ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกราชบุตรเขยมีทั้งหมดสามสิบหกคน ฟ่านเสี้ยวเหวินตายไปแล้วจึงเหลืออยู่สามสิบห้าคน
เนื่องจากจำนวนคนมาก มู่หรงฉือกับเหอกวงเ้ากรมพิธีการจึงแบ่งการทดสอบเป็การสอบส่วนต้นกับการสอบส่วนปลาย แบ่งดำเนินการเป็สองวัน สนามรอบต้นแบ่งสามสิบหกคนนั้นออกเป็สามคนต่อหนึ่งกลุ่ม ทั้งหมดสิบสองกลุ่ม คนที่ชนะสิบสองคนจะเข้าสู่การทดสอบส่วนปลาย ทว่าวันนี้ขาดไปหนึ่งคน พวกเขาจึงตัดสินใจว่าหนึ่งกลุ่มนั้นจะมีเพียงสองคนที่ตัดสินแพ้ชนะ
ตำหนักเหวินฮวาโอ่อ่า ปกติแล้วจะเป็ตำหนักสำหรับจัดพิธีการใหญ่ๆ อาทิเช่น พิธีาาภิเษก งานอภิเษกสมรสของฮ่องเต้ การสถาปนาแต่งตั้งฮองเฮา บำรุงขวัญทหารก่อนออกรบ นอกจากนี้ทุกปียังมีงานเฉลิมฉลองพระราชพิธีหมื่นพรรษา วันปีใหม่ เทศกาลตงจื้อ[1] ซึ่งเป็สามเทศกาลใหญ่ที่ฮ่องเต้จะรับคำอวยพรจากเหล่าขุนนาง ทั้งยังพระราชทานรางวัลให้กับขุนนางเสนาบดีใหญ่ทั้งหลาย
ลานกว้างใหญ่ด้านหน้าตำหนัก ยามนี้ได้ถูกจัดเป็สถานที่ประลอง
คนของกรมพิธีการได้จัดเก้าอี้แกะสลักสามตัวกับโต๊ะเล็กตรงโถงทางเดินของตำหนัก ตรงบันไดหน้าโถงปูด้วยพรมแดง เอาไว้ใช้สำหรับการทดสอบ ทั้งสองข้างจัดเก้าอี้จำนวนไม่น้อยวางไว้ให้กับเหล่าขุนนางจากทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊พร้อมบรรดาฮูหยิน ทั้งยังเป็ที่สำหรับบรรดาตระกูลขุนนางที่มานั่งดู เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของการจัดงานคัดเลือกราชบุตรเขยและให้ความสำคัญกับเหล่าขุนนาง ฮ่องเต้จึงอนุญาตให้ครอบครัวของขุนนางขั้นสี่ขึ้นไปเข้าวังมาดูได้
แสงแดดที่สาดส่องลงมาในวันนี้แตกต่างจากหลายวันก่อน ร้อนอบอ้าวมากเป็พิเศษ ท้องฟ้ามีเมฆครึ้มก่อตัวอยู่เต็มไปหมด
ยังไม่ถึงเวลาเริ่มทดสอบ ด้านหน้าตำหนักเหวินฮวาก็มีคนมารวมตัวกันเต็มไปหมด เสียงดังเซ็งแซ่ เหอกวงเ้ากรมพิธีการพาเพื่อนร่วมงานกับขันทีมาเตรียมงาน แล้วรวมชายหนุ่มเข้าด้วยกัน อธิบายวิธีการจับฉลากตัดสินว่าใครจับกลุ่มกับใครในการแข่งขัน กระดาษแผ่นเล็กห้าแผ่นจะเขียนตัวหนังสือชื่อกลุ่มเอาไว้ หากมีสามคนหยิบออกมาได้กลุ่มแรก เช่นนั้นทั้งสามคนก็อยู่ในกลุ่มการแข่งเดียวกัน
การจับฉลากจะเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งหรือว่าอ่อนแอนั้นจำต้องพึ่งโชคชะตาด้วยหลายส่วน
เมื่อการจับฉลากเสร็จสิ้น คนของกรมพิธีการก็ได้ทำการจดบันทึกเอาไว้ มีคนพอใจ มีคนเป็กังวล มีคนนิ่งสงบ มีคนไม่แสดงสีหน้าอะไร มีคนถอนหายใจ มีคนหน้าตายิ้มเบิกบาน...
