ริมฝั่งแม่น้ำหมู่บ้านวั้งหลิน สถานที่ก่อสร้างของโรงเรียนดำเนินการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
วัสดุการก่อสร้างที่ลำเลียงลากกลับมา เป็อิฐสีฟ้าและกระเบื้องสีดำทั้งหมด
ห้องสองหลังของโรงเรียนสร้างขึ้นข้างเคียงกัน มีปล่องควันที่กระจัดกระจายต่อเติมจากใต้ชั้นอิฐบนพื้น เมื่ออากาศหนาวเย็น สามารถก่อไฟบนแท่นเตาใต้พื้นที่อยู่หลังห้องให้อบอุ่นขึ้นได้
ปล่องพื้นของที่นี่คล้ายกับวิธีการเผาเตียงอิฐ ห้องพักอาศัยของครอบครัวใหญ่โตส่วนใหญ่ล้วนสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นนี้
แน่นอนว่าที่หมู่บ้านวั้งหลิน ครอบครัวหูเป็ครอบครัวแรกที่สร้างปล่องดิน
ปล่องดินนี้ใช้เฉพาะในห้องของโรงเรียนเท่านั้น
ชาวบ้านรู้สึกสงสัยและอธิบายไม่ได้ต่อวิธีการของครอบครัวหู
บ้านใหม่ของตนเองล้วนไม่สร้างปล่องดิน แต่กลับเสียค่าใช้จ่ายต่อเติมปล่องดินในห้องของโรงเรียน ครอบครัวหูโง่ไปเล็กน้อยหรือไม่?
มีบางคนคัดค้านความคิดเห็นนี้ สกุลหูไม่ได้โง่ นั่นล้วนเป็การคิดเพื่อพวกเด็กๆ หน้าหนาวของที่นี่หนาวมาก ห้องเรียนไม่มีปล่องดิน พวกเด็กๆ จะหนาวจนเหมือนก้อนน้ำแข็ง หากมีสิ่งนี้จะได้เล่าเรียนสิ่งต่างๆ ได้อย่างรู้เื่ยังไงล่ะ
จ้าวเหวินเฉียงยืนอยู่หน้ากลุ่มคน ได้ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านที่อยู่ข้างหลัง ในใจทอดถอนราวกับคลื่นั์ซัดสาด
ต่อเติมปล่องดินไม่ใช่เื่ประหยัดเลย ไม่เพียงเสียเวลาแต่ยังค่าก่อสร้างสูงอีกด้วย
สกุลหูจ้างนายช่างที่ต่อเติมปล่องดินในเมืองมาเป็พิเศษ ค่าใช้จ่ายในการจ้างคนมาต่อเติมขึ้น เกรงว่าล้วนสามารถสร้างห้องเรียนได้อีกสองหลังเลยกระมัง
สกุลหูช่างทำใจได้จริงๆ
เดิมทีเจินจูก็ไม่ได้คิดจะสร้างปล่องดินที่ห้องเรียน จนกระทั่งไม่กี่วันก่อน นางสุมหัวหารือกับหลิ่วฉางผิงว่าจะสร้างห้องเรียนให้โปร่ง แต่ความเหน็บหนาวในฤดูหนาวจะไม่เข้ามาภายในห้องได้อย่างไร
หลัวจิ่งที่ฟังอยู่ด้านข้างคร่าวๆ จึงถามแทรกขึ้นมา “ทำไมไม่ต่อเติมปล่องดินล่ะ?”
คำพูดของเขาทำเอาสองคนตื่นตะลึง ปล่องดิน? ไม่ใช่สิ่งที่คนครอบครัวร่ำรวยถึงจะสามารถสร้างขึ้นได้หรือ?
พวกเขาประตูเล็กครอบครัวเล็กก็สามารถต่อเติมได้หรือ?
