เล่มที่ 2 บทที่ 53
หลังจากแม่รองเฉินพูดจบ นางหันไปพูดกับสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างว่า “หลิงเอ๋อร์ ไปเอายาที่อยู่ในห้องมาให้ที ไม่ว่าจะยาตัวไหนที่พอจะใช้งานได้ก็นำมาให้หมด ถ้าไม่พอ ข้าจะไปเอายาที่ห้องยามาให้”
ทันทีที่คำพูดของแม่รองเฉินสิ้นสุดลง สาวใช้ที่ยืนอยู่ทางด้านขวาก็คำนับ “รับทราบ บ่าวจะไปนำมาให้เดี๋ยวนี้”
ปรากฏว่า สาวใช้คนนั้นคือหลิงเอ๋อร์?
มู่หรงฉิงจำได้ว่า นางได้ยินมู่หรงอั้นพูดกับยวี้เอ๋อร์ในคืนนั้นว่า จงระวังหลิงเอ๋อร์ให้มาก อย่าถูกอีกฝ่ายวางกับดักเอาได้ล่ะ ดูเหมือนว่ามู่หรงอั้นก็รู้ถึงแผนการของอนุหนิงด้วยเช่นกัน และมากไปกว่านั้น เขารู้ด้วยว่า แม่รองเฉินและหลิงเอ๋อร์ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
ท่านพ่อที่ดีของข้า ท่านพ่อรู้จักสั่งกำชับยวี้เอ๋อร์ให้ระวัง แต่ท่านพ่อไม่เคยคิดเลยหรือว่า ท่านพ่อได้ส่งลูกสาวเข้ามาในพื้นที่ที่อันตรายมากแค่ไหน จิตใจต้องโเี้อำมหิตมากเพียงใด?
เมื่อเห็นหลิงเอ๋อร์เดินจากไปไกล มู่หรงฉิงก็ถอนสายตาออกมาพร้อมน้ำตาคลอหน่วย หลิงเอ๋อร์ผู้นั้นหน้าตาน่ารักอย่างมาก หากพิจารณาจากการก้าวเดินของนาง มันดูสง่างามกว่าคุณหนูในครอบครัวเล็กๆ เสียอีก
สำหรับสายตาของมู่หรงฉิงยามขยับไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของหลิงเอ๋อร์ในความคิดของแม่รองเฉิน นั่นเป็สายตาแห่งความหวังราวกับกลัวว่าหลิงเอ๋อร์จะก้าวเดินช้าลงอย่างไรอย่างนั้น
“ฉิงเอ๋อร์อย่ารีบร้อนนัก โชคชะตาของข้า แม้ไม่ดี แต่ร่างกายของข้านั้นแข็งแรงมาก ฮูหยินผู้เฒ่ามีเมตตา ฮูหยินผู้เฒ่าจะส่งยาที่จำเป็ต้องใช้บ่อยๆ มาให้ทุกเดือน ในนั้นยังมียาบางตัวที่รักษาอาการาเ็ของกระดูกและกล้ามเนื้อ แค่หวังว่าสาวใช้ในเรือนของเ้าจะใช้ได้”
ก่อนที่แม่รองเฉินจะพูดจบ มู่หรงฉิงได้ขยี้ตากับผ้าเช็ดหน้าอีกหน และน้ำตาก็ไหลทะลักออกมา “ขอบพระคุณแม่รอง สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้... ฉิงเอ๋อร์... ฉิงเอ๋อร์ก็ไม่มีอะไรจะพูด เพียงแต่ยวี้เอ๋อร์ได้รับความทุกข์ทรมานมาก เนื่องจากข้า ข้าหวังว่านางจะรอดชีวิตจากภัยพิบัติในคราวนี้ได้...”
