวเองเพื่อให้เติบโตและแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ช่วยไม่ได้” หลัวเลี่ยตบเข้าที่ไหล่ของข่งไท่โต้ว “ใครใช้ให้ข้าได้เป็พี่ใหญ่ของท่านเล่า เช่นนี้ข้าก็ต้องมีความสามารถสิ”
ข่งไท่โต้วอยากจะเอาหัวโขกกำแพง
หลังจากการพูดคุยนี้ ทั้งสองฝ่ายก็มีความเข้าใจตรงกัน
ด้วยความที่มีนิสัยเข้าใจอะไรง่ายๆ เหมือนกัน ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงถือว่าเหมาะสมกับตระกูลข่งอย่างแท้จริง
วันต่อมา หลัวเลี่ยไม่รู้ว่าข่งไท่โต้วพูดอะไรกับคนอื่นไปบ้าง จึงทำให้คนที่ถูกส่งมาจากกองกำลังใหญ่ๆ เ่าั้พากันกลับไปและไม่มากวนหลัวเลี่ยอีก
ดังนั้นหลัวเลี่ยเลยสามารถฝึกฝนได้อย่างสบายใจ
ส่วนคนอื่นจะคิดอย่างไรนั้น หลัวเลี่ยไม่ได้สนใจ
ห้าวันต่อมา ในที่สุดรางวัลของการประลองยุวราชันแห่งสิบแคว้นก็มาถึง
รางวัลก็คือการเข้าสูู่เาลั่วเยวี่ยเพื่อฝึกฝน
ูเาศักดิ์สิทธิ์ในเมือนจินหลานที่สามารถเทียบกับูเาอวิ๋นเยว่ได้ก็คือูเาลั่วเยวี่ย
ความแตกต่างระหว่างูเาทั้งสองแห่งคือ ูเาลั่วเยวี่ยมีไอศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยในการเพิ่มพลังสำหรับการบำเพ็ญวิชายุทธ์ได้อย่างมากอยู่ ดังนั้นูเาลั่วเยวี่ยจึงอยู่ในความดูแลของราชวงศ์จินหลาน และไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าใช้ ยกเว้นในกรณีพิเศษบางประการ
มีคนมากมายที่รู้ว่าูเาลั่วเยวี่ยมีความลึกลับ แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าความพิเศษที่แท้จริงของูเาลั่วเยวี่ยคืออะไร
ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงใช้ความสัมพันธ์ที่เขาเพิ่งสร้างมากับตระกูลข่งให้เกิดประโยชน์ โดยการถามเืู่เาลั่วเยวี่ยนี้กับข่งไท่โต้ว
ข่งไท่โต้วใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็สามารถรวบรวมข้อมูลมาตอบคำถามของเขาได้
ูเาลั่วเยวี่ยมีความเป็มาคือ ในตอนที่บรรพชนโฮ่วอี้ยิงดวงอาทิตย์สำเร็จแล้ว เขาก็ได้นำศิลาที่หนี่ว์วาทิ้งไว้มาอุดท้องฟ้าที่เป็รูจากการยิงธนู และจุดที่ทำการยิงธนูที่ว่านั้นก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ หลังจากที่ทำการอุดท้องฟ้าแล้ว เศษของศิลาบางส่วนก็ได้ร่วงหล่นลงไปที่บริเวณูเาลั่วเยวี่ย ทำให้เกิดเื่ลึกลับขึ้นมากมาย
และสถานที่ที่เศษศิลาตกลงมานั้นก็ได้ถูกผู้คนสำรวจหาของมีค่าไปตั้งนานแล้ว
ดังนั้นตอนนีู้เาลั่วเยวี่ยจึงเหลือเพียงไอพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีความลึกลับเท่านั้น
มันเป็ความลึกลับที่ข่งไท่โต้วไม่สนใจแม้แต่จะหาข้อมูลด้วยซ้ำ
แต่ในทางกลับกัน หลัวเลี่ยคิดว่าเื่นี้แปลกใหม่มาก
ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ตรงทางเข้าของูเาลั่วเยวี่ยถูกปิดไว้ด้วยประตูแสงจันทร์
หลัวเลี่ยเดินเข้าไปภายในูเา
และในเวลาเดียวกันนั้น ผู้คนทั่วทั้งแคว้นจินหลานก็พูดคุยกันเกี่ยวกับการเลือกอาจารย์ของหลัวเลี่ย เหตุการณ์นี้ราวกับเป็หัวข้อในการถกเถียงกันระหว่างที่รอหลัวเลี่ยไปที่เขาลั่วเยวี่ยและสามารถขึ้นสู่ยอดเขาได้
หลัวจากที่หลัวเลี่ยเข้าไปข้างในูเาแล้ว ประตูแสงจันทร์ก็ปิดลง เขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอีกครั้ง
หลัวเลี่ยผู้ผ่านประตูแสงจันทร์เหมือนเข้าสู่แดน์ในตำนาน
สถานที่ที่เขายืนอยู่คือยอดเขา