หลัวจิ่งมองสองคนและพูดไม่ออกอยู่นาน
เจินจูเกาศีรษะ ให้หลิ่วฉางผิงไปสืบถามเื่ที่เกี่ยวข้องให้ละเอียด อย่างเื่จำพวกแรงงานคน ค่าก่อสร้างต่างๆ
รอหลิ่วฉางผิงสืบถามได้ชัดเจน เจินจูก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าจะต่อเติมปล่องดิน
แต่น่าเสียดายที่บ้านใหม่ของตนเองสร้างเสร็จแล้ว ปล่องดินอะไรนี่ ครอบครัวหูเพลิดเพลินกับมันไม่ได้แล้วในตอนนี้
หูฉางกุ้ยมีภูมิต้านทานต่อความคิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของบุตรสาว สำหรับการต่อเติมปล่องดินจึงค่อนข้างเห็นด้วย ่เวลาที่หนาวที่สุดในหน้าหนาว ภายในห้องหากไม่มีเตาหรือกระถางไฟก็ไม่สามารถรองรับให้คนอยู่ได้ แต่เตากับกระถางไฟมากน้อยอย่างไรก็ล้วนมีหมอกควันและกลิ่น จะสบายกว่าปล่องดินได้อย่างไร
แม้ค่าก่อสร้างปล่องดินจะสูงไปหน่อย แต่หูฉางกุ้ยรู้สึกว่าค่อนข้างคุ้มค่า
หลี่ซื่อก็คิดว่าดี รอให้โรงเรียนสร้างเสร็จ ผิงอันกับผิงซุ่นก็เข้าเรียนได้ หน้าหนาวสามารถเรียนอยู่ในห้องที่มีปล่องดิน ทำให้มือและเท้าอบอุ่น ไม่ง่ายต่อการเป็แผลเปื่อยเพราะความเย็น ฝึกคัดตัวหนังสือเขียนบทประพันธ์ก็ไม่ได้รับผลกระทบ
ข้อเสนอของเจินจูได้รับการสนับสนุนจากที่บ้าน ความเร็วในการก่อสร้างย่อมรวดเร็วยิ่งขึ้น
หลิ่วฉางผิงมีกำลังใจในการทำงานอย่างเต็มที่ เด็กชายสองคนของที่บ้านล้วนสามารถเข้าโรงเรียนได้ เขาไม่ขอให้พวกเด็กๆ สามารถปลาทะยานข้ามประตูั [1] ได้ เพียงหวังว่าพวกเขาเข้าเรียนที่โรงเรียนสามปีไปแล้วจะรู้จักตัวหนังสือและตัวอักษร ดีดลูกคิดและบันทึกบัญชีได้สักหน่อย เพื่อมีประโยชน์กับเด็กในวันข้างหน้า เขาก็พึงพอใจมากแล้ว
ริมฝั่งแม่น้ำยุ่งเสียจนบรรยากาศคึกคักร้อนแรง
แต่ยามนี้เจินจูกลับนั่งยองอยู่บนพื้นที่โสมคนบนยอดเขาด้านหลัง
จอบเล็กในมือชูขึ้นโบกไปมา
โสมคนที่ย้ายไปปลูกในมิติช่องว่างงอกงามเติบโตได้ดี ลำต้นสามารถออกดอกมีเกสรได้แล้ว
แต่โสมคนบนยอดเขาเหล่านี้ ลักษณะใบเป็วงรีสีเขียวจางๆ แม้จะเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาเช่นกัน แต่ไม่มีเค้าลางของดอกไม้แตกออกมา
จากการเปรียบเทียบความเร็วการเจริญเติบโตในมิติช่องว่างมีความได้เปรียบกว่ามาก
ในเมื่อสามารถย้ายมาปลูกในมิติช่องว่างได้ เจินจูจึงวางแผนว่าจะย้ายโสมคนมาปลูกแปดต้น ที่เหลือเก็บไว้บนยอดเขาต่อไป โสมคนที่เกิดตามป่าธรรมชาติมีความพิเศษของตัวมันเองอยู่ ส่วนในมิติช่องว่างมีโสมคนเก้าต้น ตอนนี้มีปริมาณเพียงพอแล้ว
