หัวใจของถงอวิ๋นเฟยดิ่งลงทันที
ในเผ่ายุทธ์ทองคำได้มีการรวบรวมตำราโบราณไว้มากมาย ตำราโบราณเหล่านี้รวมไปถึงเื่ของแดนเซียนอู่ก่อนที่ฟ้าดินจะแตกสลาย และยังรวมเื่ราวของแดนซิงเฉินหลังเสี่ยตี้ทำการรวบรวมฟ้าดินขึ้นใหม่
ถงอวิ๋นเฟยชื่นชอบการอ่านตำราโบราณเหล่านี้ั้แ่ยังเป็เด็ก จากมุมมองของเขา เขาคิดว่าสามารถอ่านสิ่งที่น่าเหลือเชื่อและเื่เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ต่างๆ ได้จากตำราโบราณเหล่านี้ เมื่ออ่านตำราโบราณเหล่านี้มากเท่าไรก็ยิ่งทำให้ถงอวิ๋นเฟยมีมุมมองและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งมีความทะเยอทะยานมากขึ้น
ในบรรดาเผ่าพันธุ์ที่มีบันทึกไว้ในตำราโบราณ ก็มีบันทึกเกี่ยวกับตระกูลขวงสยงอยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น... มันยังถูกบันทึกไว้ในตำราบันทึกทั้งเล่ม
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินเสียงคำรามดังของสยงท่าเทียนอย่างชัดเจน แต่ตอนนั้นเขายังไม่ได้คิดถึงมัน ตอนนี้ เมื่อได้เห็นแขนอันแข็งแรงของสยงท่าเทียนนี้เอง ก็ทำให้เขานึกขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
สิ่งที่เขานึกไม่ถึงเลยก็คือ คนที่กำลังสู้กับเขาอยู่นี้คือคนของตระกูลขวงสยง? ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็พวกบ้าคลั่งา ตระกูลขวงสยง เทพาโดยกำเนิดน่ะหรือ?
เมื่อหวนนึกถึงสีหน้าท่าทางที่ดูงี่เง่าของสยงท่าเทียนก่อนหน้านี้ ถงอวิ๋นเฟยจึงมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่เป็สิ่งที่บอกว่าสติปัญญายังไม่เติบโตเต็มที่
เมื่อคิดถึงเื่นี้ หัวใจของถงอวิ๋นเฟยก็ขมขื่นมากขึ้น เขาไม่คาดคิดว่าคนต่ำต้อยในเมืองห่างไกลเช่นนี้จะรู้จักกลุ่มตระกูลขวงสยง ทั้งยังเป็พี่ใหญ่ของตระกูลขวงสยงอีกด้วย!
แม้ว่าเขาจะรู้สึกใและไม่อยากเชื่อ แต่ถงอวิ๋นเฟยก็ไม่มีเจตนาที่จะล่าถอย จิติญญาการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งขึ้น ในเมื่อตอนนี้เขาได้พบกับตระกูลขวงสยง เขาก็อยากเห็นนักว่าตระกูลขวงสยงที่เคยกดขี่เผ่ายุทธ์ทองคำจะมีพละกำลังแข็งแกร่งสักเพียงใดกัน
เมื่อสยงท่าเทียนจับกระบี่ั์สีทอง รอยตราสีทองระหว่างคิ้วของถงอวิ๋นเฟยก็สว่างวาบขึ้น และม่านแสงที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งร่างก็ดูเหมือนจะพลุ่งพล่านออกมา ถงอวิ๋นเฟยปล่อยกระบี่ั์ออก จากนั้นจึงปล่อยหมัดที่มีพลังทำลายอากาศตรงเข้ากระแทกศีรษะของสยงท่าเทียน
แต่สยงท่าเทียนที่กำลังโกรธจัดไม่สนใจการโจมตีของถงอวิ๋นเฟยเลยแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นนั่งด้วยกำลังทั้งหมดที่มี และปล่อยให้ถงอวิ๋นเฟยทุบตีศีรษะของเขาด้วยกำปั้นต่อไป ในตอนนี้เองเขาก็กำหมัดซ้ายขึ้นและโจมตีไปที่ศีรษะของถงอวิ๋นเฟย เมื่อหมัดนี้ถูกปล่อยออกไป ภาพของอุ้งเท้าหมีภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือหมัดนั้นทันที
“ปัง!”
“ปัง!”
