ตอนที่ฮวารั่วซีเป็เด็ก นางเป็บุตรสาวคนโปรดของท่านอ๋อง และมีซางจือิเป็ผู้ติดตามของนาง มีหน้าที่ปกป้องและดูแลนางเท่านั้น
ต่อมาท่านอ๋องทรงมอบฮวารั่วซีให้เขาดูแล ซางจือิยังมีความคิดแบบนี้เช่นกัน เขากอดนางไว้ในอ้อมแขนปกป้องนางและ้ามีลูกกับนาง
สุดท้ายแล้วก็เป็เพียงเื่เพ้อฝัน นางถูกกำหนดให้ไม่ใช่เป็เพียงภรรยาของคนทั่วไป ทว่านางถูกกำหนดให้เป็สตรีผู้สูงศักดิ์ที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้
เมื่อถึงเวลานี้ อีกไม่นานก็จะมีโอกาสที่เป็ไปได้แล้ว
เพียงแต่ว่าโอกาสเช่นนี้ เป็โอกาสสุดท้ายที่ต้องก้าวข้าม ซึ่งไม่อาจก้าวไปอีกแม้เพียงครึ่งก้าว
ทว่า เขามีความสุขมากแล้ว
มั่วหนงยืนเฝ้าประตูอย่างเบื่อหน่าย และหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ซูอิ่งมอบให้มองดูอย่างใกล้ชิด โดยไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ทว่าจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงะโของฮวารั่วซีจากข้างใน “มั่วหนง......”
นางรีบม้วนผ้าเช็ดหน้าขึ้นแล้วเก็บไว้ในอกเสื้อ ผลักประตูเปิดออก และรอคำสั่งของฮวารั่วซีด้วยท่าทีนอบน้อม เมื่อได้ยินฮวารั่วซีพูดว่า “ดึกแล้ว หยิบตะเกียงพาไปหมอหลวงซางกลับสำนักหมอหลวง และนำยากลับมาให้ข้าด้วย”
มั่วหนงตอบรับอย่างรวดเร็ว ฮวารั่วซีมีนิสัยขี้สงสัยหวาดระแวงและไม่เคยวางใจให้ผู้อื่นปรุงยา ที่ผ่านมั่วหนงจะเป็ผู้ปรุงยาเองตลอด คิดว่าดึกขนาดนี้ยังต้องไปห้องเสวย ทำให้มั่วหนงก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย ทว่าก็ต้องทำไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ
ซางจือิจึงทูลลาและติดตามมั่วหนงออกไป
ทั้งสองฝั่งทางในวังหลวงไม่มีต้นไม้ แสงจันทร์หนาวเย็นสาดส่องลงบนทางเดินที่คดเคี้ยว พร้อมกับแสงสีเหลืองที่เปล่งประกายออกมาจากโคมไฟ มั่วหนงเดินไปข้างหน้าโดยมองดูเหงื่อที่บนหน้าอกและรอยย่นบนร่างกายของซางจือิ ในวังหลวงมีความลับมากเกินไป หากทำเป็ไม่รู้ได้ก็ไม่ต้องรู้ หากทำเป็ไม่เห็นได้ก็ไม่ต้องเห็น
แม้ว่าซูเฟยจะสูญเสียอำนาจไปบ้าง ทว่ายังคงช่วยเต๋อเฟยจัดการดูแลตำหนักหลัง สถานะของนางไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแค่คำว่า ‘พระสนม’ ก็มีอำนาจเหนือคนจำนวนไม่น้อย มั่วหนงรู้สึกว่าตนเองสามารถเป็นางกำนัลข้างกายซูเฟยและยังมีความสำคัญเพียงนี้ ดังนั้นจึงหวังเพียงว่าซูเฟยจะปลอดภัยตลอดไป ไม่เกิดเหตุร้ายใดๆ ความลับดังกล่าวก็จะเป็ความลับตลอดไป
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดก็มาถึงสำนักหมอหลวง ซางจือิมอบใบสั่งยาแก่นาง จากนั้นจึงส่งนางออกไปนอกประตู
“เมี้ยว.....” ทันใดนั้นก็มีเงาดำทะมึนผ่านเข้ามา ทำให้มั่วหนงใมาก จนมือไม้อ่อนแรงจนยาตกลงพื้น โชคดีที่ยาห่อไว้อย่างแ่าจึงไม่ได้รับความเสียหาย มั่วหนงรู้สึกผิดแล้ว รีบไปที่ห้องเครื่องหลวงทันที