เว้นระยะห่างที่จะขุดให้เหมาะสม ค่อยๆ เลียบตามขอบขุดโสมคนขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เสร็จแล้วกลบหลุมดินลงไป
ขุดออกมาแปดต้นรวดเดียว หลังจากนั้นเข้าไปในมิติช่องว่างปลูกลงไปด้วยความระมัดระวังและรดน้ำให้ลำต้นมั่นคง
รีบทำงานเหล่านี้เสร็จ นางจึงผ่อนลมหายใจออกหนึ่งเฮือก
รดน้ำแร่จิติญญาจากมิติช่องว่างลงไปยังโสมคนที่เหลืออยู่ในป่าตามลำดับ ภารกิจของวันนี้ก็นับได้ว่าเสร็จสิ้น
หยัดกายขึ้นและสะบัดแข้งขาเล็กน้อย เสี่ยวเฮยวิ่งออกมาจากด้านข้าง
นางเสียเวลาอยู่บนยอดเขาอยู่นาน มันเลยเดินเล่นไปทั่วทั้งยอดเขาอยู่นานมาก
เสี่ยวฮุยไม่ได้ตามมาด้วย หลังจากเสี่ยวจินปล่อยนางลงก็ไม่รู้ว่าบินไปไหนแล้ว
เสี่ยวเฮยแสดงออกว่าเบื่อหน่าย
เจินจูโค้งตัวลงไปแล้วอุ้มมันขึ้น ลูบขนเรียบลู่ของมันเบาๆ
ลมบนูเาพัดผ่านใบหน้า ชายเสื้อผ้าพลิ้วปลิวไสว พัดจนคนบนยอดเขาดั่งลอยอยู่บนเมฆ
เจินจูอารมณ์ดีมาก คิดถึงผลผลิตที่เต็มเปี่ยมอยู่ในมิติช่องว่าง รวมกับโสมคนที่เพิ่งย้ายเข้าไปปลูก นางมีธัญพืชอยู่ในมือค่อนข้างมากทีเดียว ในใจรู้สึกไม่ตื่นตระหนก จิตใจสงบอย่างยิ่ง
ยืนอยู่บนหินผา ะโเสียงดังไปทางูเาที่ไกลออกไป “เสี่ยวจิน”
เสียงใสชัดเจนสะท้อนก้องระหว่างกลุ่มเขา
ไม่นานหลังจากนั้นเสี่ยวจินก็กางปีกบินออกมาจากด้านหลังูเา
หลังจากเสี่ยวจินคุ้นชินกับการรับน้ำหนักแล้ว แม้ด้านหลังจะมีคนจับไว้ก็สามารถบินได้ราบรื่นอย่างมาก
ร่อนอยู่กลางอากาศไม่กี่ทีก็โผลงพื้นได้อย่างปลอดภัยและไม่โคลงเคลง
ยังห่างจากเวลาอาหารกลางวันอยู่เล็กน้อย เสี่ยวจินจึงเคลื่อนตัวไปเอ้อระเหยที่อื่นต่อ
หูเจินจูที่ในมือมีธัญพืชอยู่เต็มในมิติช่องว่าง ก็วิ่งกลับบ้านแข่งกับเสี่ยวเฮยอย่างะโโลดเต้น
แน่นอนว่าเป็นางที่ตามอยู่ข้างหลังเสี่ยวเฮย โดยที่มันไม่ได้ปรารถนาว่าจะแข่งด้วย
แต่ไหนแต่ไรมาเสี่ยวเฮยไม่เคยเห็นฝีเท้าก้าวเล็กๆ ของนางอยู่ในสายตาเลย
“ยู่เซิง เ้าวางไข่ไก่กลิ้งบนหน้าเสียหน่อย เช่นนี้จะดีได้เร็วขึ้น” เสียงของหลี่ซื่อมีความปวดใจอยู่เล็กน้อย “อาชิงลงมือไม่ยั้งเลยด้วย ดูใบหน้าบวมนี่สิ”
“เป็อะไรหรือ?” เจินจูเดินเข้าห้องโถงก็เห็นมารดาตนเองเอาแต่เดินรอบเด็กหนุ่มด้วยความเป็ห่วงอย่างมาก
“เ้ากลับมาแล้วหรือ”
หลัวจิ่งนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ มือซ้ายถือไข่ไก่กำลังกลิ้งบนรอยฟกช้ำตรงหางตา
“ไอ๊หยา ทำไมถึงได้รับาเ็ได้เล่า? เ้าแลกเปลี่ยนความรู้กับอาชิง ต้องโเี้เพียงนี้เลยหรือ” เจินจูพิจารณาเขาขึ้นลง “บนใบหน้าาเ็สองที่ บนตัวล่ะ?”