ูเาลูกนี้ดูเหมือนจะเป็ูเาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่สูงที่สุด มีทะเลหมอกปกคลุมอยู่กลางูเา ทะเลหมอกนี้ปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ นับเป็ภาพที่มีเสน่ห์ภาพหนึ่ง และที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือการที่หลัวเลี่ยสามารถมองผ่านทะเลหมอกหนาทึบไปเห็นูเาและแม่น้ำอันงดงามได้
ตรงหน้าหลัวเลี่ยคือภาพูเาที่เรียงรายสลับซับซ้อนกัน มีแม่น้ำที่ไหลั้แ่ทิศเหนือจดทิศใต้ ทุ่งหญ้าเขียวขจี ป่าไม้หนาทึบ เมืองที่มีผู้คนพลุกพล่าน และมีทะเลกว้างใหญ่สุดสายตา หลัวเลี่ยได้กลิ่นหอมลอยมาจากที่ไกลๆ
“กลิ่นนี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน”
เป็แพนด้าน้อยปั้นที่ออกมาจากแหวนเงินปีศาจ
แพนด้าน้อยตัวนี้มีความขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝนพลังมาก ตราบใดที่หลัวเลี่ยไม่เกิดเื่จวนตัว เ้าแพนด้าน้อยตัวนี้ก็จะเก็บตัวฝึกฝนพลังต่อไปอย่างนั้นเรื่อยๆ
และสำหรับหลัวเลี่ยผู้ทำงานหนักเพื่อสัตว์อสูรของตนนั้น เขาไม่เคยกล้าที่จะผ่อนคลายตัวเองเลย
“คุ้นๆ ไหม?” หลัวเลี่ยเอ่ย “เ้าลองคิดดูดีๆ ว่าเ้าััได้ถึงอะไรบ้าง”
ทุกอย่างที่นี่ดูเหมือนเป็ภาพลวงตา
การเข้ามาในนี้เป็เื่จริง ซึ่งหากหลัวเลี่ยไม่รู้มาก่อนว่าูเาลั่วเยวี่ยนี้มีความลึกลับซ่อนอยู่ เขาก็คงคิดว่าภาพที่เห็นนี้เป็เื่จริงอย่างแน่นอน
แพนด้าน้อยปั้นเริ่มมองไปรอบๆ ตัว ในที่สุดสายตาของมันก็สบเข้ากับดวงอาทิตย์สีแดงฉานที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าในตอนเย็น
หลัวเลี่ยจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นประวัติและต้นกำเนิดของแพนด้าน้อยปั้นผ่านแหวนปีศาจระดับต้นกำเนิด ซึ่งต้นกำเนิดของแพนด้าน้อยก็เกี่ยวข้องกับการแตกสลายของ์ และสิ่งที่แตกสลายนั้นก็ประกอบขึ้นเป็ไข่ใบหนึ่ง และในไข่ใบนั้นก็คือแพนด้าน้อยปั้นนั่นเอง
์?
ดวงอาทิตย์สีแดงฉาน?
บรรพชนโฮ่วอี้ยิงดวงอาทิตย์?
หลัวเลี่ยเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกัน และเริ่มคาดเดาออกมาได้
หลังจากนั้นไม่นาน แพนด้าน้อยปั้นก็พูดขึ้น “ที่แท้ สิ่งที่ข้าััได้ก็คือเืของกาสามขานี่เอง”
หลัวเลี่ยเลิกคิ้วขึ้น “เ้าแน่ใจหรือ”
“ข้าแน่ใจ สิ่งนี้ไม่ผิดแน่ เพราะสายเืของข้าก็มีแก่นสำคัญจากเืของกาทองสามขาผสมอยู่ด้วยเช่นกัน” แพนด้าน้อยปั้นตอบในเชิงบวก
อีกาทองคำสามขาเป็นกศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน
หลัวเลี่ยกล่าวว่า “พูดอีกอย่างก็คือ เืหนึ่งหยดของอีกาทองคำสามขาตกลงมาทีู่เาลั่วเยวี่ย และก่อตัวขึ้นเป็ไอพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกลับ”
แพนด้าน้อยปั้นกล่าวว่า “แก่นแท้ในสายเืของอีกาทองคำสามขานั้นทรงพลังมาก ไม่เช่นนั้นมันคงจะไม่มีทางกำเนิดเป็เคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินได้”
“อะไรนะ!”
หลัวเลี่ยมองไปที่แพนด้าน้อยปั้นอย่างประหลาดใจ “เ้าพูดถึงต้นกำเนิดของเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินหรือ”
“ใช่แล้ว ต้นกำเนิดของเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดิน” แพนด้าน้อยปั้นพูด “ที่แห่งนี้เป็อาณาเขตของแคว้นจินหลาน แต่ไม่มีผู้ใดสนใจมันนัก ใครก็ตามที่มาที่แห่งนี้ล้วนแต่มีทักษะเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินระดับสูงทั้งนั้น ดังนั้นหากเ้าสามารถเข้าใจความลับของที่แห่งนี้ ย่อมต้องทำให้ระดับวิชามหาสรรพฟ้าดินของเ้าสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้