“ยังมีถู่วั่งด้วย เขากลับไปบอกท่านย่าของเขาก่อน พวกข้าจะรอเขาที่นี่สักพัก” เจินจูวางตะกร้าไผ่สานที่แบกอยู่ลง
ถู่วั่ง? เด็กชายที่ตัวผอมเล็กคนนั้น? นั่นสามารถช่วยอะไรได้
“ท่านอาฉางกุ้ยไม่ไปด้วยกันกับพวกเ้าหรือ?” หลัวจิ่งถาม
“ท่านพ่อไม่มีเวลา บ้านใหม่นั่นงานเยอะมาก พวกข้าไปกันเองก็พอ” เจินจูโบกไม้โบกมือ พลันนึกถึงเื่ที่จะฝากฝังขึ้นได้ “ยู่เซิง ตอนเที่ยงช่วยข้าให้อาหารเสี่ยวจินหน่อยนะ หั่นเนื้อกวางพะโล้ที่เหลืออยู่ทั้งหมดเป็ชิ้นๆ วางในถาดของมันก็พอแล้ว”
“…ได้”
หลัวจิ่งตอบรับด้วยเสียงกลัดกลุ้ม เมื่อไรขาของเขาจะหายเป็ปกตินะ ให้เขาช่วยให้อาหารนกอินทรีตัวโตทุกครั้งเลย นกอินทรีเหม็นโฉ่นั่นก็ไม่ได้ซาบซึ้งในพระคุณสักเท่าไร จ้องเขาอยู่นานถึงจะกินเนื้อลงไปได้
อาชิงได้ฟังถึงตรงนี้ รู้สึกเ็ปใจทันที เนื้อกวางพะโล้อาหารที่เอร็ดอร่อยเพียงนั้น ไม่นึกเลยว่าจะเอาไปเลี้ยงให้นกอินทรีตัวนั้นทั้งหมด ต้องสุรุ่ยสุร่ายเพียงนี้เลยหรือ!
เนื้อกวางพะโล้ของครอบครัวหูมีไม่มาก แค่หั่นหนึ่งถาดขึ้นโต๊ะเมื่อวานหนึ่งหน มีพะโล้หอมเข้าเนื้อ รสชาติอร่อยเนื้อนุ่มเด้งเป็พิเศษ อาชิงรู้สึกว่าเป็กับข้าวประเภทเนื้อที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยทานมา
ไม่คิดเลยว่าแม่นางสกุลหูจะเลี้ยงเนื้อทั้งหมดให้เ้าเดรัจฉานขนเรียบแบน เขาอยากตีอกชกหัวนัก!
อาชิงเงยหน้ามองไปทางเด็กหนุ่มรูปงามมีสง่าราศีบนหิน อาจารย์กล่าวว่าชายหนุ่มผู้นี้ลักษณะท่าทางสูงสง่า โครงร่างยอดเยี่ยมเป็ไปได้สูงที่จะกลายเป็ปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ เป็หน่ออ่อนชั้นดีของการฝึกศิลปะการต่อสู้ แม้อายุมากไปหน่อย แต่ขอเพียงยอมมุมานะร่ำเรียนอย่างเต็มที่ ต้องสามารถฝึกสำเร็จได้อย่างแน่นอน
หาได้ยากที่อาจารย์จะมีความคิดอยากรับศิษย์ แต่แม่นางสกุลหูกลับปฏิเสธออกมาโต้งๆ บอกว่าสกุลหูเชิญพวกเขามาทำหน้าที่สั่งสอนการต่อสู้ ไม่ใช่เปิดสำนักรับศิษย์ก่อตั้งพรรคขึ้น แล้วยังกล่าวว่าเด็กชายของครอบครัวพวกเขาไม่คิดจะกลายเป็ปรมาจารย์การต่อสู้หรือเข้าร่วมยุทธภพ เพียงเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีและไม่ถูกข่มเหงรังแกเท่านั้น
อาจารย์เงียบไม่พูดไม่จาเื่นี้ไปครึ่งค่อนวัน อาชิงแอบขุ่นเคืองเงียบๆ หากไม่ใช่อาจารย์ประสบคู่อริลอบทำร้าย อาศัยตำแหน่งยุทธภพกับฝีมือเป็เลิศของเขา คนตั้งเท่าไรที่อยากขอให้เขาเป็อาจารย์แต่ไม่สามารถทำได้
“พี่สาวเจินจู”
ถู่วั่งวิ่งเหยาะๆ เข้ามาตลอดทาง
“เอาล่ะ คนครบแล้ว พวกเราเดินทางกัน”
เจินจูโบกมือแล้วนำทางเด็กชายสองคนเดินไปทางูเา
“พี่สาวเจินจู ท่านย่าข้าบอกว่าขอบคุณสำหรับเนื้อกวางที่ครอบครัวท่านให้ นางอบชงโหยวปิ่งเป็พิเศษ ให้ท่านชิมดู” ถู่วั่งหยิบชงโหยวปิ่งร้อนกรุ่นสองชิ้นออกมาจากตะกร้าแบกหลังด้วยความระมัดระวัง