ครั้นเวลาของการแข่งขันมาถึง ทุกคนต่างรอคอยด้วยใจที่ร้อนรน สุดท้าย องค์รัชทายาทกับอวี้หวางก็เดินทางมาถึง
นางมาถึงพร้อมกับมู่หรงอวี้ แม้ในใจของมู่หรงฉืออยากจะปฏิเสธ แต่กลับยังต้องมาเจอเขาที่หน้าเส้นทางของวังหลวง
ครั้งนี้ นางนั่งเกี้ยวจนกระทั่งมาถึงหน้าตำหนักเหวินฮวาถึงจะลงมา
ทุกคนโค้งตัวต้อนรับ คนมากมายต่างพากันคำนับ
คนเยอะจริงๆ เฮ้อ
ครอบครัวของขุนนางขั้นสี่ในเมืองหลวงมาดูการแข่งกันหมดเลยหรือ?
มั่นใจแล้วหรือว่าไม่ใช่บรรดาคุณหนูของครอบครัวมีชื่อเสียงเ่าั้มาเลือกสามี?
แต่ว่านางรู้ดี คนพวกนี้ส่วนมากที่มาก็เพราะว่านับถือมู่หรงอวี้
มู่หรงอวี้ลงจากเกี้ยว รูปร่างสง่าผ่าเผยองอาจที่สุดในใต้หล้า แววตาดุดันที่ทุกคนไม่อาจคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดกวาดมองไปทั่ว แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าในสายตาของเขานั้นไม่มีผู้ใดเลย สายตามองข้ามใต้หล้า มองข้ามทุกผู้ทุกคน แล้วมองไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
เป็เช่นประโยคที่ว่ากระทั่งเศษผงก็ไม่อยู่ในสายตา
“ทุกคนไม่จำเป็ต้องมากพิธี”
เสียงทุ้มเ็าให้ความรู้สึกห่างเหิน
มู่หรงฉือแอบถลึงตาใส่เขา ก่อนจะหันหัวเดินไปด้านหน้าอย่างไม่พอใจ
เสแสร้งเหลือเกิน เสแสร้งเก่งเหลือเกิน!
เนื่องจากเดินไวเกินไปจนไม่ทันระวังใต้เท้า นางจึงสะดุดมุมของพรมแดงที่อ้าออกมาครึ่งหนึ่งจนล้มคะมำไปด้านหน้า
เื่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกระทั่งนางเองก็คิดไม่ถึง
ในชั่วเวลาสั้นๆ สัญชาตญาณของนางอยากจะใช้วิชาตัวเบาทำให้ร่างกายกลับมายืนตรง แต่ว่าที่นี่ตรงนี้นางกลับต้องแสร้งทำตัวไม่ได้เื่ จึงกัดฟันเตรียมตัวล้มคะมำกับพื้นด้วยท่าทางสวยงาม
ถึงแม้ทุกคนต่างสนใจอวี้หวางผู้สง่างาม เรือนร่างองอาจน่าเกรงขามประหนึ่งั แต่ว่าก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่มองกิริยาไม่งามขององค์รัชทายาท
บรรดาแม่นางต่างเบิกตารอชม เหล่าฮูหยินก็ปิดตาไม่กล้าดู เหล่าขุนนางก็มองดูสถานการณ์ที่น่าสนุกอย่าง : องค์รัชทายาทล้มหน้าทิ่ม
องค์รัชทายาทผู้ไม่ได้เื่จะมาเทียบกับอวี้หวางได้หรือ?
สถานการณ์เช่นนี้องค์รัชทายาทไม่ได้เื่ผู้นั้นทำตัวเสียกิริยา กลายเป็เื่ขบขันก็เท่านั้น!
มู่หรงฉือทำใจเตรียมตัวรับเื่น่าขายหน้านี้เอาไว้แล้ว ทำใจรับคำพูดแย่ๆ จากตระกูลขุนนางทั้งหลาย ทำใจที่จะต้องตกเป็เื่เล่าสนุกหลังดื่มน้ำชาของพวกเขา แต่คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะไม่เป็เช่นนั้น!
