เล่มที่ 1 บทที่ 27 หลอม
ความจริงแล้วเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่ ถูกหลินเฟยดัดแปลงจนไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้จึงควรเรียกว่าเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียนมากกว่า
เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียนที่หลิยเฟยคิดค้น จะมีปราณกระบี่ขั้นเซียนเทียนเป็รากฐาน โดยจะต้องกลืนกินมนต์สะกดแร่โลหะขั้นเซียนเทียนเก้าสาย เพื่อรวมเป็มนต์เสิ่นทงขั้นเซียนเทียน ใช้หลักหลอมกายเป็ศาสตราวุธ จึงบรรลุขั้นบำเพ็ญฟ่าเซินได้ในท้ายที่สุด
ภายใต้การโคจรเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่ สามารถแปลงปราณกระบี่ไท่อี๋ขั้นเซียนเทียนให้มีพลังเทียบเท่ามนต์สะกดเก้าสายขั้นโฮ่วเทียน เหมือนตอนอยู่ที่ถ้ำเสวียนปิง ที่แปรเปลี่ยนเป็ปราณกระบี่เก้ามนต์สะกดเข้าต้านกระบี่มารฟ้าสยบเซียน เมื่อได้ใช้ข้อได้เปรียบตรงปราณกระบี่ไท่อี๋เช่นนี้ข่มไอปีศาจ ทำให้สามารถเอาชนะหลี่ซิงซานที่มีขั้นบำเพ็ญสูงกว่าเขาถึงขั้นหนึ่งเต็มๆได้
ทว่ามันไม่ยั่งยืนเอาเสียเลย...
เพราะมนต์สะกดขั้นเซียนเทียนที่มีเพียงหนึ่งเดียวนี้ เป็รากฐานการบำเพ็ญของหลินเฟย หากาเ็ อาจจะกระทบถึงรากฐานเลยก็เป็ได้ ดังนั้นเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียนที่หลินเฟยคิดค้นนั้นจึงจำเป็ต้องกลืนกินปราณกระบี่ขั้นโฮ่วเทียนเพิ่ม
เช่น ปราณกระบี่อิ๋นเหวินนี้...
‘ช่างมาได้ถูกที่ถูกเวลาเสียจริงๆ...’
“ขอบคุณ อาจารย์อา!”
หลังจากที่กล่าวลาเ้าสำนักแล้ว หลินเฟยก็รีบกลับหุบเข้าอวี้เหิงทันที ลืมแม้กระทั่งเอ่ยลากับหวังหลิงกวน ั้แ่ต้นจนจบหลินเฟยไม่ได้เอ่ยถึงหลี่ชิงซานเลยแม้แต่คำเดียว เขารู้ดีว่าต่อให้เอ่ยไปก็เท่านั้น ถึงแม้หลี่ชิงซานจะทำตัวหน้าไหว้หลังหลอกไปบ้าง แต่ผู้บำเพ็ญทุกคนล้วนเสี่ยงเป็เสี่ยงตายเพื่อพัฒนาตัวเอง เื่ที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้แปลกอะไร หากช่วยก็นับว่าเป็บุญคุณ แต่หากไม่ช่วยก็สมเหตุสมผลเช่นกัน ต่อให้หลินเฟยเอื้อนเอ่ยออกไป อย่างมากหลี่ชิงซานก็คงจะแค่ถูกตักเตือนเล็กน้อย ไม่เสียหายอะไร...
สิ่งที่หลินเฟย้า ไม่ใช่แค่การตักเตือนเพียงไม่กี่คำ...
เพราะถึงอย่างไรหลินเฟยก็ทำให้หลี่ชิงซานบรรลุขั้นจิงตันล่าช้าไปถึงครึ่งปี และครึ่งปีให้หลังก็ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าใครจะเป็คนฆ่าใครด้วยซ้ำ...
ส่วนเื่ให้ผู้าุโอู๋อะไรนั่นช่วยเหลือ หลินเฟยก็ไม่เก็บเอามาคิดให้เปลืองพื้นที่สมอง
ตอนนี้เขาฝึกเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียน เส้นทางบำเพ็ญนี้จะต้องกลืนกินมนต์สะกดเพื่อหลอมกายให้เป็ศาสตราวุธ ต่อให้บ่มเพาะจนเกิดกายกระบี่แล้วจะมีประโยชน์อะไร สำหรับหลินเฟยแล้วมันเป็เพียงของนอกกายเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้ว การได้ปราณกระบี่อิ๋นเหวินมาเพิ่มจึงเป็สิ่งที่เขา้ามากกว่า…
สามเดือนผ่านไปในที่สุดหลินเฟยก็ได้กลับมายังหุบเขาอวี้เหิงอีกครั้ง
เขาค่อยๆ ย่องกลับห้องพักตัวเอง
ใช่แล้ว ค่อยๆ ย่องด้วยฝีก้าวอันแ่เบา...