หลังจากพูดจบ มู่หรงฉิงก็สั่นไหล่ของตนเองพร้อมกัดริมฝีปากแน่น และกลืนคำพูดที่กำลังจะเอ่ยกลับเข้าไป
ฟังจากคำพูดของมู่หรงฉิงราวกับนางเป็ห่วงยวี้เอ๋อร์มาก แต่นางไม่ได้เอ่ยถึงฮูหยินผู้เฒ่าในทางที่ไม่ดีแม้แต่ครึ่งหนึ่ง ทว่าหน้าตาซึ่งแสดงออกถึงความคับข้องใจของนางก็เพียงพอที่จะบ่งชี้ให้เห็นว่า นางเคียดแค้นต่อการตัดสินอย่างโเี้ของฮูหยินผู้เฒ่า
แม่รองเฉินเบี่ยงสายตาเล็กน้อย หันไปมองแสงสุดท้ายยามดวงอาทิตย์ตกดิน เพียงชำเลืองมองปราดหนึ่ง แสงระเรื่อก็ถูกกลืนหายไปก่อนท้องฟ้าจะเข้าสู่ความมืดอย่างสมบูรณ์ จากนั้นจึงเห็นดวงดาวระยิบระยับตามมา
“ท้องฟ้ามืดลงแล้ว” แม่รองเฉินถอนหายใจเบาๆ พร้อมดึงมู่หรงฉิงด้วยความเห็นอกเห็นใจ มู่หรงฉิงมองตามสายตาของแม่รองเฉินที่มองขึ้นไปบนฟ้า พร้อมพูดพึมพำในใจว่า ‘การแสดงที่ดี ได้เริ่มต้นแล้ว’
“สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าทำไปก็เพื่อเ้า เ้าลองคิดดูถ้าคนที่วางยาพิษคนนั้นคือ ยวี้เอ๋อร์จริงๆ ควรจะเก็บยวี้เอ๋อร์คนนั้นไว้หรืออย่างไร?”
ท้องฟ้ามืดลงแล้ว บ่าวสองสามคนจุดโคมไฟบนทางเดิน เมื่อชำเลืองมองจะเห็นว่าทางเดินโค้ง สว่างไสวขึ้นเล็กน้อย เมื่อมองจากระยะไกลจึงคล้ายดวงดาวบนท้องฟ้า สวยงามมาก
คำพูดของแม่รองเฉินะเือารมณ์ของมู่หรงฉิงอย่างเห็นได้ชัด ถึงกระนั้นนางก็กัดริมฝีปากแน่นโดยไม่พูดอะไร ทั้งสองเดินเข้าไปในศาลาบริเวณใกล้เคียง ขณะทรุดตัวลงนั่ง มู่หรงฉิงได้เว้นระยะห่างจากแม่รองเฉินเล็กน้อย
การกระทำของมู่หรงฉิงดูเหมือนไม่มีอะไร แต่แม่รองเฉินเลิกคิ้ว พริบตาต่อมาดวงตาของนางก็เป็ประกาย “เด็กดี แม่รองรู้ดีว่าเ้าเป็ห่วงเป็ใยสาวใช้ยวี้เอ๋อร์คนนั้น มีใครบ้างที่ไม่มีคนรู้ใจอยู่เคียงข้าง เมื่อพูดถึงสาวใช้ที่อยู่เคียงข้างเ้าคนนั้น ดูแล้วก็ซื่อสัตย์ภักดียิ่งนัก คิดว่าสาวใช้คนนั้นน่าจะถูกปรักปรำ เ้าก็คงจะเสียใจเหมือนกัน”
หลังจากที่แม่รองเฉินกล่าวถ้อยคำเ่าั้ มู่หรงฉิงกลับไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด แต่ปี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมู่หรงฉิงก้มศีรษะลงพร้อมยกมือขึ้นจับแขนเสื้อของตัวเองแน่น