รู้สึกเพียงว่ามีแรงมหาศาลดึงแขนเสื้อของนางเอาไว้ ชั่วพริบตาต่อมาเอวก็ถูกกระชับแน่น ก่อนนางจะกลับมายืนได้อย่างมั่นคง
แขนยาวที่รวบอยู่ตรงเอวของนางราวกับเหล็กไหลประทับเข้ามาในเืเนื้อของนาง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็ร้อนลวกในทันที
ได้กลิ่นอุ่นร้อนผสมกับน้ำหอมกลิ่นนั้น ในใจของนางก็ว้าวุ่นเล็กน้อย แต่ว่านาง ‘ผ่านมาแล้วร้อยครั้ง’ จึงสามารถเจอฝูงชนโดยควบคุมสีหน้าไม่ให้เปลี่ยนได้
ที่ทำให้นางหงุดหงิดก็คือ ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมา เขากลับสามารถทำเื่หน้าไม่อายนี้ได้ ทั้งยังเ้าเล่ห์ยิ่งนัก ไม่เพียงแต่จะแอบเพิ่มแรง ยังโอบนางเข้าไปในอ้อมกอดอีกด้วย
สถานการณ์นี้จึงเปลี่ยนมาเป็ นางจงใจ ‘ทำตัวอ่อนแอ’ เพื่อเข้าใกล้เขา ทั้งยังอยู่ในอ้อมกอดของเขาไม่ยอมไปไหน ไม่รู้จักยางอาย ทำตัวเสื่อมเสียประเพณี
คนสารเลว!
นางเป็องค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์นี้ เป็ว่าที่ฮ่องเต้ของแคว้นเป่ยเยี่ยน มีหรือจะไม่รู้ถึงการทำตัวเสื่อมเสีย?
ที่ไร้ยางอายที่สุดก็คือเขาต่างหากที่ทำเสื่อมเสียประเพณี! มู่หรงอวี้!
ตอนนี้ที่หลังของมู่หรงฉือราวกับถูกทิ่มแทง ไม่ต้องมองก็รู้ว่าบรรดาสตรีน้อยใหญ่กำลังถลึงตาใส่นาง บรรดาฮูหยินก็มองนางด้วยความเหยียดหยาม เหล่าขุนนางพวกนั้นเมื่อเห็นว่าไม่เป็ไปดั่งที่คิดก็ได้แต่ถอนหายใจพลางส่ายหน้า ในดวงตาเ่าั้ที่เจือรอยตำหนิ เยาะเย้ย และกรุ่นโกรธต่างมองไปยังหลังศีรษะและแผ่นหลังของนาง
“ยังไม่รีบปล่อยมืออีก?”
นางลอบกัดฟันพลางคิดว่า หากสายตาเป็กระบี่ได้ก็คงดี จะได้แทงเข้าที่คอของเขาไปเสีย
มู่หรงอวี้เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ครั้งนี้เตี้ยนเซี่ยทำตัวเอง เกี่ยวอะไรกับเปิ่นหวางเล่า? เปิ่นหวางก็แค่มีน้ำใจช่วยเหลือเตี้ยนเซี่ย ไม่เช่นนั้นเ้าก็คงจะล้มลงไปจนเกิดเื่น่าขายหน้า เื่นี้อาจถึงกับต้องบันทึกลงประวัติศาสตร์ เตี้ยนเซี่ยควรขอบคุณเปิ่นหวางถึงจะถูก”
มู่หรงฉืออยากจะกัดแขนของเขาแรงๆ สักที แต่กลับหัวเราะเสียงต่ำออกมา “ท่านอ๋องผู้มีจิตใจกว้างขวางดั่งทะเล ยังจะคอยคิดเล็กคิดน้อยพูดถึงเื่เก่าๆ ขึ้นมาอีกหรือ? อีกอย่างท่านอ๋องเป็บุรุษร่างกายกำยำแข็งแรงผู้หนึ่ง ต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนัก การกอดเปิ่นกงที่เป็องค์รัชทายาทจะกลายเป็เื่อะไร? ชื่อเสียงของเปิ่นกงย่ำแย่ยิ่งนัก แต่ชื่อเสียงของท่านอ๋องดีงามไม่เคยด่างพร้อย ท่านอ๋อง ตอนที่ควรจะปล่อยมือก็ต้องปล่อย เป็บุรุษก็ใจกว้างสักหน่อยเถิด”
“เปิ่นหวางใจแคบไปจริงๆ อีกอย่างเปิ่นหวางยังไม่กังวลถึงชื่อเสียงของตนเอง เ้าจะกังวลถึงมันไปทำไม?” เห็นรอยยิ้มที่จอมปลอมจนไม่รู้จะจอมปลอมอย่างไรของเตี้ยนเซี่ย เขาพลันรู้สึกว่า ตอนที่เตี้ยนเซี่ยยิ้มจอมปลอมจนคิ้วโค้งงอไปด้วยเช่นนี้ ก็สวยหวานไปอีกแบบ
