ห้องของอวี๋กงกงนั้นเปิดประตูค้างเอาไว้ มีเสียงลอดออกมาจากด้านใน ดูเหมือนว่าจะมีแขก เมื่อได้ยินเสียงองครักษ์ อวี๋กงกงจึงออกมา อวี๋กงกงมีอายุราวๆ สามสิบกว่า ดูแล้วเคร่งขรึมเฉียบคม เขารู้จักพ่อบ้านจี้ เมื่อเห็นพ่อบ้านจี้จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ลมอะไรพัดพ่อบ้านจี้มาถึงที่นี่ได้เล่า คุณชายใหญ่มาด้วยหรือไม่?” สายตากวาดมองครู่หนึ่ง เขาไม่เห็นเงาของหลี่หง แต่สายตานั้นกวาดมองหลี่ลั่วอย่างประเมินครั้งหนึ่ง เพราะว่าหลี่ลั่วอยู่ภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์อย่างแ่า ดูแล้วยิ่งใหญ่นัก
“คุณชายใหญ่ไม่ได้มาขอรับ ต่อไปที่นาพระราชทานเป็โหวเหฺยของพวกเรารับผิดชอบดูแล ท่านผู้นี้คือโหวเหฺยของพวกเราขอรับ” พ่อบ้านจี้แนะนำ
อวี๋กงกงตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึงเล็กน้อย เด็กน้อยคนนี้เป็ถึงจงหย่งโหว จึงรีบเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “ไอโยว บ่าวมีตาหามีแววไม่ ไม่รู้ว่าโหวเหฺยมาถึงที่นี่ ยังต้องขอให้โหวเหฺยโปรดอภัยด้วย” แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ทว่ากลับไม่ได้คารวะตามธรรมเนียมมารยาท
“ที่นี่มีบ่าวรับใช้ที่มีตาหามีแววไม่จำนวนไม่น้อยเลยจริงๆ” หลี่ลั่วพูดต่อจากคำพูดของเขา
อวี๋กงกงสะอึกเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะ “ครั้งนี้เสี่ยวโหวเหฺยมาด้วยเื่อันใดหรือ?”
“ต่อไปเื่ของที่นาพระราชทานนั้นเปิ่นโหวจะเป็ผู้รับผิดชอบเอง จะไม่รบกวนกรมวังอีกต่อไป เปิ่นโหวมาครั้งนี้มาเพื่อชำระบัญชี” หลี่ลั่วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “อวี๋กงกงจะคุยกับเปิ่นโหวที่นี่ หรือว่า...?”
อวี๋กงกงรีบแสดงท่าทีเชื้อเชิญหลี่ลั่ว “เชิญเสี่ยวโหวเหฺยด้านใน คนด้านในกำลังคิดจะหาจวนโหวอยู่เช่นกัน”
“หืม?” หลี่ลั่วก้าวยาวๆ เข้าไป
ด้านในห้องโถงมีชายหนุ่มนั่งอยู่สามคน แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึมดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่าเื่เมื่อสักครู่ที่คุยกันนั้นไม่ได้เป็เื่น่ายินดีอันใด
“หัวหน้าคนงานทั้งสาม นี่คือจงหย่งโหว งานเมื่อก่อนที่พวกท่านทำนั้นเป็ที่นาของครอบครัวโหวเหฺย พวกท่านมีเื่อันใดสามารถคุยกับโหวเหฺยได้โดยตรง” อวี๋กงกงเอ่ย
หลี่ลั่วยกยิ้มมุมปาก น่าสนใจแฮะ นี่อวี๋กงกงกะจะสั่งสอนเขาหรือ?
หลี่ลั่วตรงเข้าไปนั่งในตำแหน่งประธาน “มีเื่อันใดพูดตามตรงได้มิต้องเกรงใจ”
หัวหน้าคนงานทั้งสามมองหลี่ลั่วผู้ซึ่งเป็เพียงเด็กน้อย เื่นี้จะให้พูดเช่นใดดีเล่า? พวกเขาต่างมองหน้ากันไปมา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายหนึ่งในนั้นจึงตัดสินใจลองพูดออกมา “โหวเหฺยขอรับ เงินค่าแรงจากการทำงานในครึ่งปีแรกยังไม่ได้ให้พวกเรา จะให้เมื่อใดหรือขอรับ?”
เงินค่าแรงครึ่งปีแรกหรือ? “พ่อบ้านจี้ บัญชี”
“ขอรับ” พ่อบ้านจี้รีบหยิบสมุดบัญชีออกมา
หลี่ลั่วรับสมุดบัญชีมาแล้วเอ่ยถามอวี๋กงกง “อวี๋กงกง สมุดบัญชีเล่มนี้เป็ท่านที่ส่งให้กับพี่ชายของข้าใช่หรือไม่?”