มู่หรงฉิงหันหลังให้กับปี้เอ๋อร์ นางย่อมไม่ได้สังเกตเห็นพิรุธของปี้เอ๋อร์ แต่แม่รองเฉินซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมู่หรงฉิงสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ครั้นแม่รองเฉินเห็นมือของปี้เอ๋อร์จับแขนเสื้อแน่นขึ้น ริมฝีปากของเ้าตัวก็โค้งขึ้นโดยธรรมชาติ จากนั้นพูดว่า “สาวใช้รอบตัวมีความจงรักภักดี นี่นับว่าเป็วาสนาของเ้านายอย่างพวกเรา คิดว่าเ้าก็คงจะรู้ดี ข้าอยู่ในจวนแห่งนี้มีสถานะต่ำต้อย ไม่มีอำนาจอะไร แม้ว่าข้าจะมีสถานะเป็เ้านาย ถึงกระนั้นกลับดูไม่เข้ากันเล็กน้อย ถ้าจะบอกว่าข้าเป็เ้านายแต่ผู้ชายของข้าได้จากไปแล้ว จะมีใครฟังข้าล่ะ? แต่ถ้าบอกว่าข้าเป็บ่าว ฮูหยินผู้เฒ่าจิตใจดี ย่อมปฏิบัติต่อข้าเช่นลูกสะใภ้”
พูดจบประโยคแม่รองเฉินก็ถอนหายใจ “เด็กดี แม่รองเฉินรู้ถึงความทุกข์ใจและความคับข้องใจของเ้าเป็อย่างดี แม่รองเคยผ่านประสบการณ์เช่นนั้นมาก่อน บางครั้งต้องปล่อยวาง อย่าไปคิดมาก ไม่ไปต่อรองทุ่มเถียง แค่นั้นเ้าก็จะไม่หงุดหงิดแล้ว”
น้ำเสียงในคำพูดของแม่รองเฉินคล้ายปราศจากอารมณ์ใดๆ ราวกับนางเป็บรรพชิตเต๋า ผู้มีสมณศักดิ์สูงจนสามารถปล่อยวางความทุกข์ของการเกิดแก่เจ็บตายและมองโลกในแง่ดีได้อย่างไรอย่างนั้น
ก็รู้อยู่แก่ใจว่า แม่รองเฉินสร้างภาพในจินตนาการซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าการดึงระยะห่างระหว่างคนทั้งสองคนให้ใกล้ชิดกัน มู่หรงฉิงจึงตอบสนองตามความปรารถนาของแม่รองเฉิน เนื่องจากแม่รองเฉินกระตือรือร้นที่จะแสวงหาผลสำเร็จให้ได้โดยเร็ว เช่นนั้นลองพยายามเป็ไปตามที่นางอยากให้เป็ดีหรือไม่?
เวลายามค่ำคืน ท้องฟ้ามืดมิดแม้แต่ดวงจันทร์ยังถูกเมฆบังแสง ถึงในจวนจะสว่างไสวไปด้วยแสงจากโคมไฟ ทว่าก็เป็เื่ยากที่จะเห็นท้องฟ้าในระยะไกล
สำหรับค่ำคืนนี้สิ่งที่มู่หรงฉิงได้ฟังคือการแสดงออกอันจริงใจอย่างยิ่งของแม่รองเฉิน ประกอบกับสายตาเป็กังวลของอีกฝ่าย
หากไม่ทราบในตอนแรกว่าแม่รองเฉินและอนุหนิงเป็พวกเดียวกัน เกรงว่านางคงจะคิดคล้อยตามไปกับแม่รองเฉินผู้ซึ่งบอกเล่าถึงความคับข้องใจมากมายในจวนแห่งนี้ จนมองโลกอย่างไม่ได้แยแสสิ่งใด
