โม่ฉางชุนเสียชีวิต จ้านอู๋มิ่งกลับมีชีวิตรอดกลับมา ชายหนุ่มปรมาจารย์นักยุทธ์สูงสุดคนหนึ่ง กลับสังหารตัวประหลาดเฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดผู้หนึ่งดับสูญ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่จะกลายเป็ตำนานเล่าขานในแผ่นดินแห่งนี้
ปรมาจารย์นักยุทธ์ถึงราชันา จากราชันาถึงจักรพรรดิา หลังจากมหาจักรพรรดิาแล้วจึงเป็จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนจำนวนมากเริ่มต้นคำนวณกันแล้ว ช่องว่างระยะห่างนี้มีความแตกต่างของระดับขอบเขตมากมายขนาดไหน แต่จ้านอู๋มิ่งได้สร้างสรรค์ตำนานเช่นนี้ขึ้นมาแล้วบทหนึ่ง
แน่นอน จ้านอู๋มิ่งสังหารจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดผู้หนึ่งดับสูญ ไม่ได้อาศัยพลังฝีมือแท้จริงของตนเอง ใช้หัวแม่โป้งนิ้วเท้าคิดก็สามารถทราบเช่นกันว่า นั่นเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้ แต่แม้ว่าโม่ฉางชุนจะตายไปแล้วจริงๆ ต่อให้จ้านอู๋มิ่งไม่ได้ลงมือแม้แต่กระบวนท่าเดียว นั่นก็เป็กลยุทธ์และก็เป็วิธีการของจ้านอู๋มิ่งเช่นกัน…
ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป แทบทุกคนล้วนทราบว่า ที่เคยเรียกกันว่าสิบราชันพั่วเหยียนนั้น นั่นเพียงแค่เื่ขบขันเื่หนึ่งเท่านั้น มีชายหนุ่มที่โดดเด่นมากความสามารถจริงๆ เพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือราชันปีศาจป่วนโลกจ้านอู๋มิ่ง แน่นอน ข้อเท็จจริงมีความชัดเจนเนิ่นนานแล้ว จ้านอู๋มิ่งอาศัยพลังฝีมือปรมาจารย์นักยุทธ์สูงสุดเคยสังหารราชันวายุหนานกงเฉิง นี่คือความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ และการเดินทางสู่น่านน้ำมหาสมุทรคุนเผิงครั้งนี้ ดูเหมือนสิบราชันสิ้นชีวิตบวกกับหายสาบสูญไปจำนวนมากกว่าห้าคนแล้ว นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ยืนยันแล้วว่าสิบราชันพั่วเหยียนไม่ได้แข็งแกร่งทรงพลังอย่างที่คิดกัน แน่นอน ไม่มีผู้ใดทราบว่า พวกราชันห้าคนที่ดับสูญล้วนสืบเนื่องเพราะจ้านอู๋มิ่งทั้งสิ้น
บรรดาตัวประหลาดเฒ่าของสำนักนิกายต่างๆ มีการแสดงออกที่แตกต่างกันต่อการกลับมาของจ้านอู๋มิ่ง แต่ว่าการอิจฉาริษยาสำนักบริบาลเดรัจฉานนั้นเป็เื่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวถึงที่สุดแล้วการมีศิษย์เช่นนี้คนหนึ่ง สำหรับสำนักแล้วนั่นก็คือความร่ำรวยมั่งคั่งอย่างแท้จริง เวลานี้ดูเหมือนพวกเขาก็จะเข้าใจแล้วเช่นกันว่า ไฉนเยว่หลิงซานจึงได้ปกป้องจ้านอู๋มิ่งมากมายถึงเพียงนี้ เปลี่ยนเป็สำนักนิกายอื่น ผลลัพธ์ก็จะเป็แบบนี้เช่นเดียวกัน
กระบี่ัขนดวารีแดงของโม่ฉางชุน กลายเป็กระบี่หักแล้ว จ้านอู๋มิ่งไม่ได้้าจะปกปิดหรือเก็บไว้เป็ของส่วนตัว โยนส่งให้ตระกูลจู้โดยตรงไปแล้ว สำหรับแหวนจักรวาลของโม่ฉางชุน นั่นถูกทำลายพินาศสิ้นในทัณฑ์สายฟ้าแล้ว คิดจะหาก็หาไม่เจอ แน่นอน นี่คือสภาพการณ์ที่จ้านอู๋มิ่งบอกกับทุกคน ผลลัพธ์ที่แท้จริงใช่เป็เช่นนี้หรือไม่ ผู้ใดจะสามารถทราบได้บ้าง? กล่าวถึงที่สุดเวลานี้ผู้ใดจะสามารถบากหน้าเฒ่าชรานี้ไปค้นตัวจ้านอู๋มิ่งบ้าง พูดขึ้นมาแล้วบนร่างจ้านอู๋มิ่งมีแหวนจักรวาลจำนวนมากมายอย่างยิ่งจริงๆ ท่านจะทราบได้อย่างไรเล่าว่า แหวนจักรวาลวงใดบรรจุข้าวของต่างๆ ของโม่ฉางชุนเอาไว้?