อวี๋กงกงก้าวขึ้นมารับไป พลิกดูสักครู่หนึ่ง “เป็บ่าวที่ส่งให้คุณชายใหญ่ขอรับ”
“ถ้าหากข้าไม่ได้เข้าใจผิดแล้วละก็ ที่เขียนอยู่ในสมุดบัญชีนั้นคือเงินสุทธิซึ่งได้จากการปลูกข้าวอยู่ที่สองร้อยตำลึง เงินที่เหลือสุทธิแล้วย่อมหมายถึงเงินที่เหลืออยู่หลังจากหักค่าใช้จ่าย ไฉนพวกเขาจึงบอกว่ายังไม่ได้เงินค่าแรงเล่า?” หลี่ลั่วถาม เงินสองร้อยตำลึงเป็รายได้แค่เสมอตัว ไม่มีกำไร
“เื่เป็เช่นนี้ขอรับโหวเหฺย ครึ่งปีแรกของรายได้สุทธิจากข้าวสารนั้นคือสองร้อยตำลึงจริงๆ แต่เงินที่ได้มาจากการขายข้าวสารครึ่งปีนี้ยังไม่ได้เก็บกลับมาทั้งหมด หากเมื่อใดที่เก็บเงินทั้งหมดกลับมาได้แล้วจึงจะจ่ายเงินค่าแรงให้กับพวกเขา จากนั้นจึงจะถือว่ายังมีเงินเหลือสุทธิสองร้อยตำลึง” อวี๋กงกงตอบ
“เช่นนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นครึ่งปีแรกที่นาพระราชทานนับพันหมู่ มีข้าวสารทั้งหมดสามแสนหกหมื่นชั่ง ทุกๆ หนึ่งร้อยชั่งเป็เงินหนึ่งตำลึง ก็ควรจะเป็เงินสามพันหกร้อยตำลึงถูกต้องหรือไม่?” หลี่ลั่วถาม
อวี๋กงกงประหลาดใจเล็กน้อย แม้ว่าเด็กน้อยจะมีการเตรียมตัวมาก่อน แต่การพูดจาของเขานั้นชัดเจนยิ่งนัก ตัวเลขที่กล่าวออกมาถูกต้องครบถ้วน
“โหวเหฺยพูดถูกต้องแล้วขอรับ การคำนวณตัวเลขของโหวเหฺยยอดเยี่ยมยิ่ง” อวี๋กงกงกล่าวชม
หลี่ลั่วหัวเราะเบาๆ อย่างขัดเขินเล็กน้อย “ฝ่าาส่งคนมาอบรมสั่งสอนเปิ่นโหวั้แ่เยาว์วัย ข้าไม่กล้าทำให้ฝ่าาทรงผิดหวัง”
สีหน้าของอวี๋กงกงนั้นยังมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ ทว่ารอยยิ้มนั้นออกจะไปทางแข็งค้างมากกว่าเสียหน่อย เพราะในใจของเขาเริ่มมีความปั่นป่วนอย่างรุนแรงขึ้นมาแล้ว เด็กน้อยผู้นี้ถูกฝ่าาสั่งสอนั้แ่ยังเยาว์หรือ? อวี๋กงกงเข้าใจความนัยของหลี่ลั่ว “ฝ่าาช่างดีต่อโหวเหฺยยิ่งนัก”
“เฮ้อ...” หลี่ลั่วถอนใจเฮือกหนึ่ง “ท่านก็รู้ดีว่าบิดาของเปิ่นโหวคือหลี่ซวี่ เมื่อสี่ปีก่อนตายเพื่อฝ่าา ดังนั้นฝ่าาจึงดีต่อเปิ่นโหวตลอดมา ก่อนหน้านี้ไม่นานยังพระราชทานสมรสให้กับเปิ่นโหว เ้าลองทายดูสิว่าเป็ผู้ใด?” มีบางครั้งชื่อเสียงของว่าที่สามีนั้นหากไม่นำมาใช้ก็ไร้ประโยชน์
หลี่ลั่วตัดสินใจแอบอ้างบารมีผู้อื่นเพื่อข่มเหงอีกฝ่าย
“เป็คุณหนูผู้สูงศักดิ์จากครอบครัวใดหรือขอรับ?” อวี๋กงกงพบว่าเด็กน้อยคนนี้ไม่ง่ายดายเลยจริงๆ
“เป็ฉีอ๋องน่ะ ฝ่าายกเปิ่นโหวพระราชทานสมรสให้แก่ฉีอ๋อง เ้าว่าข้าเป็โหวเหฺยดี หรือว่าเป็พระชายาฉีอ๋องดีเล่า?” หลี่ลั่วถาม
อวี๋กงกงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ได้แต่ตอบว่า “ฐานะของโหวเหฺยสูงส่งนัก อย่างไรล้วนดีทั้งสิ้น” เด็กน้อยคนนี้เจตนา้าที่จะสั่งสอนตน
เพียงชั่วพริบตาอวี๋กงกงก็รู้สึกว่าศีรษะของตนหนักเป็สองเท่า หัวใจเต้นโครมคราม เหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก
หลี่ลั่วมองทุกๆ สีหน้าและปฏิกิริยาของเขาเอาไว้ในสายตา “อวี๋กงกง เช่นนั้นเงินจำนวนสามพันหกร้อยตำลึง พวกเราได้เงินกลับมาเท่าใด แล้วยังขาดอีกเท่าใดหรือ? เงินค่าแรงของชาวบ้านและค่าวัตถุดิบประมาณสามพันสี่ร้อยตำลึง ยามนี้พวกเราจ่ายไปแล้วเท่าใด ยังขาดอีกเท่าใด?”
หัวข้อสนทนาที่ถูกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว อวี๋กงกงถึงกับตั้งตัวไม่ติดไปชั่วขณะ
“อวี๋กงกง?” เมื่อเห็นว่าอวี๋กงกงไม่ได้ตอบอันใด หลี่ลั่วจึงเรียกเขาอีกครั้ง
“หา?” อวี๋กงกงพลันรู้สึกตัว “โหวเหฺยขอรับ บ่าวรู้สึกปวดท้องเล็กน้อย ให้บ่าวออกไปปลดทุกข์สักครู่จะได้หรือไม่ขอรับ?”