เมื่อนึกถึงการวางแผนซ้ำๆ หลายหนของยวี้เอ๋อร์เพื่อผูกนางกับแม่รองเฉินเข้าด้วยกัน มู่หรงฉิงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า แม่รองเฉิน้าใช้นางทำอะไร? มีชีวิตมาจวบจวนวันนี้ นางไม่เคยข้องเกี่ยวกับแม่รองเลยแม้แต่เศษเสี้ยว แต่แม่รองเฉินคนนี้กลับกระตือรือร้นที่จะทำความคุ้นเคยกับนางถึงปานนี้ ด้วยจุดประสงค์อะไรหรือ? ถึงขนาดยวี้เอ๋อร์ต้องยอมเสี่ยงล่อซูมู่หานเข้ามาในจวนเฉินเช่นนั้น
หลังจากแม่รองเฉินพูดจบ มู่หรงฉิงก็ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด นางได้แค่มองดูถนนที่หลิงเอ๋อร์จากไป ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
แม่รองเฉินเห็นความวิตกกังวลของมู่หรงฉิง ดวงตาของนางพลอยเป็ประกายก่อนจะพูดต่อ “ได้ยินมาว่า วันนี้สาวใช้คนนั้นถูกสั่งให้นั่งตากแดดใน่เวลาบ่าย คิดว่าหลังจากผ่านไปสองวัน ผิวขาวอิ่มน้ำของนางคงจะเสียหาย กอปรกับอาการาเ็ หากรักษาไม่ดี จะต้องทิ้งรอยแผลเป็ไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
แม่รองเฉินพูดเช่นนั้นส่งผลให้มู่หรงฉิงหันกลับไปมอง สายตาของเด็กสาวมีความกระตือรือร้น ทั้งยังเอ่ยถามโดยไม่รอให้แม่รองเฉินพูดต่อ “แม่รองมีสูตรยาที่ดีหรือไม่? ยวี้เอ๋อร์ดีไปเสียทุกอย่าง แต่นางชอบอวดหน้าตาของตัวเอง ถ้าทิ้งรอยแผลเป็ไว้บนตัวและผิวของนาง ใบหน้าขาวเนียนของนางคงไม่เหลืออีกต่อไป ถึงเวลานั้นนางจะต้องเสียใจมากเป็แน่”
“ถ้าจะบอกว่ามี ก็มีอยู่” หลังจากแม่รองเฉินพูดครึ่งหนึ่ง นางได้เว้นจังหวะก่อนจะพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “เพียงแต่…”
“ในเวลานี้ฉิงเอ๋อร์รีบอย่างมาก และท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว คิดว่าถ้าฉิงเอ๋อร์จะออกไปด้านนอกจวน เกรงว่าจะไม่ได้ ขอแม่รองได้โปรดมอบสิ่งนั้นให้ฉิงเอ๋อร์ ฉิงเอ๋อร์ยินดีจะแลกกับแม่รองในราคาสองเท่า” ครั้นได้ยินว่าแม่รองเฉินมียาที่ดีสำหรับการรักษาผิวและกล้ามเนื้อ มู่หรงฉิงก็รีบคว้ามือของแม่รองเฉิน และพูดด้วยความวิตกกังวลว่า “แม่รองคงรู้ว่ายวี้เอ๋อร์อยู่กับฉิงเอ๋อร์เป็เวลานานกว่าสิบปี ใน่เวลาหลายปีที่ผ่านมา ฉิงเอ๋อร์ไม่ได้มอบสิ่งที่ดีให้ยวี้เอ๋อร์ แต่กลับนำพาความโชคร้ายมาให้นางมากมาย ถ้า... ถ้ายวี้เอ๋อร์เป็อะไรไปเพราะข้า...”