โม่ฉางชุนถูกกำจัดโดยจ้านอู๋มิ่ง เช่นนั้นสิ่งของที่ริบมาได้ เหตุใดจึงไม่สามารถเป็ของจ้านอู๋มิ่งเล่า เพียงแค่นึกถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพย์สมบัติและของวิเศษที่อยู่ในแหวนจักรวาลของคนที่เป็ถึงจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดแล้ว เพียงแค่คิดๆ ดูก็ทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉาตาร้อนแล้ว
“ตอนนี้จอมยุทธ์น้อยจ้านกลับมาอย่างปลอดภัย ถ้าเช่นนั้นสัญญาข้อที่สองของจอมยุทธ์น้อยจ้านก็ควรจะดำเนินการตามสัญญาแล้ว ดูเหมือนว่าจอมยุทธ์น้อยจ้านจะทราบเื่ราวของตระกูลโม่มากมายยิ่งนัก และคล้ายดั่งพวกเราก็มิเคยได้ยินเช่นกันว่ามีการดำรงอยู่ของตระกูลโม่เช่นนี้มาก่อน…มิทราบว่าตระกูลโม่นี้มีภูมิหลังความเป็มาเช่นไรกันแน่?” เสวียนเสวียนจื่อคิดๆ แล้วถามขึ้น สิ่งที่เขาใส่ใจมากที่สุดคือตระกูลโม่สามารถควบคุมตระกูลของเมืองวันสิ้นโลกได้ เช่นนั้นแล้วสำหรับแต่ละสำนักนิกายก็สามารถใช้วิธีเดียวกันหรือไม่ สำนักิญญาเร้นลับในฐานะที่เป็สำนักอันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะ เขาจำเป็จะต้องทำความเข้าใจต่อวิกฤตที่อาจมีอยู่ั้แ่เนิ่นๆ โดยเร็วที่สุด
สิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เสวียนเสวียนจื่อถามขึ้น เหล่าบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ให้ความสนใจเป็อย่างยิ่ง พวกเขาไม่ทราบว่าจ้านอู๋มิ่งทราบข่าวของตระกูลโม่มาจากที่ใด
“ก่อนที่จะพูดถึงเื่นี้ นอกจากจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์แล้ว ขอให้คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกไปก่อน เนื่องเพราะเื่นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ข้าไม่้าให้มีการรั่วไหลใดๆ โดยมิคาดหมาย” พลันการแสดงออกของจ้านอู๋มิ่งเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด เหลือบมองไปรอบๆ เที่ยวหนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
เหล่าบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์มองหน้ากัน จู้ชิงขวงให้ทุกคนในตระกูลจู้ที่เหลือถอยออกไป และตัวประหลาดเฒ่าของแต่ละสำนักนิกายก็ไม่ยืนกรานอีกต่อไปเช่นกัน เรียกลูกศิษย์อัจฉริยะของสำนักนิกายที่ยืนอยู่ด้านข้างให้ถอยออกไป ไม่นานในห้องโถงใหญ่ก็เหลือเพียงจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สิบกว่าคน สำนักนิกายหลักทั้งแปดแต่ละสำนักแทบจะมีเพียงตัวแทนหนึ่งคนเหลืออยู่ บวกกับตระกูลชนชั้นสูงหนานกงและตระกูลจู้ สำหรับตัวประหลาดเฒ่าผมแดงของสำนักอสูรโชคชะตา จ้านอู๋มิ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ดูแล้วเขาน่าจะเร่งรุดมาถึงเมืองวันสิ้นโลก หลังจากเหตุการณ์ในสมรภูมิรบกระดูกขาวจบลงแล้ว สำหรับเื่นี้จ้านอู๋มิ่งก็ไม่คัดค้านแต่อย่างใด