“ไปเถิด เ้าเหมือนไห่กงกงอย่างยิ่ง เขาก็เป็เช่นนี้ คุยกับข้าได้ครึ่งๆ กลางๆ ก็มักจะปวดท้อง” หลี่ลั่วพูดช้าๆ ราวกับไม่ได้ตั้งใจ
อวี๋กงกงหัวใจหดรัดอยู่ครู่หนึ่ง “บ่าวจะไปเทียบกับไห่กงกงได้อย่างไรกันขอรับ มิกล้า มิกล้า” จากนั้นอวี๋กงกงก็รีบออกไปราวกับจะหนีเอาชีวิตรอดอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากออกมาจากห้องของตนเอง อวี๋กงกงก็ไปหาขันทีปอ
“เ้าพูดอันใดนะ?” ขันทีปอวางถ้วยชาลงดังกึก “เด็กน้อยผู้นั้นได้หมั้นหมายกับฉีอ๋องแล้วอย่างนั้นหรือ?” เขานึกออกแล้ว ในเมืองกำลังพูดคุยกันว่าฉีอ๋องได้หมั้นหมายกับเด็กชายน้อยคนหนึ่ง แต่ทว่าเป็ผู้ใดนั้น เขาคิดว่ากับคนเหล่านี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับตน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ฟังผ่านๆ ไป ไฉนเลยจะรู้ได้เล่าว่าพระชายาฉีอ๋องคือเสี่ยวโหวเหฺยผู้นั้น
“ดูเหมือนว่าเขาและฝ่าากับหัวหน้าขันทีไห่จะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน” อวี๋กงกงพูดอีก
“ไร้สาระ ว่าที่พระชายาฉีอ๋อง ฝ่าาย่อมต้องรักและเอ็นดูอย่างลำเอียงอยู่แล้ว” ขันทีปอหน้าดำทะมึน
อวี๋กงกงทำท่าคอหด ยามนี้เจอของแข็งเข้าแล้ว แต่เื่นี้เกี่ยวข้องอันใดกับเขากันเล่า? แม้เขาจะได้ผลประโยชน์ แต่ก็เป็สินน้ำใจเพียงเล็กน้อย ไม่มีทางเทียบกับขันทีปอได้ ข้าวจำนวนห้าร้อยชั่งที่รายงานไปเพียงสามร้อยห้าสิบชั่งนั้นก็ไม่ใช่ความคิดของเขา เงินที่เก็บมาแล้วแจ้งว่าไม่ได้เก็บกลับมาก็ไม่ใช่ความคิดของเขาอีกเช่นกัน ยามนี้ดียิ่ง เื่มาถึงขั้นที่ว่าที่พระชายาฉีอ๋องก็มาชักสีหน้าให้ตนดูแล้ว จะเป็ปัญหาของเขาได้หรือไร?
“วันนี้ชำระสมุดบัญชีให้เรียบร้อย เงินที่เอาไปแล้วเมื่อกาลก่อนก็ช่างมันเถิด หากว่ายามนี้เอาเงินออกมาเขาจะจับจุดอ่อนของเราได้ ยิ่งไม่มีทางที่จะปล่อยพวกเราไป เงินค่าแรงล้วนชำระให้หมด ให้บอกไปว่าเงินอยู่ที่ข้า หลายวันมานี้ข้ายุ่งเสียจนลืมบอกกล่าวกับเ้า” ขันทีปอครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “รีบส่งพระองค์นี้ออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด”
“ขอรับ”
“ทำตัวดีสักหน่อย เชื้อพระวงศ์ทั้งเมืองหลวง ฉีอ๋องนั้นเป็หนึ่งไม่มีสอง สูงศักดิ์กว่าบรรดาพระโอรสทั้งหลายเสียอีก” จ้าวหนิงฮ่องเต้เคารพนับถือไท่จื่อเยี่ยนผู้เป็พี่ชาย ปฏิบัติต่อหลานชายดีกว่าบุตรชายของตน นี่เป็เื่ที่คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้ดี
“ขอรับ”
ใน่ที่อวี๋กงกงออกไปครู่หนึ่งนั้น หลี่ลั่วได้ถามข่าวคราวจากหัวหน้าคนงานทั้งสามคนและได้ความมาค่อนข้างชัดเจนแล้ว ข้าวสารหนึ่งร้อยชั่งขายราคาส่งหนึ่งตำลึง ผู้ค้าข้าวนำไปขายหนึ่งร้อยชั่งสองตำลึง เท่ากับกำไรครึ่งหนึ่ง ช่างหาเงินได้ง่ายดายยิ่งนัก ทว่าราคาข้าวสารของทั้งแคว้นนั้นราคาไม่ต่างกันมาก เพราะราคาข้าวสารนั้นมีบรรทัดฐานชัดเจน
หลี่ลั่วเกิดความคิดขึ้นในใจ ข้าวสารราคาถูกเช่นนี้ เขาไม่อยากจะขาย แต่เขามีความคิดเป็ของตนเอง เงินที่เขาได้มาจากกู้จวิ้นเฉินยังเหลืออีกหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง เงินแปดพันตำลึงที่ฝ่าาให้มายังเหลืออยู่อีกสี่พันตำลึง ไข่มุกหีบที่หลี่ซวี่เหลือไว้หนึ่งหีบนั้นยังนำไปจัดการไม่แล้วเสร็จ เงินที่อยู่ในมือตอนนี้ จะนำไปทำให้เพิ่มพูนได้อย่างไร?