ร่างของสยงท่าเทียนเอนลงไปข้างหลัง และเมื่อถงอวิ๋นเฟยถูกสยงท่าเทียนต่อยหมัดเข้าใส่ ร่างทั้งร่างของเขาก็กระเด็นถอยไปทันที
แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากอาการาเ็ของสยงท่าเทียนก็คือ หมัดของสยงท่าเทียนได้ถูกสกัดไว้ด้วยม่านแสงสีทองที่สุดประหลาดของถงอวิ๋นเฟย
ในขณะที่สยงท่าเทียนล้มลง มือขวาของเขาก็กระแทกลงกับพื้น โดยไม่สนใจเืที่ไหลท่วมบนหน้าผากของเขาเลยแม้แต่น้อย และในตอนนี้มือซ้ายของเขาก็จับคอของถงอวิ๋นเฟยไว้อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ถงอวิ๋นเฟยใ นึกไม่ถึงว่าสยงท่าเทียนจะสู้อย่างไม่คิดชีวิตเช่นนี้ ในขณะที่สยงท่าเทียนกำลังบีบคอเขาอยู่นั้น ทั้งสองมือของเขาก็ปรากฏแสงสีทองพุ่งออกมาโจมตีใส่ขมับทั้งสองข้างของสยงท่าเทียนทันที
จื่อซวินเอ๋อที่ยืนอยู่บนอาคารกำลังจ้องไปยังการต่อสู้ที่อยู่ด้านล่าง ใบหน้าที่งดงามของนางถูกแต่งแต้มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความประหลาดใจ ผสมกับครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย นางเอียงศีรษะลงและมองไปทางฉินอวี่ที่อยู่ด้านข้างก่อนจะพูดขึ้น “ซวินเอ๋อยิ่งมองเท่าไรก็ยิ่งมองสหายเฉินไม่ออกเลยจริงๆ เพียงไม่กี่เดือนก็สามารถรู้จักกับพี่น้องที่แข็งแกร่งเช่นนี้?”
แม้ว่าจื่อซวินเอ๋อจะพูดอย่างเรียบง่าย แต่ในใจของนางกลับเสมือนมีพายุพัดกระหน่ำ
นางรู้จักตัวตนของถงอวิ๋นเฟยเป็อย่างดี อีกทั้งเขายังเป็ผู้มีชื่อเสียงในทางตะวันออกของเมืองนภาชิงเหลียน และด้วยความแข็งแกร่งของเขา จึงถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งของผู้ทรงศักดิ์แห่งตะวันออก แต่กลับนึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มป่าเถื่อนในขั้นปราณเสถียรระดับกลางคนหนึ่งจะสามารถบังคับให้เขาใช้พลังชีพจรได้ อีกทั้งยังไม่ได้เป็ฝ่ายได้เปรียบอีกด้วย
คนขั้นปราณเสถียรระดับกลางคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่? เหตุใดจึงกลายไปเป็พี่น้องกับฉินอวี่ได้?
สิ่งนี้ทำให้จื่อซวินเอ๋อรู้สึกสงสัยเป็พิเศษ นางสังเกตได้ว่าสยงท่าเทียนดูจะไม่ใช่คนดีสักเท่าไร เขาเป็คนที่คลุ้มคลั่ง อารมณ์ร้อน แต่ทำไมเขาผู้โอหังถึงได้เป็พี่น้องกับคนขั้นยุทธ์ระดับหก ไม่สิ ขั้นยุทธ์ระดับเก้าอย่างฉินอวี่? ยิ่งไปกว่านั้น เขายังยอมเรียกฉินอวี่เป็พี่ใหญ่อีกด้วย?
ฉินอวี่ไม่ตอบอะไร จ้องมองไปด้านล่างอย่างเคร่งขรึม สิ่งที่ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกคือ แม้ว่าสยงท่าเทียนจะสามารถเทียบกับถงอวิ๋นเฟยได้ แต่เขาก็เป็ฝ่ายเสียเปรียบเสียแล้ว บางทีอาจพูดได้ว่า ในตอนนี้ถงอวิ๋นเฟยยังไม่ได้ใช้พลังที่มีอย่างเต็มอัตรา และเขากำลังทำการประชันพลังกับสยงท่าเทียน
สยงท่าเทียนมีความคิดที่เรียบง่าย แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะไม่ธรรมดา แต่เขาก็ถูกถงอวิ๋นเฟยปราบได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งเขายังไม่สามารถใช้ทักษะการต่อสู้ของตระกูลขวงสยงได้ ยิ่งใช้เวลานานเท่าไร สยงท่าเทียนก็ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็หันศีรษะเล็กน้อยเพื่อมองไปทางจื่อซวินเอ๋อ และกล่าวว่า “สหายจื่อ เ้าจะช่วยบอกให้ถงอวิ๋นเฟยหยุดได้หรือไม่?”