เพราะรู้จักนิสัยขี้งกของตาเฒ่าดี หากรู้ว่าเขาได้แร่อิ๋นเหวินจากเ้าสำนักมาล่ะก็ คงจะต้องงอแงร้องขอไม่เลิกแน่
ทางที่ดีหลินเฟยจึงรีบกลับห้อง ก่อนจะนำแร่อิ๋นเหวินออกมา ภายใต้การโคจรของเคล็ดจูเทียนฝูถู ทำให้แร่อิ๋นเหวินค่อยๆหลอมละลายกลายเป็ปราณสีขาว ก่อนจะถูกกลืนกินลงไป
หลังจากมีประสบการณ์แล้ว ครั้งนี้ถือว่าราบรื่นกว่าครั้งก่อนมาก เพียงไม่กี่ชั่วยาม ก็สามารถหลอมแร่อิ๋นเหวินจนเสร็จสมบูรณ์ ปราณสีทองที่ไม่เพียงพอสำหรับผู้บำเพ็ญขั้นย่างหยวนก็ถูกเติมเต็มในที่สุด บัดนี้พลังปราณในตัวหลินเฟย ได้มีสีทองอ่อนปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ชัดเจนเท่ากับตอนอยู่สุสาน แต่เมื่อพิจารณาดูก็จะพบว่าขั้นจู้จีกับขั้นย่างหยวน มีข้อจำกัดด้านพลังปราณต่างกันเป็ร้อยเท่า เพราะฉะนั้นเพียงแค่นี้ก็นับว่าได้ประโยชน์มหาศาลแล้ว
และยังไม่หมดเพียงเท่านี้...
เพราะนี่คือแร่ขั้นโฮ่วเทียน ที่มีมนต์สะกดอยู่สายหนึ่ง นอกจากสามารถหลอมจนได้ปราณกระบี่แล้ว ยังเป็สิ่งจำเป็ในการบรรลุขั้นมิ่งหวนอีกด้วย
ภายใต้เคล็ดจูเทียนฝูถูนั้น ทำให้แร่อิ๋นเหวินที่ถูกหลินเฟยกลืนกินจนหมดสิ้น เกิดปราณสีทองหลอมรวมเข้ากับพลังปราณเดิม ทำให้พลังของเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียนสามารถแตะขั้นย่างหยวนได้อย่างแท้จริง ส่วนมนต์สะกดสายนั้น หลินเฟยก็ค่อยๆชักนำออกมา ก่อนจะใช้เคล็ดวิชาจูเทียนฝูถูหลอมจนเกิดเป็ปราณกระบี่อิ๋นเหวิน ผนึกไว้ที่จุดตันเถียน...
‘สิ่งที่ต้องทำต้องไปก็คือหมั่นฝึกฝน...’
ขณะที่อยู่ในสุสาน หลินเฟยใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนเต็มๆในการสลักอักขระทั้งหนึ่งร้อยแปดชุดลงในปราณกระบี่ไท่อี๋ ถึงแม้แร่อิ๋นเหวินจะเทียบเทียมไม่ได้ แต่เกรงว่าคงไม่อาจสำเร็จได้ภายในหนึ่งถึงสองวันแน่
ดังนั้นหลินเฟยจึงไม่รีบร้อน หลังจากสลักอักขระชุดแรกลงไป ปราณกระบี่อิ๋นเหวินก็สงบลง เขาสลายพลังปราณที่ควบคุมปราณกระบี่อิ๋นเหวินออก ก่อนจะโคจรเคล็ดวิชาหมื่กระบี่จูเทียนอีกครั้ง นี่ต่างหากที่เป็รากฐานที่แท้จริง เขาไม่เคยหยุดฝึกฝนเลยแม้แต่วันเดียว ถึงจะเป็่เวลาตอนอยู่ในสุสานก็ตาม
ในวันรุ่งขึ้น หลินเฟยตื่นั้แ่เช้าตรู่
เขาเริ่มโคจรพลังฝึกฝนเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียนอีกครั้ง จนกระทั่ง่เวลาบ่ายคล้อย หลังจากโคจรพลังครบสามสิบหกรอบ หลินเฟยจึงก้าวเท้าออกจากห้องมา เขาคิดจะไปหลอกถามตาเฒ่าเสียหน่อย เผื่อว่าจะมีเบาะแสของแร่โลหะบ้าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อผลักประตูออกไป จะพบว่ามีคนคนหนึ่งรออยู่ก่อนแล้ว...