จะเพิ่มพูนเงินอย่างไรนั้นไม่สำคัญ จะทำเื่ใดบ้างเพื่อผลประโยชน์ของตนเองจึงจะสำคัญที่สุด
เมื่ออวี๋กงกงกลับมานั้นก็ได้หิ้วเงินเข้ามาด้วยถุงหนึ่ง “ให้โหวเหฺยรอนานแล้วขอรับ เมื่อบ่าวกลับมาจากห้องสุขานั้นเผอิญพบกับหัวหน้าขันทีปอ หัวหน้าขันทีปอแจ้งว่าผู้ค้าข้าวได้นำเงินมาให้แล้วขอรับ เป็พวกเขาที่หลายวันก่อนหน้านี้งานยุ่งจนลืมเื่นี้ไป”
โอ้? บังเอิญเช่นนี้เลยหรือ? ไปหลอกผีเถอะ
“เช่นนั้นหรือ? ช่างบังเอิญเสียจริง” หลี่ลั่วยิ้มอย่างรู้ทัน “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็จ่ายเงินให้กับหัวหน้าคนงานก่อนเถิด”
อวี๋กงกงจ่ายเงินค่าแรงให้กับหัวหน้าคนงานต่อหน้าหลี่ลั่ว แล้วจึงนำเงินสองร้อยตำลึงที่เหลือมอบให้กับหลี่ลั่ว
ในเมื่อเป็เช่นนี้ เงินของเดือนห้าก็ได้ชำระหมดแล้ว ที่เหลือจึงเป็รายได้จากการเก็บเกี่ยวข้าวในเดือนเก้า “ข้าได้ยินว่าตามกฎเกณฑ์แล้ว เงินค่าแรงของข้าวในฤดูใบไม้ร่วงล้วนมาคิดหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวในเดือนเก้าใช่หรือไม่?”
“ขอรับ กฎเกณฑ์ที่นี่เป็เช่นนี้” อวี๋กงกงกล่าว
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ชาวบ้านไม่กลัวว่านายจ้างจะไม่ยอมจ่ายหรือไร?” หลี่ลั่วถาม
อวี๋กงกงถูกถามเช่นนี้ก็ไม่รู้จะตอบเช่นใดดี คิดในใจว่า ‘ต่อให้ไม่ยอมจ่ายก็ทำได้แค่ยอมรับว่าเป็คราวซวยของตนเองแล้ว ชาวบ้านกำเนิดต้อยต่ำ จะไปเปรียบเทียบกับนายจ้างที่มีทั้งเงินทั้งอำนาจได้อย่างไร?’ แต่คำพูดเหล่านี้เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ลั่วอวี๋กงกงไม่สะดวกที่จะตอบ จึงได้แต่เอ่ยว่า “ไม่เป็เช่นนั้นขอรับ การทำงานร่วมกันของผู้คนที่นี่ทำกันมาเนิ่นนาน ต่างฝ่ายต่างเชื่อใจกัน”
หลี่ลั่วพยักหน้า “บัญชีของข้าวในฤดูใบไม้ร่วง ที่ข้านั้นไม่มี ฤดูใบไม้ร่วงนี้ข้าจะเข้ามารับ่เอง อวี๋กงกงก็นำสมุดบัญชีของข้าวในฤดูใบไม้ร่วงมาให้ข้าเถิด”
อวี๋กงกงตกตะลึง “ข้าวฤดูใบไม้ร่วงนับพันหมู่ ท่านจะทำทันหรือไม่ขอรับ? งานที่นี่ยุ่งมาก จะเหนื่อยเกินไปนะขอรับ”
หลี่ลั่วพูดอย่างไม่แยแสว่า “เช่นนี้มีอันใดเล่า ในจวนของข้ามีองครักษ์ยี่สิบคน ข้ารับใช้นับร้อยคน จวนฉีอ๋องยังมีทหารของจวน องครักษ์ ข้ารับใช้ เมื่อวานข้ายังได้คุยกับไห่กงกงเอาไว้แล้ว หากคนไม่พอสามารถไปขอแรงจากกรมวังได้”
อวี๋กงกงอยากด่าคน มีคนบ้าจี้เช่นนี้อยู่ด้วยหรือไร “โหวเหฺยท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เช่นนี้สามารถประหยัดเงินค่าแรงคนงานในมือได้”
“แน่นอน เงินค่าแรงเหล่านี้ให้ครอบครัวผู้ยากไร้ซื้ออาหารกินได้” หลี่ลั่วคิดว่าคำพูดของอวี๋กงกงนั้นดียิ่งนัก “มัธยัสถ์คือความดีงาม ต้องเรียนรู้เอาไว้บ้าง”
เรียนรู้กับมารดาท่านน่ะสิ
“เช่นนั้นเงินค่าแรงของข้าวในฤดูใบไม้ร่วง ท่านคิดว่าจะจ่ายเมื่อใดขอรับ” อวี๋กงกงถาม หากเงินค่าแรงยังคงจ่ายจากพวกเขาแล้วละก็ ยังพอหาเงินได้อีกเล็กน้อย เงินห้าตำลึงแจ้งเป็หกตำลึง เงินชนิดนี้หาได้ง่ายยิ่งนัก แต่ถ้าหากหลี่ลั่วจะเป็คนจ่ายเงินค่าแรงเอง เกรงว่าคงจะไม่ได้
“เ้ารวบรวมรายชื่อของคนงานที่ยังไม่ได้จ่ายเงินค่าแรงออกมาเสีย ข้าจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอีกหลายวัน จะชำระให้เสร็จสิ้นเสียก่อน” หลี่ลั่วกล่าว