“ใช่สิ ยู่เซิง บนตัวเ้าได้รับาเ็หรือไม่? อย่าทนไว้เลย ได้รับาเ็ต้องรีบจัดการ” หลี่ซื่อถามด้วยความกังวล
“ไม่มีขอรับ แค่ผิวภายนอกได้รับาเ็นิดหน่อย บนใบหน้าอาชิงก็ช้ำเช่นกัน” หลัวจิ่งข่มความเจ็บที่มุมปากแล้วกล่าวเน้นย้ำ
เจินจูแอบมองบน เ้าหนุ่มวัยเยาว์คนหนึ่งอายุสิบสามปีแข่งกับเด็กชายคนหนึ่งอายุเก้าปี ต่อให้ชนะแล้วก็ไม่ได้มีเกียรติอะไร
วัยเยาว์ที่อยู่กลางวัยที่สอง [2] ให้ความสนใจน้อยหน่อยเป็ดีที่สุด
หลี่ซื่อแสดงความเป็ห่วงเป็ใยต่อเขาอย่างมาก เจินจูเดินเข้าไปหลังบ้าน
ปีนไม่กี่ยอดเขา ขุดสิบกว่าหลุม ชายกระโปรงกับปลายกระบอกแขนเสื้อเป็จ้ำรอยโคลนเต็มไปหมด
กระโปรงยาวและแขนเสื้อกว้างเป็ความลำบาก รวมกับถนนลูกรังตามเส้นทางูเา ขยับตามอำเภอใจก็เปื้อนดินไปทั้งตัวแล้ว
เมื่อนางเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา ในห้องโถงก็มีเสียงคนแว่วออกมาเป็พักๆ
เสียงของอาชิงมีความสบายอกสบายใจเล็กน้อย “การาเ็นิดหน่อยนี่ไม่นับว่าเป็อะไร คนที่ฝึกการต่อสู้ที่ไหนไม่ได้รับาเ็บ้าง อาจารย์ข้ากล่าวว่า าแเป็การแสดงออกถึงความเป็ลูกผู้ชาย เคยลำบากเคยได้รับาเ็จะยิ่งสะท้อนให้เห็นความองอาจกล้าหาญของลูกผู้ชายได้”
“ไอ๊หยา อาหยุนเ้าจิ้มาแข้าทำไมกัน!”
เจินจูยังไม่ทันได้เข้าห้องโถงก็เห็นอาชิงร้องอย่างน่าเวทนาหนึ่งที และปิดใบหน้าดิ้นไปมา
“พี่อาชิง ท่านถูกอาจารย์ฟางสั่งสอนจนร้องไห้มากี่รอบแล้ว ยังกล้ากล่าวว่าแสดงออกถึงความเป็ลูกผู้ชายอย่างไม่อายอีกหรือ” อาหยุนปิดปากหัวร่อจนตัวงอ “พี่ยู่เซิง พี่อาชิงทั้งกลัวความเจ็บทั้งชอบร้องไห้ขี้มูกโป่งเลยล่ะ ดังนั้นความเร็วในการฝึกการต่อสู้ของเขาเลยช้า นี่เป็อาจารย์ฟางกล่าวนะ”
“นี่ อาหยุน ทำไมเ้าถึงหันข้อศอกไปทางอื่นล่ะ [3] เ้าอายุน้อยเพียงนี้ก็รู้จักตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์ภายนอกแล้วหรือ เห็นเด็กชายรูปงามก็ลำเอียงแล้ว” อาชิงทำเสียงประหลาดและทำหน้าถมึงทึงใส่อาหยุน
“แล้ว... แล้วไม่ใช่หรือ ข้าพูดความจริงนี่” อาหยุนบ่นพึมพำขึ้นอย่างหน้าแดง ชำเลืองมองบนใบหน้าหลัวจิ่งที่มีาแแต่ยังคงสง่างามด้วยความกระวนกระวายแวบหนึ่ง
เจินจูมองเหตุการณ์ อดกุมหน้าผากไม่ได้
อาหยุนมาได้ไม่กี่วัน ติดตามเข้าออกตามอยู่ข้างหลังอาชิง คลุกคลีอยู่ริมฝั่งแม่น้ำวิ่งเล่นได้คุ้นเคย
สำหรับหลัวจิ่ง พอแม่นางน้อยเห็นเป็ครั้งแรกก็กลายเป็เสี่ยวหมีเม่ย [4] ทันที
