หลินฟู่อินคิดไว้แล้ว ไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนรอบสองจะเริ่มขายได้ในอีกเจ็ดถึงแปดวัน รอบสามเองก็เริ่มผลิตไปแล้ว ดังนั้นรอบสี่ก็ควรจะต้องเริ่มเก็บในอีกสองวัน
แต่นางเห็นว่ารอบสองกับรอบสามมีเป็พันฟองแล้ว ทั้งยังเพิ่งผ่านมาไม่นาน นางจึงกลัวว่าแต่ละบ้านอาจจะยังเก็บมาได้ไม่มากนัก นางจึงถามต้ายา “เราเก็บไข่ไปสองรอบแล้ว ถ้าอย่างนั้นคิดว่าบ้านฝั่งพวกท่านป้าจะเก็บได้กี่ฟองในอีกสองสามวัน?”
เห็นหลินฟู่อินกังวลเื่นี้ แม่ของต้ายาจึงตบขาดังฉาดแล้วส่งเสียง “เื่นี้นี่เอง”
“ฟู่อิน เ้าจะห่วงเื่นี้ไปทำไมกัน? พี่สะใภ้ของข้ามาถามข้าตอนที่พวกนางได้ยินว่าข้าพาต้ายาไปตระเวนเก็บไข่ ว่าทำไปเพื่ออะไร และให้ไปเก็บจากหมู่บ้านพวกนางด้วย”
นี่มิใช่ความกลัว
หลินฟู่อินถอนหายใจโล่งอกออกมาเงียบๆ
“หากท่านป้าและต้ายามีเวลาไปเก็บให้ข้า ก็เริ่มได้เลย” หลินฟู่อินเจอผู้ดูแลฮวาที่พร้อมจะทุ่มเงินเพื่อซื้อสูตรแล้ว ถ้าเป็เช่นนั้นก็แปลว่าไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนยังไปต่อได้
ได้ยินคำของหลินฟู่อิน เหลียงซื่อและแม่ของต้ายาก็ทวีความดีใจขึ้นอีก และพยายามบอกให้หลินฟู่อินอยู่กินด้วยกัน แต่หลินฟู่อินตอบไปว่าที่บ้านนางเองก็มีเช่นกัน จึงต้องกลับ
“ท่านแม่ เนื้อที่หลินฟู่อินเอามาให้ทั้งไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป ขาหมูเองก็หนักกว่าสองจิน เป็ดครึ่งตัวนั่นก็อย่างน้อยสิบจิน ส่วนเนื้อนี่ครึ่งจิน” แม่ของต้ายามองเหลียงซื่อด้วยสีหน้าจริงจัง
เหลียงซื่อรู้ว่าหลินฟู่อินส่งอาหารตุ๋นมาให้เยอะ แต่คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็อาหารหรูหราทั้งหมด ทั้งยังมีปริมาณมากเสียด้วย
จูซื่อเบิกตาขึ้นแล้วกล่าว “หมดนี่เป็เงินไม่น้อย ข้าได้ยินมาว่าขาหมูจากภัตตาคารหลิวไช่ในตลาดสวีจีในเมืองก็ขายกันขาละสิบอีแปะ ข้ายังไม่เคยทานเลยเพราะมันแพงมาก!”