“ขอรับ ข้าจะไปรวบรวมมาเดี๋ยวนี้ ที่นาพันหมู่มีหัวหน้าคนงานทั้งหมดสิบคน นอกจากหัวหน้าคนงานสามคนนี้แล้ว ยังมีอีกเจ็ดคน ล้วนเป็คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงละแวกนี้ คาดว่าสองวันก็เพียงพอแล้วขอรับ” อวี๋กงกงกล่าว พระองค์นี้ต้องรีบส่งออกไปให้เร็วที่สุด
“หากต้องใช้เวลาสองวัน วันมะรืนข้าจะมาอีกครั้ง ตอนบ่ายข้ากลับจวนโหว” หลี่ลั่วกล่าว
“โหวเหฺยค่อยๆ เดินนะขอรับ” รีบไปเสียๆ
หลี่ลั่วออกมาจากคฤหาสน์ เอ่ยกับหลี่ฉางเฉิงว่า “ทิ้งองครักษ์ไว้หกคน แบ่งกลุ่มละสองคนเฝ้าที่นี่เอาไว้ ให้พวกเขาคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองเป็สำคัญ”
“ขอรับ”
หลังจากหลี่ฉางเฉิงได้สั่งการองครักษ์แล้ว คณะของหลี่ลั่วจึงเดินทางกลับไป เมื่อยามที่กลับไปถึงจวนโหวก็เป็เวลาสี่โมงเย็นแล้ว หลี่ลั่วไปเรือนหยวนเซ่อเป็อันดับแรกและพูดกับพ่อบ้านจี้ว่า “ไปเชิญคุณชายใหญ่มาที่เรือนหยวนเซ่อ”
หลี่ลั่วกลับมาเร็วเช่นนี้ทำให้หลี่หยางซื่อประหลาดใจเล็กน้อย ที่จริงแล้วเมื่อเช้าที่หลี่ลั่วออกเดินทางไปนั้นนางกังวลใจมาตลอด กระทั่งหลี่หงยังจัดการปัญหาที่นาพระราชทานไม่ได้ แม้หลี่ลั่วจะมีความกล้าหาญอยู่บ้าง แต่เด็กน้อยอายุห้าขวบจะจัดการได้อย่างไร? ดังนั้นนางจึงรู้สึกวางใจไม่ลงตลอดเวลา ยามนี้เห็นหลี่ลั่วกลับมาแล้ว นางจึงรีบลุกขึ้น “ลั่วเกอเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ? เป็เช่นใดบ้าง? พวกเขาทำให้เ้าลำบากใจหรือไม่...หยางหมัวมัว เตรียมน้ำแกงหวาน[1]ให้เสี่ยวโหวเหฺยซิ”
“มารดาไม่ต้องกังวลใจไป ทุกอย่างล้วนราบรื่นดีขอรับ” หลี่ลั่วนั่งลง ดื่มถั่วเขียวต้มหนึ่งถ้วย รสชาติจืดๆ ไม่หวานมาก แต่ทว่าหวานกำลังดี
หลี่หงมาอย่างรวดเร็ว เขายินดียิ่งเมื่อเห็นหลี่ลั่ว “น้องหก เ้าไม่เป็อันใดใช่หรือไม่? คนของกรมวังได้ทำให้เ้าลำบากใจหรือไม่?”
หลี่หยางซื่อหัวเราะเบาๆ “น้องหกของเ้าเป็โหวเหฺย อีกทั้งยังเป็ว่าที่พระชายาของฉีอ๋อง พวกเขามีหรือจะกล้าทำให้ลำบากใจ?” แม้ว่าเมื่อนาทีก่อนนางเองจะเป็ฝ่ายกังวลใจอยู่ก็ตาม
“ท่านแม่พูดถูกต้องแล้ว” หลี่ลั่วหยิบสมุดบัญชีและเงินออกมา “นี่เป็เงินที่เหลือจากเดือนห้าสองร้อยตำลึง บัญชีทั้งหมดชำระหมดสิ้นถึงเดือนห้าแล้ว”
หลี่หงคาดไม่ถึง “เงินสองร้อยตำลึงได้มาแล้วหรือ? ตลอดมาเงินที่เหลือนี้ต้องรั้งรอถึงหนึ่งปีจึงจะได้มา ที่นาหนึ่งพันหมู่หากปล่อยเช่าออกไป ปีหนึ่งจะมีหนึ่งพันตำลึง ข้าวจากฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิสองครั้งรวมกันยังไม่มีเงินหนึ่งพันตำลึงเลย กรมวังช่างเป็สถานที่ที่กลืนกินผู้คนเสียจริง”
“เงียบเสีย คำพูดเหล่านี้เ้าพูดให้ผู้ใดฟัง? ระวังหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง” หลี่หยางซื่อพูดอย่างเข้มงวด “เ้าพูดจาช่างไม่ระวังเอาเสียเลย น้องหกของเ้าแม้จะอายุน้อยกว่าเ้า แต่จัดการเื่ราวกลับหนักแน่นกว่าเ้า หัดเรียนรู้จากน้องหกของเ้าเสียบ้าง”
หลี่หงหัวเราะอย่างทำตัวไม่ใคร่ถูก “ไฉนจะไม่ใช่เล่า แต่ท่านแม่เหลือหน้าให้ข้าบ้างเถิด” มีมารดาแท้ๆ ที่ไหนฉีกหน้าลูกตัวเองบ้าง หลี่หงถอนใจ “เช่นนั้นตามที่น้องหกกล่าวมา ข้าวในฤดูใบไม้ร่วงพวกเราสามารถทำบัญชีเองได้แล้วใช่หรือไม่?”