จื่อซวินเอ๋อเหลือบมองไปที่ฉินอวี่ และพูดด้วยความประหลาดใจ “นี่เป็เื่ง่ายนิดเดียว แล้วเ้าสามารถขอให้สหายของเ้าหยุดได้หรือไม่?” เมื่อเห็นฉินอวี่ไม่ตอบ จื่อซวินเอ๋อก็ถือว่ายอมรับไปแล้วโดยปริยาย และรีบะโออกไป “ถงอวิ๋นเฟย หยุดเดี๋ยวนี้ แม้เ้าจะชนะขั้นปราณเสถียรระดับกลางได้แล้วอย่างไรกัน?”
อันที่จริงถงอวิ๋นเฟยที่กำลังต่อสู้กับสยงท่าเทียนอย่างดุเดือดอยู่ด้านล่างนั้นก็ไม่ดีไปกว่ากัน แม้ว่าความคิดในหัวของสยงท่าเทียนจะเรียบง่ายไม่ซับซ้อน แต่ถงอวิ๋นเฟยก็มั่นใจว่าเขาสามารถหลบการโจมตีสองในสิบกระบวนท่าของเขาได้ แต่การโจมตีโดยไม่คิดชีวิตของสยงท่าเทียนที่พุ่งเข้าไปอย่างฉับพลันโดยอาศัยทีเผลอ ทำให้ถงอวิ๋นเฟยถูกชกไปสองสามหมัด จนเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว หากเป็เช่นนี้ต่อไป แม้ว่าจะชนะ แต่ตัวเองก็คงจะเจ็บตัวไม่น้อยไปกว่ากัน
เมื่อคำพูดของจื่อซวินเอ๋อได้ไปถึงถงอวิ๋นเฟยที่อยู่ด้านล่างอีกครั้ง เขาก็รีบแยกตัวออกจากสยงท่าเทียน และถอยหลังห่างออกไป พลางหยุดโจมตีทันที
แต่สยงท่าเทียนได้เข้าสู่ความบ้าคลั่งแล้ว เขาจะยอมหยุดอย่างนั้นหรือ?
“สยงท่าเทียน หยุดเดี๋ยวนี้!” ฉินอวี่พูดออกไป
สยงท่าเทียนทำเหมือนหูหนวกตาบอด เมื่อฉินอวี่เห็นดังนี้ เขาจึงรีบะโลงไป และปรากฏตัวต่อหน้าสยงท่าเทียนอย่างรวดเร็ว พลันมองไปที่สยงท่าเทียนที่โชกไปด้วยเืทั่วทั้งร่าง ฉินอวี่รู้สึกอึดอัด และกระซิบไปเบาๆ “สยงท่าเทียน!”
สยงท่าเทียนที่กำลังโกรธแค้นมองไปยังฉินอวี่ที่อยู่ตรงหน้า พลางสะบัดศีรษะอย่างรุนแรง เขาสะบัดเืที่ไหลเข้าไปในดวงตาและจ้องตรงไปทางฉินอวี่ด้วยใบหน้าที่ดุร้าย ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ ะโออกไปในทันที “พี่ใหญ่ ท่านออกไปเดี๋ยวนี้ เขากล้าด่าท่าน ข้าจะฆ่าเขา!”
หัวใจของฉินอวี่เศร้ายิ่งนัก เมื่อเห็นสยงท่าเทียนเป็แบบนี้ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ พลันพูดขึ้นเบาๆ “ไม่ใช่เวลานี้ ค่อยว่ากันภายหลัง เชื่อพี่ใหญ่เถอะ”
สยงท่าเทียนขัดขืนเป็เวลานาน จ้องมองไปที่ถงอวิ๋นเฟยอย่างดุเดือด และพูดอย่างเคร่งขรึม “สักวันหนึ่งข้าจะบิดหัวของเ้า!” สยงท่าเทียนเช็ดเืจากใบหน้าของเขา และมายืนอยู่ข้างฉินอวี่ จ้องมองที่ถงอวิ๋นเฟยอย่างโกรธเคือง
ถงอวิ๋นเฟยมองไปทางสยงท่าเทียนด้วยความใ จากความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับตระกูลขวงสยง เด็กหนุ่มขวงสยงที่ยังไร้อารยธรรมทางความคิด แทบจะไม่มีใครหยุดเขาได้เลยเมื่อเขาโกรธ แต่ฉินอวี่กลับหยุดยั้งหมีบ้าขวงสยงที่กำลังโมโหลงได้ เื่นี้ทำให้ถงอวิ๋นเฟยรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย
ฉินอวี่หยิบโอสถออกมาเม็ดหนึ่ง ยื่นให้กับสยงท่าเทียน และกล่าวว่า “ไปกันเถอะ ตามข้ามา!” จากนั้นฉินอวี่ก็หันหลังและเดินไปทางจวนตระกูลฉิน