มู่หรงฉิงสำลักและพูดไม่ออก
สีหน้าและอากัปกิริยาของมู่หรงฉิงทำให้แม่รองเฉินถอนหายใจอีกหน จากนั้นดึงมือของมู่หรงฉิงวางไว้ในฝ่ามือของนาง และตบเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “เอาเถอะ มันก็ไม่ใช่ยาวิเศษของเทพเซียนอะไรเช่นนั้น จำเป็จะต้องแลกเปลี่ยนเสียที่ไหนกัน ข้าจะให้เ้า เห็นแก่ความจริงใจของเ้าที่มีต่อบ่าวทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ”
พูดจบแม่รองเฉินได้มองไปที่ปี้เอ๋อร์อย่างตั้งใจ ประจวบเหมาะกับปี้เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองมู่หรงฉิง ทันทีที่สายตาของปี้เอ๋อร์สบกับสายตาแม่รองเฉิน มันก็สายเกินไปที่จะถอนสายตาแห่งความไม่พอใจซึ่งสายตานั้นได้อยู่ในครรลองสายตาของแม่รองเฉินอย่างพอเหมาะพอเจาะ ปี้เอ๋อร์กระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบลดสายตาลงและไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นอีก
ปี้เอ๋อร์ก้มศีรษะลงและไม่พูดอะไรแต่สีหน้าของแม่รองเฉินกลับดีมาก เสียงของนางยิ่งอ่อนโยนนุ่มนวล ระหว่างพูดกับสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ว่า “เฉี่ยนเฟิง เ้าไปเอาขี้ผึ้งหยกของข้ามาให้ฮูหยินน้อยที”
เฉี่ยนเฟิงผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังแม่รองเฉินได้ยินว่าให้ไปเอาขี้ผึ้ง นางก็ใทันที “แม่รอง ท่านไม่ควรทำเช่นนั้น นั่นมัน...”
“ข้าบอกให้เ้าไปเอา เ้าก็ไปเอามาสิ มีอะไรที่ทำไม่ได้หรือ?” น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลแต่เดิมของแม่รองเฉินแปรเปลี่ยนเป็ไม่พอใจเล็กน้อย นางแผดเสียงใส่เฉี่ยนเฟิง “ยังไม่ไปอีก ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ถ้าสายกว่านี้ คุณชายรองหาฮูหยินน้อยไม่พบ คงจะวิตกกังวลมากเป็แน่”
เฉี่ยนเฟิงถูกแม่รองเฉินตำหนิจึงไม่กล้าพูดอีกต่อไป นางเดินออกจากศาลาเพื่อไปหยิบขี้ผึ้งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน
“แม่รอง ขี้ผึ้งหยกนั้นแพงมากหรือ? ถ้าเป็เช่นนั้นก็ไม่เป็ไร วันพรุ่งนี้ข้าจะไปหาหมอเพื่อสั่งยาก็ได้” มู่หรงฉิงเห็นละครของนายและสาวใช้ของแม่รองเฉินอย่างกระจ่างชัดเจน ถึงกระนั้นก็ยังตอบสนองตามสถานการณ์ด้วยการเอ่ยถามสิ่งที่ควรจะถาม
“มันก็แค่ยารักษาิัและกล้ามเนื้อขวดหนึ่งเท่านั้นเอง จะราคาแพงเท่าไรกัน” ระหว่างพูด หลิงเอ๋อร์ที่ไปนำยามาให้ กลับมาพร้อมสาวใช้สองคน คนหนึ่งมาพร้อมกับจานและแม้กระทั่งเฉี่ยนเฟิงที่เพิ่งไปหยิบยาก็ติดตามหลิงเอ๋อร์กลับมาด้วย