“ขอรับ” หลี่ลั่วรับคำ แต่ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ
หลี่หยางซื่อครุ่นคิด รอให้หลี่ลั่วกล่าวต่อ แต่ทว่าหลี่ลั่วไม่ได้เอ่ยอันใดอีก นางจึงไม่รู้ว่าหลี่ลั่วกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เดิมนางคิดว่าที่ดินพระราชทานได้ให้หลี่ลั่วไปแล้ว เช่นนั้นทั้งหมดจึงล้วนยกให้หลี่ลั่วเป็ผู้ตัดสินใจ แต่หากกล่าวเช่นนี้ออกไปดูเหมือนจะแบ่งแยกชัดเจนเกินไป นางรู้ว่าต่อไปมีเพียงพวกเขาที่ต้องพึ่งพาหลี่ลั่ว หลี่ลั่วไม่อาจพึ่งพาพวกเขาได้
“เ้ามีความคิดจะทำอันใดแล้วหรือไม่?” หลี่หยางซื่อถามอย่างระมัดระวัง
หลี่ลั่วรู้สึกตัว พยักหน้าหงึกๆ “มีขอรับ ที่นาหนึ่งพันหมู่ สามารถปลูกข้าวได้ราวๆ ห้าแสนชั่ง หากขายในราคาส่งได้เงินเพียงห้าพันตำลึง ดังนั้นข้าวสารห้าแสนชั่งนี้ข้าจึงตั้งใจจะนำมาบริจาคทาน”
“บริจาคทานรึ?” หลี่หยางซื่อตกตะลึง นำข้าวสารห้าแสนชั่งมาบริจาคทาน เป็ตัวเลขจำนวนมหาศาล นี่เป็ความกล้าหาญและสติปัญญาระดับใด จึงจะสามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้? “เ้าคิดว่าจะบริจาคทานอย่างไร?”
“ข้าคิดว่าจะเปิดร้านค้าแห่งหนึ่งสำหรับการบริจาคทาน เพื่อเป็สถานที่สำหรับบริจาคทานโดยเฉพาะ ที่นาพระราชทานเป็ที่ดินที่ฝ่าาทรงพระราชทาน แต่ทว่าเกียรติยศนี้เป็ท่านพ่อที่ใช้ชีวิตแลกมา ข้าวสารปีละสองครั้ง คิดเสียว่าเป็การสวดมนต์ภาวนาให้กับท่านพ่อ เพื่อสร้างบุญกุศลให้กับลูกหลานของจวนโหว” หลี่ลั่วครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่งแล้วจึงเอ่ยสืบไปว่า “แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่เพียงความดีความชอบมากเกินไปจึงทำให้เกิดความหวาดระแวง ไม่มีการทำบุญกุศลมากเกินไปแล้วทำให้ต้องมีอันตราย ใช้ที่นาพระราชทานที่ฝ่าาทรงพระราชทานนี้คืนกลับให้กับประชาชน ข้าคิดว่าฝ่าาก็คงยินดี ต่อไป...ร้านค้าแห่งนี้ให้ลูกๆ หลานๆ ของพี่ใหญ่มารับ่ต่อ หวังว่าพวกเขาจะสามารถสร้างบุญกุศลสืบไปเพื่อลูกหลานของจวนโหว”
หลี่หยางซื่อถูกทำให้ตกตะลึง ผ่านไปสักครู่นางจึงค่อยๆ รู้สึกตัว พวกเขาคิดถึงเงินเพียงจำนวนเล็กน้อย แต่คนผู้นี้กลับคิดถึงต่อไปภายภาคหน้า นี่เป็เด็กน้อยอายุห้าขวบจริงๆ หรือ? “เช่นนี้สามารถใช้ร้านค้าของข้าได้” นางพบว่าตนเองตื่นเต้นเล็กน้อย ร้านค้าของนางต่อไปย่อมเหลือให้หลานชายหลานสาว นำมาใช้ทำเป็สถานที่บริจาคทานย่อมดีที่สุดแล้ว “มารดาไม่มีพร์ในการทำการค้า ร้านค้าหากำไรได้ไม่เท่าไรนัก สามารถให้เ้านำไปใช้ได้”
หลี่ลั่วประหลาดใจเล็กน้อย ตลอดมาเขาคิดว่าหลี่หยางซื่อเป็คนจิตใจล้ำลึก เื่ของผลประโยชน์นางมักจะแบ่งอย่างชัดเจน ในความเป็จริงแล้ว หลี่หยางซื่อเป็คนที่คิดแบ่งผลประโยชน์อย่างชัดเจน แต่การกระทำของหลี่ลั่วนั้นทำพื่อผลประโยชน์ของจวนโหว หากมีผลประโยชน์ต่อจวนโหวย่อมมีผลประโยชน์ต่อนางด้วยเช่นกัน ดังนั้นนางยังคิดไปอีกยาวไกล “ในมือของข้ามีร้านค้าอยู่สามแห่งด้วยกัน หนึ่งในนั้นเป็สินเ้าสาวเดิมของข้า ส่วนอีกสองห้องนั้นใช้เงินกองกลางของจวนโหวซื้อเอาไว้ ร้านค้าของกองกลางล้วนเป็ของจวนโหว นำมาใช้เป็สถานที่บริจาคทานย่อมดียิ่ง ร้านค้าที่เป็สินเ้าสาวเดิมของข้า ต่อไปยกให้หลินเจี่ยเอ๋อร์เป็สินเ้าสาว”
“ล้วนฟังมารดาจัดการขอรับ” หลี่ลั่วไม่มีความเห็น “ร้านค้าสองห้องใหญ่หรือไม่ขอรับ?”