“ข้าเองก็ทราบมาจากตำราโบราณเล่มหนึ่งเช่นกัน นี่เป็ความลับที่เก่าแก่เนิ่นนานอย่างยิ่งอันหนึ่ง ถ้า้าสืบสาวย้อนหลังขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นแล้วต้องสืบย้อนหลังไปถึงในสมัยาเมื่อหลายแสนปีก่อน ตอนที่แผ่นดินแห่งนี้ยังไม่ได้ถูกผนึกปิดไว้”
“สืบย้อนหลังไปถึงสมัยา?” เหล่าบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์พากันประหลาดใจ เช่นนั้นไยมิใช่บอกว่าตระกูลนี้มีข้อมูลภายในภูมิหลังที่น่ากลัวอย่างยิ่ง แต่พวกเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่า มรดกตกทอดสมัยาที่จ้านอู๋มิ่งกล่าวมาเป็ความจริงหรือไม่กันแน่ แต่ต่างก็คาดหวังให้จ้านอู๋มิ่งพูดต่อไป
“ดินแดนที่พวกเราอาศัยอยู่นี้เรียกว่ามหาอาณาจักรเก้าเร้นลับ แบ่งแผ่นดินขนาดใหญ่ออกเป็เก้าแผ่นดิน และแผ่นดินพั่วเหยียนของพวกเราก็เป็เพียงหนึ่งในจำนวนนั้น ตำแหน่งตั้งอยู่ตรงใจกลาง ถูกเรียกขานเป็แผ่นดินตรงกลางแห่งมหาอาณาจักรเก้าเร้นลับ กอปรด้วยพลังเหนือธรรมชาติฟ้าดินมากที่สุด และมีอัจฉริยะในยุครุ่งเรืองเฟื่องฟูมากที่สุด ในเวลานั้นแต่ละแผ่นดินล้วนมีตระกูลใหญ่ผู้พิทักษ์หลายตระกูลอยู่ในทุกแผ่นดิน แผ่นดินตรงกลางเองก็มีตระกูลใหญ่ผู้พิทักษ์รวมทั้งสิ้นแปดตระกูลด้วยกัน น่าเสียดายที่อยู่มาวันหนึ่งบรรพบุรุษผู้หนึ่งของแผ่นดินตรงกลางเหินบินขึ้นสู่อาณาจักรเบื้องบน แล้วไปล่วงเกินตระกูลลึกลับที่น่าสะพรึงกลัวตระกูลหนึ่งเข้า ตอแยจนนำโชคร้ายแผ่ขยายลุกลามถึงดินแดนอาณาจักรเบื้องล่าง และแล้วภายใต้การสมรู้ร่วมคิดและสนับสนุนจากตระกูลลึกลับแห่งอาณาจักรเบื้องบน ได้ก่อเกิดเป็ศึกาครั้งใหญ่ที่พุ่งเป้ามายังแผ่นดินตรงกลางขึ้นมา ตลอดจนแม้แต่ชนเผ่าสมุทรก็ยังถูกพวกมันระดมมาเช่นกัน ภายหลังศึกาในครั้งนั้น ผู้พิทักษ์แปดตระกูลใหญ่ถูกกวาดล้างจนแทบเสียชีวิตหมดสิ้น มีเพียงคนจำนวนน้อยของตระกูลเท่านั้น ที่แทรกซึมเข้าไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเอาชีวิตรอด บทสรุปตอนท้ายที่ตามมาทุกท่านก็สมควรจะทราบกันแล้วเช่นกัน ตระกูลลึกลับในอาณาจักรเบื้องบนร่วมกับอีกแปดแผ่นดินของมหาอาณาจักรเก้าเร้นลับ ได้ทำการปิดผนึกแผ่นดินตรงกลางเอาไว้ ั้แ่นั้นเป็ต้นมาทำให้ตลอดทั่วทั้งแผ่นดินตรงกลางทั้งหมด ไม่มีผู้ใดสามารถเหินบินขึ้นสู่อาณาจักรเบื้องบนได้อีก ตลอดจนยังได้ปิดผนึกช่องทางของแผ่นดินตรงกลาง ที่สามารถััถึงพลังแก่นแท้จิติญญาของอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิ เพื่อให้พวกเราผู้ฝึกฌานบ่มเพาะในแผ่นดินแห่งนี้ อย่างมากที่สุดชะงักลงที่เพียงระดับขอบเขตเทพเ้าาเท่านั้น ถ้าผู้ใด้าบรรลุขอบเขตเหนือกว่าเทพเ้าา ก็จะไปกระตุ้นถูกเจตนาฟ้า ภัยพิบัติทัณฑ์สายฟ้าผลาญโลกาก็จะฟาดกระหน่ำลง นี่ก็เป็สาเหตุว่า ไฉนระยะเวลาหลายแสนปีมานี้ จึงไม่มีผู้ใดในแผ่นดินแห่งนี้สามารถเหินทะยานขึ้นไปได้เช่นกัน” จ้านอู๋มิ่งกล่าวมาอย่างยืดยาว