ซางจือิเห็นนางรีบออกไป จึงไม่คิดมากอันใด จากนั้นหันหลังกลับและสังเกตเห็นบางอย่างอยู่ใต้เท้าของเขา จึงก้มลงหยิบขึ้นมาเห็นว่าเป็ผ้าเช็ดหน้า แม้ว่าไม่เข้าใจ ทว่าเมื่อดูก็รู้ว่าเป็ผ้าปักลายที่งดงามอย่างมาก
ซางจือิหันกลับมา ขณะกำลังเรียกนาง ทว่าไม่คาดคิดว่าร่างของนางได้หายไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงเก็บไว้ในแขนเสื้อของเขาแล้วค่อยหาเวลาคืนให้
เมื่อกลับมาถึงเรือน จึงตรวจดูยาทีละรายการ ซึ่งเป็ยาระงับประสาท คืนนี้ฮวารั่วซีมีอารมณ์ตื่นเต้นเกินไป หากนางนอนไม่หลับก็จะทำให้โรคเก่าของนางกำเริบอีกครั้งได้
ในขณะกำลังเขียนเทียบยา ซางจือิก็รู้สึกสับสนอยู่ในใจอีกครั้ง
ตอนนี้แม้ความอบอุ่นของอิสตรีที่แนบชิดได้หายไปแล้ว ทว่ากลิ่นหอมกรุ่นยังคงติดอยู่ในจมูก
เพื่อนางแล้ว เขาเต็มใจที่จะสละทุกสิ่งแม้แต่ชีวิตตนเอง ทว่าสิ่งที่ทุ่มเทไปนั้น กลับไม่มีวันได้รับสิ่งใดตอบแทน
ซางจือิปล่อยวางความคิดนี้ ยืนขึ้นแล้วเดินไปข้างๆ ชั้นวาง
บนชั้นวางมีบันทึกการรักษาของนางสนมในวังหลวง เขาวางประวัติการรักษาของฮวารั่วซีไว้ที่เดิม ขยับมือไปที่ประวัติของนางสนมอื่น สุดท้ายก็หยิบประวัติการรักษาออกมาสองเล่ม
แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างลงมาตกกระทบบนใบหน้าของเขา ไม่มีใครรู้ว่าหมอหลวงซางซึ่งมักจะมีใบหน้าอ่อนโยน จะมีท่าทางที่โเี้เช่นนี้
...…
ซูอิ่งตากผ้าห่มของเหยียนอู๋อวี้ไว้ที่ลานในเรือน จากนั้นจึงหยิบอ้ายเฉ่า (*โกฐจุฬาลัมพา) ไปที่ห้องของนางกำนัล
โรคระบาดที่เหอเป่ยนับวันจะรุนแรงขึ้น เมื่อได้ยินว่ามีผู้ลี้ภัยจำนวนมากเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองหลวง แม้จะยังไม่ระบาดมาในวังหลวง ทว่าเหยียนอู๋อวี้สั่งให้ซูอิ่งเผาอ้ายเฉ่า (*โกฐจุฬาลัมพา) เพื่อฆ่าเชื้อโรค
ในตำหนักเฟิ่งชัยมีคนไม่มากนัก ทว่ามีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ ดังนั้นซูอิ่งเพียงคนเดียวไม่สามารถทำได้และนางต้องหาคนมาช่วยเหลือสักสองสามคน
หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงร้องไห้แ่เบา ทันใดนั้นซูอิ่งขมวดคิ้ว เดินไปตามเสียงนั้น เห็นนางกำนัลซ่อนอยู่ที่ซอกเล็กๆ ในสวนหินกำลังร้องไห้
ซูอิ่งะโด้วยเสียงต่ำ “เหตุใดจึงร้องไห้ อยากโดนโบยใช่ไหม?”
นางกำนัลผู้นั้นใกลัว รีบเช็ดน้ำตาและคุกเข่าลงด้วยความตื่นตระหนกทันที จากนั้นจึงพูดว่า “พี่ซูอิ่ง โปรดไว้ชีวิตด้วย พี่ซูอิ่ง โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย"
ซูอิ่งก้าวไปข้างหน้าและพูดเสียงเ็าว่า “เ้าก็รู้กฎในวังหลวงดี ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดห้ามร้องไห้ เพราะจะนำความโชคร้ายมาให้พวกเ้า รีบเช็ดน้ำตาเดี๋ยวนี้”
นางกำนัลผู้นั้นพยักหน้าทันทีและขณะเช็ดน้ำตานางก็อดหลั่งน้ำตาไม่ได้ ซูอิ่งนั่งยองๆ อย่างไม่เต็มใจแล้วถามว่า “เกิดเื่อันใด? ถูกผู้ใดรังแกก็ต้องอดทน ในวังหลวงแห่งนี้ไม่มีผู้ใดไม่เคยถูกรังแก?” แม้แต่นายหญิงของพวกเราก็ต้องอดทนต่อการลงโทษอย่างมาก ทนทุกข์ทรมานมากกว่าเ้า เหตุใดเ้าถึงต้องมานั่งเสียใจเช่นนี้!”