“ร้านค้าสองห้องอยู่ติดกัน มีสองประตู เ้าสามารถไปชมดูได้” หลี่หยางซื่อกล่าว ที่จริงแล้วร้านค้าสองห้องนี้ใช้เงินในคลังส่วนตัวของนางซื้อขึ้นมา แต่ในเมื่อเอาออกมาแล้วไม่สู้บอกว่าเป็ร้านค้าของจวนโหวจะดีกว่า จากนั้นค่อยนำเงินจากกองกลางมาคืนเงินในคลังส่วนตัวของนาง
“ได้ขอรับ” หลี่ลั่วไม่มีความเห็น “ยังมีอีกเื่หนึ่งขอรับ เริ่มั้แ่ข้าวในฤดูใบไม้ร่วงข้าจะเป็ผู้รับ่ต่อดูแลรับผิดชอบที่นาพระราชทาน สมุดบัญชีต่างๆ ล้วนเป็ข้าดูแล แต่...เื่ร้านค้าบริจาคทานนั้น ข้าคิดว่าจะยกให้พี่ใหญ่เป็ผู้ดูแล”
หลี่หงมีงานทำแล้ว เขารู้สึกยินดีมาก แต่ก็รู้สึกทรมานยิ่งนัก เขาเป็ปัญญาชนชอบเรียนหนังสือคนหนึ่ง ไม่ว่าอะไรก็ทำไม่ได้ สถานการณ์ในบ้านเช่นนี้กลับต้องให้เด็กน้อยอายุห้าขวบมาเป็หัวหน้าครอบครัว ตนเองช่างไม่เอาไหนเอาเสียเลย
“เ้าวางใจเถิด พี่ใหญ่จะดูแลให้เป็อย่างดีอย่างแน่นอน”
“แต่ว่าคำพูดพูดเช่นนี้ เงินค่าแรงของการปลูกข้าว เงินค่าแรงของร้านค้า...เงินจำนวนนี้หากออกจากกองกลางแล้วเป็จำนวนไม่น้อยเลย” หลี่หยางซื่อกล่าว “ยามนี้รายได้เพียงอย่างเดียวคือค่าเช่าจากที่นาหนึ่งพันสองร้อยหมู่ รายได้ปีหนึ่งหนึ่งพันตำลึง เงินจำนวนเท่านี้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในจวนโหวเท่านั้น”
พูดแล้วช่างน่าละอายใจนัก จวนโหวหน้าตาใหญ่โต ทว่าจริงๆ แล้วนั้นน่าเวทนายิ่ง
“ไม่เป็ไรขอรับ เงินค่าแรงให้คิดออกจากรายได้จากการขายข้าวสาร ข้าวสารห้าแสนชั่ง ขายออกไปเล็กน้อย เพียงพอจ่ายเงินค่าแรงแล้ว”
หลังจากที่ทั้งสามคนปรึกษาหารือกันแล้ว หลี่ลั่วก็กลับเรือนโฉวงจี๋
“โหวเหฺย ท่านกลับมาแล้ว” ซินเป่ารีบวิ่งขึ้นมาข้างหน้า “ฉีอ๋องส่งจดหมายให้ท่านฉบับหนึ่งขอรับ”
โอ้? หลี่ลั่วรับจดหมายมาฉีกออกอ่านดู ปรากฏว่าเป็คำพูดเพียงประโยคเดียว ‘ม๊วบบบ คือความหมายอันใด?’
หลี่ลั่วอ่านจบแล้วก็หัวเราะจนงอหงาย คิดถึงใบหน้าและสายตาที่เ็าของกู้จวิ้นเฉินในยามที่ถามว่า ‘ม๊วบบบ หมายความว่าอย่างไร’ ขึ้นมา หลี่ลั่วรู้สึกว่าสนุกยิ่งนัก “ข้าจะเขียนจดหมายสักฉบับให้เ้าไปส่งอีกครั้งหนึ่ง”
ณ จวนฉีอ๋อง
เมื่อยามที่ซินเป่านำจดหมายมาส่งให้นั้น กู้จวิ้นเฉินกำลังเตรียมตัวทานอาหารค่ำ พอได้ยินว่าจวนจงหย่งโหวส่งจดหมายมา ฉีอ๋องจึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ให้เขามาห้องหนังสือ” พูดแล้ว ตนเองก็เป็ฝ่ายไปห้องหนังสือก่อน ก้าวย่างนั้น...ออกจะดูรวดเร็วอยู่บ้าง
กู้จวิ้นเฉินเปิดผนึกจดหมายที่หลี่ลั่วเขียน ‘ม๊วบบบ คือความหมายหนึ่งของจุมพิตขอรับ’
ตาของกู้จวิ้นเฉินมองดูจดหมาย แต่ในใจนั้นแตกซ่านสิ้นดี เขารู้สึกว่าริมฝีปากแห้งผากจนแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก เขารู้สึกว่าลำคอแห้งผากเสียจนอยากจะดื่มน้ำ แต่ทว่าภายในห้องหนังสือไม่มีน้ำชา เ้าสารเลวตัวน้อยนั่นก่อนที่จะหมั้นหมายกับเขาก็เคยจุมพิตเขาแล้ว ช่างเถิด...เคยคร่อมขึ้นมาจุมพิตตนเพียงครั้งเดียว ทั้งยังเป็จุมพิตที่ริมฝีปาก ยามนี้หมั้นหมายแล้ว ยิ่งมายิ่งลวนลามเขา ชักจะเอาใหญ่แล้ว
กู้จวิ้นเฉินลูบไล้ริมฝีปากของตน เ้าสารเลวตัวน้อยนั่นมาลวนลามเขาเช่นนี้ดีแล้วหรือ แต่เขาและเ้าสารเลวตัวน้อยนั่นต่างเป็ว่าที่สามีภรรยา จะลวนลามนิดหน่อย ก็ไม่เห็นเป็อันใด
หากทั้งสองคนต่างปฏิบัติตนต่อกันเหมือนเป็แขก คงต้องมีชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างจืดชืด
กู้จวิ้นเฉินครุ่นคิดอยู่นานเนิ่น ในที่สุดก็ตอบจดหมาย
เมื่อยามที่ซินเป่านำจดหมายกลับไปในมือยังหิ้วของสิ่งอื่นกลับไปด้วย ล้วนเป็ของว่างที่หลี่ลั่วชอบกินทั้งสิ้น พ่อครัวของจวนฉีอ๋องนั้นมาจากห้องเครื่อง เป็พ่อครัวหลวงหนึ่งเดียวในเมืองหลวง เป็พ่อครัวที่หากหลี่ลั่วอยากจะจ้างมานั้นก็ยังหาไม่ได้ ที่จริงแล้วหากว่ากันตามความคิดของกู้จวิ้นเฉิน อยากจะนำพ่อครัวนั้นห่อใส่กล่องแล้วส่งไปให้ที่จวนจงหย่งโหวเสียเลย แต่ติดที่พ่อครัวนี้เป็พ่อครัวที่ฝ่าาพระราชทานให้กับเขา
หลี่ลั่วขยับจมูก “หอมยิ่งนัก นำอะไรมาด้วยน่ะ?”