“ถึงเวลาแล้ว ยังมีเื่สำคัญต้องรีบทำ!” นางสะบัดตัวขัดขืนอย่างมีโทสะ แววตาเ็าลงหลายส่วน
พวกเขาตัวติดกันจนเนื้อแนบเนื้อ ทำเอาขุนนางและผู้คนที่อยู่รอบด้านต่างมองด้วยสายตาเหม่อลอย ตกตะลึงตาค้าง เหตุใดอวี้หวางกับองค์รัชทายาทถึงได้กลายเป็รูปปั้นดินเผาตัวติดกันไปเสียแล้ว?
องค์รัชทายาทสมควรตาย! --- สตรีคนหนึ่งคิดขึ้นมา
องค์รัชทายาทจะต้องถูกใจความหล่อเหลาของอวี้หวางถึงได้แกล้งทำเป็ล้มลง! --- สตรีคนหนึ่งมองด้วยสายตาเกลียดชัง
องค์รัชทายาทเองก็อยากได้ความสง่างามของอวี้หวางเหมือนกัน ไร้ยางอาย นิสัยแย่เกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่คนแล้ว --- สตรีคนหนึ่งกระทืบเท้าอย่างแค้นเคือง
องค์รัชทายาทในรัชกาลนี้กับอวี้หวางกอดกัน ยื้อยุดกันไปมาเช่นนี้ โลกคงจะถล่มลงมาแล้วจริงๆ! --- กลุ่มขุนนางส่ายหน้าถอนหายใจ
เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่เหมือนน้ำที่ท่วมจนแทบมิดตำหนักเหวินฮวา มู่หรงฉือโมโหจนหน้าแดง ผลักเขาออกไปอย่างไม่อาจทนได้อีก
มู่หรงอวี้ปล่อยมือออก เนื่องจากนางออกแรงมากเกินไป ผลของแรงเฉื่อยทำให้นางถึงกับต้องถอยหลังไปหลายก้าวถึงจะยืนได้อย่างมั่นคง แต่ก็อยู่ในสภาพลำบาก
นางโกรธจนแทบจะะเิ มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นจนสั่นน้อยๆ ใบหน้าเล็กราวกับก้อนเมฆสีแดงของท้องฟ้าตอนพลบค่ำ ทั้งยังเหมือนดอกท้อสีแดง สีสันงดงามจนทำให้ใจหวั่นไหว
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาชื่นชม แต่เขาได้เก็บภาพความงามของนางเอาไว้ในสายตาแล้ว อีกเดี๋ยวค่อยหวนคะนึงถึงก็แล้วกัน
ในที่สุดสถานการณ์ประหลาดๆ ฉากนี้ก็ปิดม่านลง
มู่หรงฉือเดินไปที่โถงทางเดินอย่างหงุดหงิด หยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มจนหมดเพื่อดับไฟโทสะ
มู่หรงอวี้เดินไปนั่งด้วยท่าทางนิ่งสงบ ไม่ได้มองไปที่นาง สายตากวาดมองไปโดยรอบ
บรรดาสตรีที่คิดว่าได้รับสายตาของอวี้หวางต่างดีอกดีใจ พากันยืดอกเก็บหน้าท้อง แสดงท่าทางที่คิดว่างดงามที่สุด น่าหลงใหลที่สุดออกมาเพื่อได้ใจจากอวี้หวาง บางคนก็เขินอาย บ้างก็มองกลับมาอย่างใจกล้า บ้างก็เขินอายปนหวาดหวั่น
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหอกวงแห่งกรมพิธีการก็รีบประกาศเริ่มการแข่งขันทันที
มู่หรงฉือผละมือออกหลังจากวางถ้วยชา สายตามองไปยังท่าทางของบรรดาสตรีเ่าั้ มือยังไม่ทันได้ดึงกลับไป จู่ๆ ก็มีของเย็นๆ มาโดนที่หลังมือของนาง นางใแทบแย่ พอนึกขึ้นได้ว่าเป็อะไรก็รีบดึงมือกลับไปทันที
ทว่า มันจะง่ายแบบนั้นหรือ?