“ซ่งเทียนสิง?” หลินเฟยชะงัก คิดไม่ถึงว่าเ้านี่จะมีสายข่าวไวเช่นนี้ เมื่อวานเขาเพิ่งออกจาถ้ำเสวียนปิง วันนี้ก็มาดักรอที่ประตูแล้ว ‘คิดจะทำอะไรกัน อย่าบอกนะว่าจะประลองกระบี่พิฆาตเซียนมารกับกระบี่ระลึกตนอีก?’
ซ่งเทียนสิงก้มหน้าก้มตาเดินไปเดินมา ราวกับมีเื่อะไรในใจ แม้กระทั่งเมื่อหลินเฟยออกมาจากห้องแล้ว เขาก็ยังไม่รู้สึกตัว ปากก็เอาแต่พึมพำไม่ได้ศัพท์อยู่คนเดียว...
“หากขอร้อง ข้าก็จะบอกให้...ไม่ใช่ๆ แบบนี้มันน่าเกลียดเกินไป ฟังดูเหมือนอันธพาลเลย เอาแบบนี้ดีกว่า ศิษย์น้องหลิน เ้าเสียสละช่วยชีวิตข้าที่ผาปากเหยี่ยว บุญคุณนี้ยากจะทดแทน ถุย…ขืนพูดแบบนี้ วันหน้าอย่าหวังจะได้โงหัวต่อหน้าหลินเฟยอีก เอาแบบนี้แล้วกัน หลินเฟยเ้า...”
“ศิษย์พี่ซ่ง ทำของหล่นหรือเปล่า?” หลิยเฟยกรอกตา ก่อนจะกระแอมเบาๆ เพื่อขัดจังหวะ
“ฮะ” ซ่งเทียนสิงใ จนลืมบทพูดที่คิดเอาไว้ พอเห็นชัดว่าคนตรงหน้าคือหลินเฟย ก็มีความรู้สึกตื่นตระหนกก็ฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้า สักพักจึงแสร้งทำเป็เคร่งขรึมก่อนจะเอ่ยตอบ
“อ๋อ กลับมาแล้วหรือศิษย์น้องหลิน?”
“...” หลินเฟยประหลาดใจในตัวเขาจนเหงื่อตก เป็ถึงศิษย์หุบเขาเทียนสิง มีโอกาสฝึกหนึ่งในสามกระบี่ห้าเคล็ดวิชา แต่กลับชวนคุยไม่เป็เสียอย่างนั้น “หากยังไม่กลับจะมาป้วนเปี้ยนหน้าที่พักข้าทำไม คิดจะขโมยของหรือ?”
“แค่ก...” ดูเหมือนซ่งเทียนสิงจะคิดได้เช่นกัน เขาแสร้งไอกลบเกลื่อน ก่อนจะเปลี่ยนเื่
“ได้ยินว่าเ้าสำนักให้ศิษย์พี่หลี่ไปตามหาเ้าที่ผาปากเหยี่ยวอย่างนั้นหรือ?”
ทว่าเมื่อสิ้นคำ ซ่งเทียนสิงกลับอยากจะตบปากตัวเองเสียให้เต็มแรง ‘บัดซบ! วันนี้ข้าเป็อะไรไป เอาแต่พูดเื่ไม่เป็เื่อยู่ได้ เมื่อวานศิษย์พี่หวังก็กลับมาเล่าให้ฟังแล้วนี่นา เ้าหลี่ชิงซานก็เป็อะไรไม่รู้ อยู่ดีๆก็ลงไม้ลงมือกับหลินเฟย ถึงขนาดใช้เคล็ดวิชามารฟ้าสยบเซียนเลย หากศิษย์พี่หวังไปช้านิดเดียว เกรงว่าหลินเฟยคงไม่อาจรอดชีวิตกลับมาได้...’
‘หรือจะพูดตรงๆไปเลยดีนะ?’
ซ่งเทียนสิงกลับรู้สึกลังเลขึ้นมา...
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------