“ที่แท้เป็เช่นนี้เอง…” สีหน้าบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ไม่น่าดูอย่างยิ่ง พวกเขาย่อมทราบความลับบางอย่างที่เกี่ยวข้องบ้างแล้ว จากตำราโบราณของสำนักนิกาย แต่ตำราเ่าั้ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ไม่สมบูรณ์ ส่วนบันทึกใน่เวลาสมัยายิ่งมีน้อยยิ่งกว่าน้อย และมีเพียงเศษซากม้วนคัมภีร์ที่เก็บรักษาไว้อย่างไม่สมบูรณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งได้มาจากภายในซากปรักหักพังสมัยโบราณบางส่วนเท่านั้น ใน่เวลาหลายปีที่ผ่านมา แต่ละสำนักต่างก็ล้วนมีการปรับปรุงข้อมูลเพิ่มเติมและศึกษาตรวจสอบเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแปดสำนักนิกายหลัก ตำราที่สมบูรณ์มีจำนวนมากที่สุด
“หลังจากประสบกับาระหว่างแผ่นดินแล้ว แผ่นดินตรงกลางถูกชนเผ่าสมุทรโจมตีซ้ำอีก มรดกตกทอดจำนวนมากถูกทำลายหมดสิ้นระหว่างา หนังสือตำราลับจำนวนมากมายหายสาบสูญ ความจริงมรดกตกทอดของพวกเรา ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์มาเนิ่นนานแล้ว จากแปดสำนักนิกายหลักยังพอจะสามารถเห็นเงาเลือนราง ของแปดตระกูลใหญ่ผู้พิทักษ์แผ่นดินตรงกลางในตอนนั้นได้ แน่นอน ใน่เวลาหลายแสนปีที่ผ่านมานี้ ก็มิใช่ว่าจะไม่มีผู้ใดไปเสาะแสวงค้นหาความจริงของปีนั้น และแสวงหาโอกาสหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ของแผ่นดินแห่งนี้ เมื่อหลายหมื่นปีที่แล้วที่คุนเผิงผู้สูงส่งทำก็คือสิ่งนี้เอง คุนเผิงผู้สูงส่งในปีนั้นก็ดูเหมือนจะเข้าใจความจริงบางอย่างเกี่ยวกับการถูกปิดผนึกของโลกหล้านี้แล้วเช่นกัน ทราบว่าไม่สามารถที่จะทะลวงบรรลุถึงอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิได้โดยตรง และแล้วจึงคิดจะทำลายอุปสรรคออกเสียก่อน ทะลวงเข้าสู่อาณาจักรดินแดนปฐมภูมิผ่านจากทางด้านอื่นอีกแปดแผ่นดิน น่าเสียดายที่ร่องรอยการเดินของคุนเผิงผู้สูงส่งสุดยอดถูกคนทรยศ ดังนั้นคุนเผิงผู้สูงส่งสุดยอดจึงถูกรุมโจมตีในแผ่นดินอื่น โดยการร่วมมือของอีกแปดแผ่นดินในแผ่นดินแห่งมหาอาณาจักรเก้าเร้นลับ ตลอดจนแม้แต่คนของตระกูลลึกลับในอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิ ก็ยังลงมาอาณาจักรเบื้องล่างร่วมลงมือด้วย ถึงแม้พลังการต่อสู้ของคุนเผิงผู้สูงส่งจะแข็งแกร่งเกรียงไกร แต่สองหมัดยากจะต้านทานสี่กร ได้แต่พ่ายแพ้กลับมาแผ่นดินพั่วเหยียน กลับมาถึงบนแผ่นดินแห่งนี้ คุนเผิงผู้สูงส่งไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น และแล้วเขาก็คิดอีกวิถีทางหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นก็คือการลักลอบข้ามไป!”