รอบด้านมีผู้คนมารวมตัวกันจำนวนนับไม่ถ้วน ในจำนวนนี้มีผู้ฝึกตนอยู่เป็จำนวนมาก พวกเขาต่างได้เห็นการต่อสู้ครั้งนี้ และรู้สึกใกับความดุร้ายของสยงท่าเทียน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองมีความแตกต่างกันมากในระดับฝึกฝน แต่สยงท่าเทียนก็ยังสามารถทำให้ถงอวิ๋นเฟยได้รับาเ็ได้ เมื่อเวลาผ่านไป หากสยงท่าเทียนก้าวเข้าขั้นเทียนชุ่ยได้ เกรงว่าถงอวิ๋นเฟยก็จะยิ่งยากที่จะเอาชนะ
“ข้าให้เ้าไปได้แล้วหรือ?” ขณะที่ฉินอวี่ก้าวออกไปไม่กี่ก้าว ถงอวิ๋นเฟยก็เอ่ยปากพูดอย่างเ็า แม้ว่าเขาจะระมัดระวังสยงท่าเทียน แต่เขาก็ไม่เกรงกลัวฉินอวี่
หลังจากได้ยินเช่นนี้สยงท่าเทียนก็กำมือแน่นและมองไปทางถงอวิ๋นเฟยอย่างดุดัน และในขณะที่เขากำลังจะพูดก็ถูกฉินอวี่ขวางเอาไว้ ฉินอวี่ค่อยๆ หันไปมองถงอวิ๋นเฟย สายตาดูมืดมน และพูดขึ้นในทันใด “ระดับฝึกฝนของเ้าสูงส่งกว่าข้า แม้ว่าเ้าจะชนะแต่ก็ไม่ใช่ชัยชนะอย่างนักสู้”
ถงอวิ๋นเฟยยิ้มอย่างมีพลังมากขึ้น สิ่งที่เขารอคือคำพูดของฉินอวี่ เขาจึงพูดว่า “เช่นนั้นข้าจะระงับระดับฝึกฝนเพื่อสู้กับเ้า เ้าอยู่ขั้นยุทธ์ระดับเก้า ข้าจะยอมระงับไว้ที่ขั้นยุทธ์ระดับแปดเพื่อต่อสู้กับเ้า เป็อย่างไร?”
ถงอวิ๋นเฟยไม่รู้ว่าฉินอวี่กำลังรอคำพูดเช่นนี้ของเขา ถงอวิ๋นเฟยอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเทียนชุ่ย ไม่ว่าจะอย่างไรฉินอวี่ก็ยากที่จะชนะ แต่ถ้าเขาระงับระดับฝึกฝน...
ฉินอวี่ยิ้มบางๆ และเขาพูดนิ่งๆ ว่า “ถ้าเ้าอยากต่อสู้จริงๆ หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน และก็จะเป็เวลาเพียงครึ่งเดือนก่อนงานชุมนุมการประลองของเทียนอู่ พวกเราค่อยกลับมาพบกันบนลานประลอง แบบนี้เป็เช่นไร?”
ใช่ว่าฉินอวี่จะกลัวถงอวิ๋นเฟย แต่ในตอนนี้เขากังวลว่าหากเอาชนะถงอวิ๋นเฟยได้อีกฝ่ายก็คงจะโกรธมาก หากยืดเวลาออกไปจนถึงเวลาหนึ่งเดือนนั้น ความพะวงของฉินอวี่ก็จะหมดไปแล้ว หลังจากเอาชนะถงอวิ๋นเฟย ไม่กี่วันก็จะเริ่มงานชุมนุม ถึงตอนนั้นเมื่อตนเองและฉินเสวี่ยได้เข้าสู่สำนักยุทธ์ว่านจ้ง ถงอวิ๋นเฟยก็จะไม่กล้าทำอะไรแล้ว
เมื่อถงอวิ๋นเฟยเห็นว่าฉินอวี่กล้าท้าทายเขาจริงๆ เขาก็เยาะเย้ยและพูดว่า “อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าก็อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า บอกเวลาสถานที่มาได้เลย”
“เมื่อถึงเวลานั้นเ้าจะรู้เอง” ฉินอวี่พูดจบ ก็ดึงตัวสยงท่าเทียนและหันหลังกลับไป
จื่อซวินเอ๋อที่อยู่้ามองไปที่ฉินอวี่ ดวงตาของนางสั่นไหว ครึ่งเดือนก่อนงานชุมนุมหรือ? เป็ไปได้หรือไม่ว่า... ฉินอวี่้าต่อสู้กับถงอวิ๋นเฟยหลังจากประลองกับชุยซั่ว? แม้ว่าถงอวิ๋นเฟยจะระงับระดับการฝึกฝนของเขา แต่ความแข็งแกร่งของเขาไม่สามารถประเมินได้ เื่นี้ฉินอวี่มั่นใจอย่างนั้นหรือ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว ปากของจื่อซวินเอ๋อก็อดที่จะยิ้มและเผยความคาดหวังออกมาไม่ได้