เหลียงซื่อเองก็พยักหน้า กล่าวว่า “ในเมืองมีร้านขายอาหารตุ๋นอยู่ร้านเดียว และที่หนูฟู่อินหิ้วมานี่ก็ไม่ต่ำกว่าสี่สิบอีแปะแน่ มันเป็ของขวัญชิ้นใหญ่ จนการตอบแทนกลายเป็เื่ยากไปเลย”
ผู้คนในแคว้นต้าเว่ยนั้นให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน เมื่อหลินฟู่อินให้อาหารหลายสิบอีแปะแก่บ้านเฉียนเช่นนี้ จึงกลับกลายเป็ปัญหาสำหรับบ้านเฉียนไปแทน…
“ท่านแม่ รอให้ท่านพ่อกลับมาก่อนเถอะ ตอนนี้ก็รับน้ำใจของฟู่อินไว้ก่อน” สะใภ้ใหญ่กล่าว
เพราะนางได้เงินมาเยอะจากการทำงานให้หลินฟู่อิน นางจึงคิดว่าในอนาคตเอง นางก็คงจะให้ต้ายาและซื่อยาทำงานให้หลินฟู่อินเช่นกัน
ฟังคำของสะใภ้แล้ว เหลียงซื่อก็พยักหน้า ตอนนี้รับน้ำใจไว้ก่อน ที่เหลือรอพวกสามีกลับมาแล้วค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย
“อ้อ และพวกข้าได้ยินมาว่าฟู่อินเพิ่งไปบอกให้หลินบ้านสองเก็บถั่วปากอ้าให้นางด้วย… ท่านแม่ ท่านว่าถั่วปากอ้าสดที่ย่าหลี่เอามาให้นั้นทำจากถั่วตากแห้งพวกนั้นหรือไม่?” จูซื่อก่ายหน้าผากพลางมองเหลียงซื่อ
เหลียงซื่อหันมามองแล้วพยักหน้า “เป็ไปได้ เด็กนั่นหัวดีมาก การจะทำอะไรเช่นนั้นได้คงไม่น่าแปลกใจนัก อีกทั้งนางยังให้หลินบ้านสองไปเก็บถั่วปากอ้ามาให้อีก พวกเ้าทั้งสองก็หาโอกาสไปบ้านแม่หรือหมู่บ้านไกลๆ แล้วซื้อกลับมาบ้างเสีย”
“ท่านแม่ การเก็บถั่วเช่นนั้นมันก็ต้องใช้เงิน เก็บมาแค่นิดเดียวก็ไม่คุ้มเท่าไรด้วย รอท่านพ่อกลับมาแล้วค่อยคุยไม่ดีกว่าหรือ?” แม่ของต้ายาคิดว่าถั่วปากอ้ามันไม่ค่อยมีประโยชน์นักหากไม่ได้นำมาทานแทนผัก และในบ้านของพวกนางเองก็เก็บเกี่ยวได้เยอะแล้ว เสียแค่นางยังไม่รู้ว่าการทำถั่วปากอ้าสดมันจะยุ่งยากหรือไม่เท่านั้น
เหลียงซื่อฟังคำของลูกสะใภ้แล้วจึงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงเงินที่มีในมือ และแผนในการสร้างบ้าน รวมไปถึงเื่การทำกิจการ โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลินฟู่อินเองก็ล้มแผนถั่วปากอ้าไปแล้วเช่นกัน
“ลืมมันไปดีกว่า เราจะรอดูกันว่าฟู่อินจะเอายังไง หากนางทำแล้วไปได้สวย ปีหน้าเราค่อยไปหามาขาย” เหลียงซื่อตัดสินใจเสร็จ จึงปิดประเด็นเื่นี้ลง
เมื่อหลินฟู่อินกลับถึงบ้าน ย่าหลี่ก็ได้หั่นอาหารไว้ให้เรียบร้อย ทั้งยังต้มข้าวต้มไว้ให้ด้วยเพื่อทานคู่กันเป็มื้อเย็น
“ฟู่อิน ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมาทานข้าวกัน” เมื่อย่าหลี่เห็นหลินฟู่อินตั้งท่าจะกิน แต่เปลี่ยนใจวิ่งไปหาเ้าตัวน้อยทั้งสองก่อน ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ที่ว่าเืข้นกว่าน้ำนี่คงเป็เื่จริง เวลามีไม่มากแท้ๆ แต่ก็ยังฝืนไปหาน้องๆ”
หลินฟู่อินเม้มปากแล้วถาม “วันนี้ทั้งสองทำตัวดีหรือไม่เ้าคะ?”