“มีทั้งของว่างและกับข้าวขอรับ ล้วนเป็ของโปรดของท่าน” ซินเป่าวางสิ่งของเ่าั้ลง จากนั้นจึงหยิบจดหมายออกมา “นี่เป็จดหมายของฉีอ๋องที่ส่งให้ท่านขอรับ”
หลี่ลั่วไม่รีบร้อนอ่านจดหมาย เวลากินข้าวเขาไม่ชอบให้บ่าวรับใช้มาคีบกับข้าวให้เขา เขาตัวเล็ก กระเพาะไม่ใหญ่ กินของว่างเ่าั้เพียงเล็กน้อยแล้วจึงให้ซินเป่านำไปให้ทุกคน จากนั้นไปอ่านจดหมายในห้องหนังสือ
กู้จวิ้นเฉินตอบจดหมายมาว่า ‘เปิ่นหวางอนุญาตให้เ้าม๊วบบบ’
ฮ่าๆๆ...หลี่ลั่วพิงพนักเก้าอี้ มองจดหมายฉบับนี้แล้วหัวเราะ นิสัยของฉีอ๋องน่าสนใจนัก ดูแล้วเหมือนจะเ็านักหนา แต่จริงๆ แล้วอ่อนโยนยิ่งนัก
กู้จวิ้นเฉิน...
หลี่ลั่วหลับตาลงพักผ่อน แต่ทว่าสมองของเขากลับวุ่นวายไปหมด นึกถึงสิ่งละอันพันละน้อยที่ตนนั้นข้ามมิติเวลามาถึงยุคสมัยโบราณ ระยะเวลาสี่เดือนมานี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายเลย จวนโหวไม่ได้ตกต่ำ แต่ทว่าไม่มีเ้าบ้านชายในจวนโหว ไม่ว่าผู้ใดล้วนอยากจะเหยียบย่ำ เขานั้นเติบโตมาในกองเงินกองทองมาั้แ่เล็ก ไม่ว่าสิ่งใดล้วนไม่ต้องไปกังวลใจ เมื่อมาถึงที่นี่ ตอนแรกต้องอยู่ในหมู่บ้านที่ยากไร้ก่อน เขานั้นได้คิดเตรียมตัววางแผนจะสอบเคอจวี่เพื่อเลี้ยงดูคนทั้งบ้านไว้อยู่แล้วเชียว แต่ทว่ากลับมามีความลับเกี่ยวกับชาติกำเนิดของเขาอีก
ครอบครัวนั้นถึงแม้จะยากจน แต่ทว่าเหล่าไท่ไท่ที่ฉลาดเฉลียวและใจคอคับแคบผู้นั้นรักและเอ็นดูเขาจริงๆ ของดีทุกอย่างล้วนให้เขาทั้งหมด
เมื่อมาถึงเมืองหลวง ตลอดทางได้ฟังเื่ราวของหลี่ซวี่ หลี่ซวี่เป็วีรบุรุษผู้กล้า เขามีความกล้าของเขา เสียสละชีวิตของตนเพื่อบ้านเมืองและฝ่าา คนเช่นนี้มีค่าคู่ควรที่จะให้หลี่ลั่วเคารพนับถือ และมีค่าคู่ควรที่จะให้หลี่ลั่วไปปกป้อง อย่างน้อยเขาก็ได้มาอยู่ในร่างของเ้าของร่างนี้ บุญคุณส่วนนี้ หลี่ลั่วจดจำได้
เขาคิดว่าแค่กอดขาใหญ่ของฝ่าาและฉีอ๋องให้แน่น ขายความน่ารักไร้เดียงสาไปวันๆ จะต้องมีชีวิตที่ดีแน่ๆ คิดไม่ถึงว่าจ้าวหนิงฮ่องเต้นั้นช่างขี้โกงยิ่งนัก กลับพระราชทานสมรสให้เขากับกู้จวิ้นเฉิน
หลี่ลั่วลืมตาขึ้น ในแววตามีความมุ่งมั่นพาดผ่าน กู้จวิ้นเฉิน...คิดๆ แล้วมุมปากของหลี่ลั่วก็โค้งขึ้น อารมณ์ดีเป็อย่างยิ่ง เขาชอบหน้าตาของกู้จวิ้นเฉินยิ่งนัก ส่วนเื่นิสัยของเขาน่ะหรือ หลี่ลั่วรู้สึกว่าเขารักเลยแหละ ที่ไม่ค่อยดีมีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือฐานะ ต่อไปไม่ว่าบุตรชายคนใดของจ้าวหนิงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ เขาล้วนแล้วแต่มีภัย
นอกเสียจากว่า...กู้จวิ้นเฉินจะสืบทอดตำแหน่ง หรือไม่ก็เป็ท่านอ๋องที่ไร้ซึ่งอำนาจใดๆ
[1] น้ำแกงหวาน (甜汤) หรือซุปหวาน เป็ของหวานที่เป็น้ำเชื่อมผสมกับนมหรือพืชผักผลไม้ที่มีสรรพคุณทางสมุนไพร สามารถปรุงทานได้หลายแบบ นิยมทานแบบอุ่นร้อน มีต้นกำเนิดมาจากมณฑลกวางตุ้งและกวางสี ในที่นี้คือซุปถั่วเขียว