สีหน้าท่าทางเ็า สายตาเคร่งขรึม นิสัยเฉพาะตัวที่สำรวมกิริยา ไม่ทำให้แม่นางน้อยใจนต้องถอยหลังเลยสักนิด กลับเพิ่มกลิ่นอายให้ดูลึกลับและสูงส่งอย่างมากไปโดยปริยาย
ยิ่งทำให้นางเลื่อมใสและเคลิบเคลิ้มหลงไหลขึ้นไปอีก
เพราะเป็เช่นนี้พอมีเวลาว่างก็จะไปวนเวียนรอบหลัวจิ่ง เอาแต่เรียก “พี่ยู่เซิง” “พี่ยู่เซิง” ไม่หยุด
เด็กสาวตัวน้อยอายุห้าปีอย่าโตก่อนวัยเพียงนั้นได้หรือไม่
เจินจูมองบนอย่างหนัก
“พี่สาวเจินจู ท่านแม่ข้าทำเจียงหมี่เกา [5] อร่อยมากเลยล่ะ พวกนี้ให้ท่านชิมดู” แม่นางน้อยตาแหลมคม พอเหลือบเห็นนางจึงเลิกผ้าลายดอกที่ใช้คลุมตะกร้าเปิดออก หยิบเจียงหมี่เกาสีขาวราวหิมะหนึ่งถาดขึ้นมาจากข้างใน แล้วเอาเข้ามาใกล้ถึงตรงหน้านางอย่างกระตือรือร้น
เจียงหมี่เกาในถาดขาวสะอาดนุ่มและเหนียว สวยงามและดูดี
เจินจูหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้นใส่เข้าในปาก อื้ม นุ่มเหนียวหอมและหวาน รสชาติไม่เลว นางชอบกลิ่นหอมสดชื่นที่เป็เอกลักษณ์ของข้าวเหนียว
อาหยุนเห็นนางทานได้มีความสุข บนใบหน้าจึงอดยิ้มจนหน้าบานไม่ได้
“พี่ยู่เซิง ท่านก็ชิมด้วยสิ เจียงหมี่เกาที่แม่ข้าทำอร่อยมากเลยล่ะ” นางประคองเจียงหมี่เกาเดินเข้าไปใกล้หลัวจิ่ง
หลัวจิ่งชำเลืองมองเจินจูที่ทานจนอิ่มอกอิ่มใจแวบหนึ่ง กล่าวขอบคุณแล้วรับมาหนึ่งชิ้น
เกาเตี่ยนนุ่มๆ เหนียวๆ ชนิดนี้ เมื่อก่อนเขาไม่ชอบเลย ส่วนตอนนี้หรือ เขาทานสองสามคำรู้สึกว่าที่จริงก็ค่อนข้างอร่อยเป็อย่างมาก
“โอ้ อาหยุน เ้าช่างลำเอียง มีของอร่อยกลับไม่ให้ข้าทาน” อาชิงกระโจนโผเข้าไป
“เจียงหมี่เกาของบ้านท่าน ท่านพ่อข้านำไปมอบให้แล้ว นี่เป็ของที่ให้พี่สาวเจินจู ท่านกลับไปก็ได้ทานแล้ว” อาหยุนรีบย้ายเจียงหมี่เกาออกไป อาชิงทานจุมากนางย่อมรู้ดี
“…นำไปมอบให้อาจารย์แล้ว อ่า... เช่นนั้นข้ากลับไปดูหน่อย” ขณะกล่าวก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วปานลมกระโชกแรง
“เอ๋ พี่อาชิง รอข้าด้วย” อาหยุนมอง เหลือเพียงนางคนเดียวจึงรีบถือตะกร้าเปล่าขึ้น “พี่สาวเจินจู พี่ยู่เซิง ข้ากลับก่อนนะ”
ถึงอย่างไรเด็กสาวตัวเล็กก็อายุน้อย ไม่ค่อยสนิทสนมกับสกุลหูสักเท่าไร
ยิ้มเอียงอายแล้ววิ่งตามหลังอาชิงไป
ในห้องจากไปพร้อมกันสองคน บรรยากาศจมสู่สถานการณ์เงียบสงบอย่างแปลกประหลาด
“แค่กๆ”
เจินจูทานเจียงหมี่เกาจนหมด กระแอมไอขึ้น
“เจียงหมี่เกาเช่นนี้ค่อนข้างอร่อยนัก ครั้งหน้าบ้านเราก็ลองทำสักหน่อยแล้วกัน” นางหาคำพูดออกมาเรื่อยเปื่อย เพื่อคลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดเล็กน้อยนี้