“การลักลอบข้ามไป?” มีคนถามอย่างประหลาดใจ ไม่เข้าใจความหมายของจ้านอู๋มิ่ง
“นี่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับตระกูลโม่?” ตัวประหลาดเฒ่าผมแดงของสำนักอสูรโชคชะตาก็สอดแทรกถามขึ้นมาเช่นกัน
“ทุกท่านฟังที่ข้าพูดแล้วย่อมจะเข้าใจเอง” จ้านอู๋มิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย นิสัยของตัวประหลาดเฒ่าผมแดงจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ช่างใจร้อนนัก
“วิธีที่คุนเผิงผู้สูงส่งสุดยอดทำก็คือเลือกสถานที่บริเวณอ่อนแอที่สุด และลักลอบแอบสร้างประตูมิติที่นำไปสู่อาณาจักรดินแดนปฐมภูมิขึ้นแห่งหนึ่ง ด้วยวิธีนี้ทำให้ผู้ฝึกฌานบ่มเพาะในแผ่นดินพั่วเหยียน สามารถไปถึงอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิได้โดยตรงผ่านทางประตูบานนี้ โดยไม่ต้องไปััถึงชั้นค่ายกลปิดผนึกของฟ้าดิน” พูดถึงตรงนี้ สายตาจ้านอู๋มิ่งมองจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์โดยรอบคราหนึ่งพูดว่า “เชื่อว่าทุกคนที่เข้าสถานพำนักของคุนเผิงก็ได้เห็นแล้ว บานประตูขนาดใหญ่บานนั้นตรงต้นทางของแม่น้ำจิติญญา ในความเป็จริง ตำนานเล่าขานที่ว่าปีนั้นคุนเผิงผู้สูงส่งสร้างช่องทางไปสู่อาณาจักรดินแดนปฐมภูมินั้นไม่แปลกปลอม และมีเื่เช่นนี้จริงๆ มีสำนักนิกายส่วนหนึ่งยังแย่งชิงแผ่นป้ายศิลามาได้สองสามแผ่นตรงบริเวณนอกถ้ำของคุนเผิง มีคนพูดว่า บนแผ่นป้ายศิลานั้นมีลวดลายลับของคุนเผิง บันทึกเคล็ดวิชาลับของคุนเผิงเอาไว้ ซึ่งที่จริงแล้ว ถ้าหากมีคนคิดเช่นนี้ นั่นคือความผิดพลาดโดยสิ้นเชิงแล้ว เนื่องเพราะแผ่นป้ายศิลานั้นไม่ใช่เคล็ดวิชาลับอันใดเลย ชื่อที่แท้จริงของมันเรียกว่าเจิ้นเหยียนเปย[1] ลวดลายลับบนนั้นล้วนแล้วแต่คุนเผิงผู้สูงส่งสุดยอดใช้ความวิริยะอุตสาหะ เืตาแทบกระเด็นแกะสลักออกมา วัตถุประสงค์ก็คือเพื่อให้สามารถสะกดข่มลดทอนพลังสะท้อนกลับ จากอาณาจักรปฐมภูมิของช่องทางลับสู่อาณาจักรดินแดนปฐมภูมินั่นเอง และรักษาเสถียรภาพของบริเวณพื้นที่ผนังช่องทางสายนั้น ไม่ให้เส้นทางจากดินแดนเบื้องล่างสู่อาณาจักรดินแดนปฐมภูมิ ถูกรุกรานโดยกระแสปั่นป่วนของมิติที่วุ่นวายสับสน……น่าเสียดาย ขณะคุนเผิงผู้สูงส่งกำลังใกล้จะทำสำเร็จ ในนาทีสุดท้ายถูกพลังเจตนาฟ้าดินแห่งอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิสะท้อนกลับจนเสียชีวิต เหลือแต่เพียงเจตจำนงที่ไม่สูญสลายเท่านั้น คอยปกป้องพื้นที่บริเวณแถบน่านน้ำมหาสมุทรคุนเผิง”