“แม่รอง บ่าวนำยาทั้งหมดในห้องของแม่รองมาแล้ว เมื่อหลายอึดใจก่อนด้วยความเร่งรีบ จึงนำขี้ผึ้งนั้นมาด้วย” คำพูดของหลิงเอ๋อร์อธิบายสาเหตุของการกลับมาของเฉี่ยนเฟิง
“อืม เ้ารอบคอบมาก เมื่อหลายอึดใจก่อนข้าก็คิดไม่ถึงเช่นเดียวกัน” แม่รองเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเมื่อพวกสาวใช้วางจานบนโต๊ะหิน จากนั้นหันศีรษะไปพูดกับมู่หรงฉิง “เ้านำยาเหล่านี้กลับไปก่อน ข้าจะไปคุยกับหมอประจำจวนอีกหน และให้เขาไปดูอาการของสาวใช้คนนั้น”
ทันทีที่ยามาถึง มู่หรงฉิงก็ไม่รอช้า นางรีบขอบคุณแม่รองเฉิน “ฉิงเอ๋อร์ขอบคุณแม่รองเฉินในนามของยวี้เอ๋อร์ ใน่หลายวันนี้ ข้ายุ่งทั้งวันจึงไม่ได้ไปคำนับแม่รอง หลังจากเื่ราวคราวนี้ผ่านพ้น ฉิงเอ๋อร์เกรงว่าจะต้องไปรบกวนและพูดคุยกับแม่รองเฉินแล้ว”
“รบกวนอะไรกัน อย่ามองว่าจำนวนคนในจวนแห่งนี้มีมาก ที่จริงแล้วในจวนเงียบเชียบอย่างมาก มีคนให้พูดคุยได้เพียงไม่กี่คน ถ้าเ้าสามารถมาคลายความเบื่อหน่ายให้กับข้าได้ ข้าจะดีใจมาก” แม่รองเฉินกล่าวจบและกำชับให้หลิงเอ๋อร์ช่วยส่งยาไปที่เรือนม่อเหอ จังหวะนั้นก็เห็นร่างสูงรีบเดินเข้ามา
“ดูสิดู หนุ่มสาวคู่นี้รักกันมากจริงๆ เพิ่งจะแยกกันไม่นาน คุณชายรองก็ตามหาจนเหงื่อท่วมตัวแล้ว” แม่รองเฉินสัพยอกมู่หรงฉิงขณะชี้นิ้วมือไปทางชายหนุ่ม
เมื่อมองไปในทิศทางที่แม่รองเฉินชี้นิ้วมือก็เห็นเฉินเทียนหยูกำลังเดินใกล้เข้ามาอย่างรีบร้อน เขาย่ำเท้ารวดเร็วราวกับสายลมพัดในยามค่ำคืน
“น้องหญิง ข้าตามหาเ้าอย่างยากลำบาก แต่เ้ากลับซ่อนตัวอยู่ที่นี่เอง” หลังจากพบตัวมู่หรงฉิงในท้ายที่สุด เฉินเทียนหยูจึงบ่นในทันที บ่งชี้ให้เห็นว่าไม่พอใจที่มู่หรงฉิงหายตัวไปอย่างกะทันหัน
“ข้าแค่ออกมาเดินเล่นเฉยๆ” ครั้นเฉินเทียนหยูเดินมาถึงด้านนอกศาลา มู่หรงฉิงก็พูดเบาๆ ว่า “ข้าบังเอิญเจอกับแม่รองเฉิน จึงคุยกับแม่รองเฉินสักพัก”
“แม่รองก็อยู่ด้วยหรือ?” เฉินเทียนหยูคล้ายเพิ่งจะเห็นแม่รองเฉินหลังจากได้ฟังคำพูดของมู่หรงฉิง ดวงตาใสคู่หนึ่งวนรอบใบหน้าที่ยิ้มแย้มของแม่รองเฉิน ก่อนกวาดสายตามองยาสมุนไพรบนโต๊ะ “นี่คืออะไรหรือ? นี่ของใครหรือ?”
“นี่คือ... นี่คือยาสมุนไพร ใน่เวลานี้ ข้าสนใจเกี่ยวกับการแพทย์ จึงเตรียมที่จะฝึกแยกแยะยาสมุนไพรในยามว่าง” มู่หรงฉิงพูดอย่างคลุมเครือ เฉินเทียนหยูไม่เห็นความหมายในดวงตาวาววับเ่าั้ แต่แม่รองเฉินกลับยกมือขึ้น เช็ดเหงื่อบนใบหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้าและเพื่อซ่อนรอยยิ้มบนมุมปากของนาง