“ดีสิ มีวันไหนบ้างที่ไม่ดี?” ย่าหลี่เองก็ยิ้มออกมาเมื่อพูดถึงเด็กๆ ใบหน้าชรานั้นย่นลงด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล “เพราะเ้ายอมจ่ายให้จูซื่อและสะใภ้ เ้าตัวน้อยเลยกินดีอยู่ดีทุกวัน นมมีพอไม่ขาด ดังนั้นทุกครั้งที่เ้าโผล่มาอุ้ม ทั้งสองจึงอิ่มหนำเสมอ การอิ่มหนำเช่นนี้นับเป็เื่ที่ดี”
หลินฟู่อินหยีตายิ้มอย่างมีความสุข
“โชคดีที่ทั้งสองเป็น้องของเ้า หากเป็บ้านทั่วๆ ไปคงไม่ได้อยู่อย่างมีความสุขเช่นนี้แน่” ย่าหลี่วางจานลงบนโต๊ะพลางถอนหายใจออกมา
หลินฟู่อินมองเ้าตัวน้อยทั้งสองที่กำลังหลับสนิทอยู่ แล้วดวงตาก็หยีมากขึ้นไปอีก
นางพยายามมากในการหาเงิน และแรงใจในการทำงานส่วนใหญ่ก็มาจากเ้าตัวน้อยทั้งสองนี้…
หลังจากกินมื้อเย็นกับย่าหลี่อย่างเอร็ดอร่อยแล้ว หลินฟู่อินจึงเดินไปยังบ้านสองที่เพิ่งกินเสร็จเช่นกัน โดยที่ทั้งบ้านยังอยู่กันพร้อมหน้ารอบโต๊ะอาหารอยู่เลย
เมื่อเห็นหลินฟู่อิน หลินต้าเหอ เฟิงซื่อและเด็กๆ ทั้งสามจึงพากันลุกขึ้นมาทักทายนาง แล้วเฟิงซื่อก็รีบร้อนถาม “ฟู่อินกินอะไรหรือยัง?”
“เรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ!” หลินฟู่อินยิ้มแล้วตอบ “ท่านป้าสอง ข้ามาหาพี่อาเฟิน พี่อาฟาง กับพี่ซานหลาง”
ในเวลานี้ฟ้ายังไม่ทันมืด เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงเริงร่าทั้งหลายยังคงเล่นกันอยู่ข้างนอก เฟิงซื่อมองฟ้าแล้วยิ้มออกมา “อย่างนั้นซานหลาง อาเฟิน อาฟางก็ตามออกไปเล่นกับฟู่อินเสีย เล่นให้หายอิ่มแล้วค่อยกลับมานอนก็ได้”
หลินเฟิน หลินฟาง และหลิงซานหลางต่างก็ยิ้มออกมา
หลินฟู่อินไปจับมือหลินเฟินและหลินฟางไว้ก่อนเดินออกไปข้างนอก หลินซานหลางคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเดินตามทั้งสามออกไป
เฟิงซื่อมองแผ่นหลังของเด็กๆ ทั้งสี่แล้วกล่าวกับหลินต้าเหอ “เด็กๆ เหล่านี้ช่างน่ารักนัก ดูแล้วราวกับเป็พี่น้องท้องเดียวกันเลย! ขอแค่รักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ ก็ไม่มีทางที่จะไม่มีความสุขมิใช่หรือ”
“ไม่ผิดเลย ข้าเองก็อยู่มานาน ผ่านอะไรมาก็มาก แล้วตอนนี้ก็ได้มีชีวิตอย่างมีความสุขเช่นนี้” หลินต้าเหอมองแผ่นหลังของเด็กๆ แล้วก็มีความสุข เขาหวังจริงๆ ว่าอยากให้ตระกูลหลินมีความกลมเกลียวเป็อันหนึ่งอันเดียวกัน
หากตระกูลหลินยังอยู่ดี เขาก็พอใจ
เมื่อบ้านใหญ่และบ้านสามขัดแย้งกันเช่นนี้ เขาก็รู้สึกปวดใจไม่ขาด
เฟิงซื่อนั้นทั้งศรัทธาและขอบคุณหลินฟู่อินเป็อย่างมาก นางจึงกล่าว “จากที่ข้าได้ััมา ต่อให้ฟังคำบ่นของคนเฒ่าคนแก่ในบ้านไปก็ใช่ว่าจะมีอะไรดี บ้านสองของเราอยู่ใต้บ้านใหญ่มานานถึงเพียงนั้น แล้วเรามีชีวิตแบบใด? แล้วตอนนี้เรามีชีวิตแบบใดภายใต้การนำของหลินฟู่อินหลังจากแยกบ้านออกมา? ได้เวลาที่เ้าจะต้องตัดสินใจแล้ว!”
หลินต้าเหอเห็นภรรยาพูดถึงเื่นี้ขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าก็มลายหายไป “เ้ายกเื่นี้ขึ้นมาพูดทำไมกัน เดี๋ยวนี้พี่ใหญ่ไม่แม้แต่จะคุยกับข้าแล้วด้วยซ้ำ!”