“อื้ม เ้าชอบก็ทำ” ในตาของหลัวจิ่งเ็ามาโดยตลอด กลับมีรอยยิ้มขบขันเล็กน้อย รอยฟกช้ำมุมปากกับหางตาล้วนไม่สามารถปิดบังบุคลิกที่ไม่ธรรมดาของเขาได้เลย
ถูกลูกตาดำเหมือนดั่งดวงดาราในยามราตรีจ้องเข้า หัวใจของเจินจูเหมือนกับผิวน้ำที่หยดฝนโปรยปรายลงมา เกิดเป็ระลอกคลื่นบางเบากระจายกว้างขึ้น
จบเห่แล้ว... โทษที่ป้าได้รับมนตร์เสน่ห์ของหนุ่มหล่อเข้าให้แล้ว
เจินจูหน้าเหยเกยิ้มแล้วละสายตาไป คนที่หน้าตาดีล้วนมีความสามารถในการจีบสาวติดตัว ต้องระวังไว้หน่อย
นางใฝ่หาชีวิตการเป็เ้าของที่ดินเล็กๆ สามารถมีเวลาว่างและเป็อิสระได้มาโดยตลอด ส่วนเด็กชายระทมทุกข์ที่เร่ร่อนมาต่างถิ่น แต่ดูมีฐานะสูงส่งไปทั่วทั้งกายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกับลักษณะพื้นฐานชีวิตในอุดมคติของนางเลย
บนใบหน้าของชายหนุ่มค่อนข้างรูปงามและสง่าผ่าเผย เวลาส่วนใหญ่มักเฉยเมยและเงียบสงบ แต่บางครั้งก็เผยความเกลียดชัง ความกดดันที่หนักหน่วง ความเศร้าเสียใจ และอารมณ์เศร้าสร้อยแง่ลบที่หวนคิดถึงเื่ในอดีต
แรงกดดันจากความทุกข์เื้ัที่กดอยู่บนไหล่อ่อนวัยของเขาเ่าั้ เจินจูสงสารเขาแต่ไม่ได้แปลว่า้าเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ในชีวิตของเขา
เฮ้อ! คิดมากมายเช่นนี้ทำไมกัน เรือมาถึงสะพานแล้วย่อมต้องตรงต่อไป [6]
เื่อีกสองสามปีจากนี้ ปัจจัยที่ไม่อาจรู้ได้มีเยอะมากมาย
เชิงอรรถ
[1] ปลาทะยานข้ามประตูั (鱼跃龙门) หมายถึง เจริญก้าวหน้าด้วยความเพียรอุตสาหะเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจ
[2] กลางวัยที่สอง หมายถึง ่ที่เปลี่ยนจากวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่
[3] หันข้อศอกไปทางอื่น (胳膊肘往外拐) หมายถึง เห็นผู้อื่นดีกว่าคนใกล้ชิด
[4] เสี่ยวหมีเม่ย (小迷妹) หมายถึง ติ่ง หรือสาวที่บ้าคลั่งหรือหลงใหลในใครสักคนมากๆ สามารถใช้กับดาราหรือนักร้องก็ได้ หากเป็ผู้ชายจะเรียกว่า หมีตี้ (迷弟)
[5] เจียงหมี่เกา (江米糕) หมายถึง เค้กข้าวเหนียว
[6] เรือมาถึงสะพานแล้วย่อมต้องตรงต่อไป หมายถึง การที่เรือกำลังจะไปถึงใต้สะพาน แต่ยังสงสัยว่าเรือจะผ่านไปได้หรือไม่ ทั้งๆ ที่ใต้สะพานของจีนในสมัยก่อนจะโค้งขึ้นเพื่อให้เรือรอดผ่านไปได้ แต่กลับเกิดความกังวล เมื่อลอดสะพานจริงๆ กลับผ่านได้ฉลุย เป็การอุปมาว่า ไม่ต้องกังวลล่วงหน้า เมื่อปัญหาทุกอย่างมาถึงย่อมมีทางออกเสมอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้