“ถู่วั่ง ไม่ต้องเกรงใจหรอก ข้าทานข้าวมาจากบ้านแล้ว ตอนนี้ยังไม่หิวเลย เ้าทานเถอะ” เจินจูลูบศีรษะเล็กของเขา ระยะนี้อาหารของเด็กชายตัวน้อยมีการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น ใบหน้าเล็กที่เหลืองเหมือนเทียนไขในที่สุดก็มีเนื้อขึ้นสักหน่อยแล้ว
“ข้า... ข้าทานมาจากบ้านแล้ว อันนี้นำมาให้ท่านโดยเฉพาะ” ถู่วั่งกอบชงโหยวปิ่งที่ห่อใบตองไว้ด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
“เช่นนั้นข้าชิมหนึ่งชิ้นแล้วกัน” เจินจูแบ่งออกครึ่งชิ้น “ที่เหลือเ้าทานเถอะ”
ถู่วั่งสายตาเป็ประกาย พยักหน้าด้วยความดีใจ “พี่ชายอาชิง ชิ้นนี้ให้ท่าน”
อาชิงกล่าวขอบคุณแล้วรับมา สำหรับอาหารแล้วแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยเหลือทิ้งเหลือขว้างเลย
“ถู่วั่ง ดวงตาท่านย่าเ้าดีขึ้นแล้วหรือ?”
“ดีขึ้นมากแล้ว หากเป็ตอนกลางวันฟ้าสว่างโร่จะมองได้ชัดเจนหน่อย พอฟ้ามืดก็เลือนลาง”
“อื้ม นั่นก็ไม่เลวแล้ว ต่อไปก็บำรุงให้มากๆ อย่าให้ท่านย่าเ้าร้องไห้อีก เดี๋ยวก็จะดีขึ้น”
“ทราบแล้ว พี่สาวเจินจู หมู่นี้ท่านย่าข้าล้วนไม่ร้องไห้เลย”
“ถู่วั่ง พรุ่งนี้ตวนอู่ [1] แล้ว อีกเดี๋ยวจับปลาตัวโตได้ เ้าก็หยิบไปหลายตัวหน่อย เพิ่มกับข้าววันพรุ่งนี้ หากทานไม่หมดก็ตากเป็ปลาแห้งไว้ได้”
“ขอบคุณพี่สาวเจินจู”
สามคนคุยกันเรื่อยเปื่อยมาตลอดเส้นทางจนมาถึงบึงมรกต
บึงมรกตยังคงร่มรื่นและเงียบสงัด เสี่ยวเฮยวิ่งมาถึงข้างบึง เริ่มกระทำการจับปลาตามปกติของมัน
อาชิงยืนอยู่ข้างบึง สังเกตปลาที่แหวกว่ายอยู่ในบึงอย่างละเอียด พบน้ำใสสะอาดมองทะลุก้นน้ำเห็นตัวปลาเป็กลุ่มกำลังแหวกว่ายไปมา หลังตื่นเต้นดีใจแล้วก็อดไม่ได้ที่จะร้องว้าวออกมาเสียงดัง
ชั่วพริบตาเดียวฝูงปลาก้นน้ำได้กระจายออกไปรอบทิศ เสี่ยวเฮยจ้องไปตามเสียงนั้น ในลูกตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เจินจูแสดงท่าทีให้อาชิงรักษาความเงียบสงบไว้ทันทีทันใด จะได้ไม่ทำให้ปลาใว่ายหนีไปอีก
อาชิงรีบเก็บเสียงและหัวเราะอย่างเก้อเขิน
สามคนต่างคนต่างหาสถานที่เหมาะสมแล้วเริ่มจับปลา
ฝีมือจับปลาของอาชิงไม่แย่ เขากับอาจารย์มีชีวิตหดหู่ตลอดทั้งปีสี่ฤดูไม่ได้ทานเนื้อ ปลาในแม่น้ำลำธารเล็กๆ จึงเป็อาหารจำพวกเนื้อที่ง่ายต่อการจับได้ดีที่สุด
ถู่วั่งก็จับปลาเป็เช่นกัน ต้นน้ำลำธารในหมู่บ้านมีพื้นที่น้ำตื้นที่หนึ่ง ถู่วั่งมักจะไปอยู่ที่นั่นบ่อยๆ แล้วจับปลาน้อยกุ้งเล็กใส่ตะกร้ากลับบ้าน
ส่วนเจินจูเลียนแบบวิธีของบิดา หาน่านน้ำเงียบสงบแล้ววางตาข่ายดักปลาลงไป หลังจากนั้นก็เฝ้าตอรอกระต่ายนิ่งๆ