“เ้าทราบเื่เหล่านี้มาจากที่ใด?” เสวียนเสวียนจื่อและบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนใใหญ่หลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสวียนเสวียนจื่อกับเหยียนเต้าจื่อและจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์หลายคนที่เคยไปยังสถานที่เร้นลับของคุนเผิง พลันจิตใจพวกเขาตื่นเต้นขึ้นมาทันใด ถ้าสิ่งที่จ้านอู๋มิ่งพูดมาเป็ความจริง เช่นนั้นคุนเผิงผู้สูงส่งได้กรุยทางให้พวกเขา มองเห็นสายใยแห่งความหวังสายหนึ่งแล้ว ความหวังที่จะเหินขึ้นสู่อาณาจักรดินแดนปฐมภูมิ หรือบางทีอาจเรียกเป็การลักลอบข้ามอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิ แน่นอน สำนักนิกายเ่าั้ที่แย่งชิงแผ่นป้ายศิลามาได้ต่างก็เคอะเขินอยู่บ้างเช่นกัน ภายในกระเป๋าของเสวียนเสวียนจื่อเองยังมีถึงสองแผ่นและภายในกระเป๋าของเยว่หลิงซาน ก็มีแผ่นป้ายศิลาที่เลวี่ยเหวินซิวแย่งชิงมาได้สองแผ่นเช่นกัน กลับคิดไม่ถึงว่าแผ่นป้ายศิลานี้เป็เพียงป้ายศิลาลดทอนปฐมภูมิที่ใช้สะกดข่มพลังสะท้อนกลับของช่องทางลับสู่อาณาจักรดินแดนปฐมภูมิเท่านั้น
“ข้าพบบันทึกแผ่นหยกชิ้นหนึ่งภายในสถานที่เร้นลับของคุนเผิง” จ้านอู๋มิ่งกล่าวพลางนำกระดูกลึกลับเรืองแสงศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนจักรวาล คล้ายหยกแต่ไม่ใช่หยก เปล่งประกายแสงสีม่วงจางๆ
“กระดูกของเทพเ้าา……”
“น่าจะอยู่เหนือเทพเ้าา……”
“ข้างบนมีพลังธาตุวายุที่เข้มข้น น่าจะบันทึกโดยคุนเผิง” พลันหนานกงหลิวอวิ๋นก็รู้สึกถึงพลังธาตุวายุสุดแสนเข้มข้นบนกระดูกลึกลับชิ้นนั้น ในดวงตาเขาฉายประกายความโลภขึ้นวูบ สำหรับเขากระดูกชิ้นนี้มีคุณค่ามากมายยิ่งนัก อย่างน้อยก็สามารถทำให้เขาเข้าใจความลับของธาตุวายุได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ตลอดจนทำให้ฐานการบ่มเพาะของเขารุดหน้าขึ้นอีกก้าว แต่เขาทราบว่า ยามนี้เป็ไปไม่ได้ที่เขาจะลงมือแย่งชิงมาจากจ้านอู๋มิ่ง นอกจากเขา้าเป็ศัตรูร่วมของบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ และคิดรนหาที่ตาย อันดับแรกแค่ด่านของเยว่หลิงซาน เทียนฉานจื่อและจู้ชิงขวงเขาก็ผ่านไม่ได้แล้ว
“ทุกคนสามารถลองดูสักครั้ง บันทึกเกี่ยวกับประตูทะลวงดินแดนอาณาจักรนี้ น่าจะเป็การจัดเตรียมของคุนเผิงผู้สูงส่งก่อนที่เขาจะเสียชีวิต บันทึกความลับนี้ไว้บนโครงกระดูกลึกลับแผ่นนี้” จ้านอู๋มิ่งไม่ได้เก็บกระดูกไว้ในมือ แต่โยนให้เหยียนเต้าจื่อโดยตรง จากนั้นเหยียนเต้าจื่อดูอย่างละเอียดแล้วก็ยื่นส่งต่อให้เสวียนเสวียนจื่อ บรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ส่งต่อผลัดกันดูรอบหนึ่ง พลันเชื่อถือสิ่งที่จ้านอู๋มิ่งพูดมาทั้งหมดเพิ่มขึ้นหลายส่วน สิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดบนกระดูกเทพาสีม่วงนี้ คือจิตสำนึกที่เหลืออยู่ของคุนเผิง ขอเพียงจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์หยิบกระดูกของเทพเ้าาชิ้นนี้ขึ้นหลับตาัั ย่อมสามารถทราบเนื้อหาทั้งหมดที่อธิบายอยู่ในนั้น จิตสำนึกเช่นนี้ไม่ได้สูญสลายหายไปนานนับหลายหมื่นปี ก็มีเพียงคุนเผิงผู้สูงส่งเท่านั้นจึงมีความสามารถขนาดนี้