สามนิ้วตรงกลางของนางถูกจับเอาไว้ นางพยายามดึงกลับมาอย่างแรง แต่ไม่เป็ผลแม้แต่น้อย
ในเวลานี้เหอกวงกำลังจัดให้กลุ่มแรกเริ่มการประลอง ความสนใจของทุกคนจึงย้ายไปยังการแข่งขันที่อยู่กลางพรมแดง
แววตาของมู่หรงอวี้กวาดมองไปทางด้านหน้าอย่างไม่ยี่หระ ใบหน้าหล่อเหลาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ นี่ๆๆๆๆ...ช่างน่าต่อยเกินไปแล้ว!
นางโกรธจนนึกอยากกระทืบเท้าแต่กลับไม่กล้า ทำให้คนอื่นใเช่นนี้ช่างขี้โกงเกินไปแล้วจริงๆ
ด้วยความเป็สุนัขจนตรอก นางยกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ตอนที่กำลังจะพ่นน้ำชาไปทางเขา ตอนนั้นเองเขาก็ปล่อยมือ
เขาหันหน้ามองมาทางนาง สายตาอบอุ่นบริสุทธิ์มองมาที่นางทำให้คนรู้สึกว่าตอนนี้เขาอารมณ์ดีมาก จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาง
มู่หรงฉือกลืนน้ำชาลงไปพลางถลึงตาใส่เขาอย่างแรง ก่อนจะตั้งใจดูการแข่งขัน
ทางด้านตะวันออกของบันไดวางกลองขนาดใหญ่เอาไว้ องครักษ์ตีกลองอย่างแรง ตึงตึงตึง แต่ละครั้งที่ตี เสียงก็สนั่นหวั่นไหวไปถึงจิตใจผู้คน
เสียงกลองสิ้นสุดลง การแข่งขันของกลุ่มแรกก็ได้เริ่มขึ้น
จู่ๆ นางก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เมื่อวานเสิ่นจือเหยียนบอกว่าจะมาดูการแข่งขันด้วย แต่นี่การแข่งขันเริ่มขึ้นแล้วทำไมเขาถึงยังไม่มา?
ฝีมือของสามคนในกลุ่มแรกเรียบเฉย การประลองไม่มีสีสัน ไม่มีสิ่งน่าสนใจเท่าไหร่
ไม่นานคนแรกก็ชนะ
เห็นมู่หรงอวี้ยกถ้วยน้ำชาขึ้น ดวงตาของนางพลันเบิกกว้าง ถ้วยนั้นเป็ถ้วยที่นางเพิ่งจะดื่มไปเมื่อครู่
นางจ้องเขานิ่งราวกับกำลังพูดว่า : เปิ่นกงดื่มไปแล้ว เ้ากล้าดื่มหรือ?
แววตาของมู่หรงอวี้ราบเรียบ : ทำไมจะไม่กล้าเล่า?
มองท่าทางดื่มชาอันสง่างามของเขาแล้ว จู่ๆ พวงแก้มของนางก็เห่อร้อนขึ้นมา ก่อนจะลุกลามไปยังใบหูและลำคอ
เชิงอรรถ
[1] เทศกาลฤดูหนาว หรือ เทศกาลตงจื้อ เป็เทศกาลฉลองวันเหมายันที่กลางวันสั้นที่สุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้