นางกำนัลหลั่งน้ำตาและพูดว่า “ความคับข้องใจในตำหนักหลังนั้นไม่ใช่เื่ใหญ่อันใด เพียงแต่บิดามารดาทั้งสองคนที่บ้านข้า เมื่อวานพี่ชายบอกว่าพวกเขาเสียชีวิตแล้ว”
“เสียชีวิตแล้วหรือ?” ซูอิ่งเห็นใจนางเป็อย่างมาก ไม่มีผู้ใดเกิดมาจากก้อนหิน ยิ่งกว่านั้นนางเองก็ยังรอเพื่อออกจากวังหลวง เพื่อกลับไปอยู่กับครอบครัวในบั้นปลายของชีวิต จึงได้แต่ปลอบใจนางว่า “เช่นนั้นก็ช่วยอันใดไม่ได้ คนมีเกิดมีตาย”
“ไม่......ไม่ได้เป็เช่นนั้น ก่อนหน้านี้พวกท่านมีสุขภาพแข็งแรงดี เพียงแค่......คือว่า......” นางกำนัลส่ายศีรษะและพูดตะกุกตะกัก และขณะนั้นนางได้ยินเสียงของป้าโฉ่วจากด้านหลัง “เ้า.....เป็คนเหอเป่ยใช่ไหม?”
ซูอิ่งและนางกำนัลต่างใมาก รีบยืดตัวขึ้นและคุกเข่าคำนับ
เหยียนอู๋อวี้ยืนอยู่ด้านหลังป้าโฉ่ว
เมื่อเห็นนางกำนัลกำลังร้องไห้ ป้าโฉ่วจึงพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “เมื่อครู่เ้าเพิ่งบอกว่าบิดามารดาเ้ามีสุขภาพแข็งแกร่ง ทว่าเหตุใดพวกเขาจึงเสียชีวิตอย่างกะทันหัน?”
นางกำนัลพูดอย่างระมัดระวังว่า “บ่าวมาจากเหอเป่ยจริงๆ เ้าค่ะ ที่บ้านเกิดโรคระบาด ทำให้บิดามารดาเสียชีวิตลงเมื่อไม่กี่วันก่อน บ่าวเสียใจมากเ้าค่ะ จึงไม่ได้ปฏิบัติตามกฎของวังหลวง นายหญิงโปรดเมตตาด้วย”
“นายหญิง เปี่ยมด้วยเมตตา ไม่ตำหนิเ้า” ดวงตาของป้าโฉ่วเต็มไปด้วยความสงสาร
เหยียนอู๋อวี้พูดเบาๆ “ผู้ใดบ้างไม่มีบิดามารดา ข้าอยากให้เ้ากตัญญู จึงไม่ตำหนิเ้า ซูอิ่งเ้ามอบเงินให้นางสิบตำลึง นางไม่สามารถออกจากวังหลวง ทว่าจะได้ใช้เงินนี้เพื่อแสดงความกตัญญู!”
นางกำนัลเงยหน้ามองเหยียนอู๋อวี้ด้วยความประหลาดใจ และกล่าวขอบคุณนางทันที ซูอิ่งมอบเงินให้นางแล้วจากไปพร้อมกับทุกคน
เหยียนอู๋อวี้มองมวลดอกไม้ลานในตำหนัก ทว่านางกลับอารมณ์ไม่ดี “โรคระบาดนี้รุนแรงมากเพียงนี้”
สำหรับโรคระบาดที่เหอเป่ย แม้เหยียนอู๋อวี้จะอยู่ในวังหลวง ทว่าเพราะโจวหลู่ชิงเป็สาเหตุที่ทำให้นางรู้ข้อมูลมากกว่าคนอื่น
ได้ยินมาว่ามีคนตายมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้อพยพก็หนีออกไปซึ่งรวมทั้งผู้ป่วย จึงทำให้โรคระบาดแพร่ระบาดออกไปในวงกว้าง
ไม่กี่วันต่อมา เ้ากรมกิจการคลังติดโรคระบาดแล้วเช่นกัน และยาก็ไม่อาจเยียวยารักษา
องค์หญิงใหญ่ไม่ทิ้งโอกาสใหญ่นี้ โดยหาเหตุผลโจมตีเ้ากรมการคลังทันที จากนั้นก็มีคนยื่นจดหมายเปิดผนึกโดยไม่ระบุชื่อ เพื่อเปิดโปงการทุจริตในการช่วยเหลือผู้ประสบโรคระบาดนี้ จึงทำให้ขุนนางต่างโกรธแค้นมาก