“กล่าวเช่นนี้ แผ่นป้ายศิลาในมือพวกเราแต่ละสำนักต้องไม่อาจสูญหายอย่างเด็ดขาด เมื่อถึงเวลาพวกเราจะต้องร่วมรักษาให้เป็น้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อเตรียมพร้อมเผื่อสักวันหนึ่งจะมีโอกาสเปิดประตูบานนั้นสู่อาณาจักรดินแดนปฐมภูมิอีกครั้ง ไม่ทราบว่าทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?” พลันเสวียนเสวียนจื่อกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
หลังจากบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ได้ดูกระดูกสีม่วงแล้ว แผ่นป้ายศิลาเหล่านี้สำหรับพวกเขาแล้วเปรียบได้กับของเสียที่ไร้ประโยชน์จริงๆ แต่สำหรับแผ่นดินแห่งนี้ กลับเป็สมบัติวิเศษผลงานความสำเร็จคุณค่าอเนกอนันต์เลยทีเดียว เมื่อทุกคนได้ทราบสิ่งต่างๆ ที่คุนเผิงผู้สูงส่งกระทำมาทั้งหมดแล้ว พลันรู้สึกเคารพยกย่องคุนเผิงที่ล่วงลับไปหลายหมื่นปีแล้วนั้นมากยิ่งขึ้นอีกหลายส่วนทันที
ควรทราบว่า ใน่นั้นคุนเผิงพลังฝีมือสูงส่งล้ำเลิศในใต้หล้า ไร้เทียมทานเนิ่นนานแล้ว ในแผ่นดินแห่งนี้ไม่มีผู้ใดสามารถทัดเทียมได้ ด้วยความแข็งแกร่งของเขา หากหลังจากเข้าไปในอีกแปดแผ่นดินของมหาอาณาจักรเก้าเร้นลับ แล้วเหินบินขึ้นสู่อาณาจักรดินแดนปฐมภูมิทันที ล้วนไม่เป็ปัญหาแต่อย่างใด แต่คุนเผิงไม่ได้ทำเช่นนั้น เขากลับคิดแต่ว่าจะกลับไปยังแผ่นดินพั่วเหยียน แล้วสร้างบานประตูเข้าสู่อาณาจักรดินแดนปฐมภูมิได้อย่างไร เพื่อทำให้ผู้ฝึกฌานบ่มเพาะรุ่นหลัง ไม่ต้องถูกกีดกันด้วยข้อจำกัดของฟ้าดินแห่งโลกหล้านี้อีกต่อไป และทั้งๆ ที่ทราบแล้วว่าสุดท้ายตนเองอาจต้องจบชีวิตตกตายก็เป็ได้ ก็ยังคงไม่ละทิ้งเช่นเดิม แต่กลับเหลือบันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังได้มีโอกาสสร้างเส้นทางนี้ให้สำเร็จสมบูรณ์อีกครั้ง ความมุ่งมั่นนี้ทำให้บรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทุกคนล้วนรู้สึกเคารพศรัทธา
จ้านอู๋มิ่งเก็บกระดูกม่วงกลับคืนมา นี่คือสิ่งที่เหยียนชิงชิงและสื่อรั่วหนานเก็บกลับมาจากภายในถ้ำของคุนเผิง อาศัยอยู่บนเกาะเปลวเพลิงโหมกระหน่ำหลายเดือน มีเวลาว่างมากน่าเบื่อเกินไป จ้านอู๋มิ่งนำข้าวของสิ่งต่างๆ ที่สามหญิงสาวได้จัดระเบียบแยกแยะมาดูรอบหนึ่ง และกระดูกสีม่วงชิ้นนี้ได้ถูกจ้านอู๋มิ่งพบเห็นเข้าพอดี…
[1] ป้ายศิลาลดทอนปฐมภูมิ