เจินจูดักได้ลูกปลาตัวเล็กขึ้นมาเสียส่วนมาก ขณะที่อาชิงกับถู่วั่งลงมือได้ปลาตัวค่อนข้างใหญ่ สามคนยุ่งอยู่กับการจับปลาพักหนึ่ง ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในตะกร้าไผ่สานทั้งสามคนล้วนได้ปลาไปไม่น้อย
“พอแล้ว ไม่จับแล้ว ไอ๊หยา อาชิง เสื้อผ้าของเ้าล้วนเปียกโชกไปหมด รีบขึ้นมา น้ำในบึงเย็นมากนะ” เจินจูนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ด้านข้าง ะโเรียกอาชิงที่ลงไปแช่อยู่ในน้ำครึ่งตัวจากที่ไกลๆ
อาชิงทำหูทวนลม สองมือกุมตะกร้าไผ่ในน้ำอย่างใจจดใจจ่อ ไม่นานก็จับปลาขึ้นมาจากน้ำอย่างรุนแรงและรวดเร็ว “ฮ่าๆ ข้าจับได้ปลาตัวใหญ่เลยล่ะ”
“…”
เจินจูส่ายหน้าหมดคำพูด หยิบกระดาษน้ำมันหนึ่งแผ่นใหญ่ออกมาปูก้นตะกร้าไผ่สานอย่างพิถีพิถัน
ใส่น้ำในบึงลงไปเล็กน้อย หลังจากนั้นย้ายลูกปลาเล็กทั้งหมดที่จับขึ้นมาได้ใส่ลงไป
ทำงานเสร็จ ร้องเรียกเด็กชายสองคนเสียงดัง ให้เตรียมออกเดินทางกลับบ้าน
“ในบึงยังมีปลามากมายเพียงนั้น ควรจับกลับไปมากหน่อยสิ” อาชิงหาบตะกร้าไผ่สานใส่ลูกปลาที่จะนำไปเพาะพันธุ์แล้วบ่นพึมพำกับเจินจู
“จับมากเกินไปจะทานไม่หมด พอทำปลาเค็มก็เค็มเกินไปทานมากไม่ดี”
เจินจูชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง เ้าเด็กนี่หมกมุ่นอยู่กับของกินมากเกินไปแล้ว
“ไม่ดีอย่างไร? ปลาเค็มอร่อยมากเลย ทั้งเค็มทั้งสด ข้าสามารถทานข้าวได้สองถ้วยเลยนะ” อาชิงแย้งอย่างไม่ยอม
“…”
ไม่ต้องเป็ปลาเค็มเ้าก็ทานได้สองถ้วยเหมือนกันนี่ เจินจูมองบน “ไปๆ ที่บ้านมีกับข้าว ไม่ปล่อยให้เ้าหิวหรอก”
ถู่วั่งเดินอยู่ข้างหลัง หัวเราะอย่างไร้เดียงสา วันนี้เขาจับปลามาได้ค่อนข้างมาก ในตะกร้าที่แบกหลังมีปลาตัวโตมากมาย เพียงพอให้ครอบครัวเขาทานได้หลายวันเลย
กลับมาถึงบ้านเจินจูรีบปล่อยลูกปลาลงไปในสระน้ำ มีปลาที่มีชีวิตค่อนข้างโตสองสามตัวถูกปล่อยลงไปในสระ พร้อมกับเสียงบ่นพึมพำของอาชิง
พื้นผิวสระน้ำเล็กๆ สงบเงียบผืนหนึ่ง ไม่มีการกระเพื่อมรุนแรง ซุนเจี้ยนผู้ที่มาช่วยปลูกรากบัวกล่าวว่ารากบัวของครอบครัวนางปลูกช้าไปหน่อย ผลผลิตจึงได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่ขอเพียงเอาใจใส่ดูแลให้ดีก็ไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร
เจินจูเคยแอบใส่น้ำแร่จิติญญาจากมิติช่องว่างลงไปในสระน้ำสองครั้ง แน่นอนว่าน่านน้ำผืนใหญ่เช่นนี้ ผลของน้ำแร่จิติญญาเล็กน้อยมีจำกัด ปัจจุบันจึงยังไม่เห็นว่ามีประสิทธิภาพอะไรเกิดขึ้น
ปลาตัวโตไม่กี่ตัวที่เหลืออยู่มอบให้หลี่ซื่อจัดการ เจินจูล้างมือแล้วกลับเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง
ตอนที่นางดักปลา รองเท้าถุงเท้าและขากางเกงล้วนถูกน้ำซึมเปียกหมดแล้ว
อาชิงกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน หลังได้รู้ว่าอาจารย์ได้ทานข้าวกลางวันและยาสมุนไพรแล้วถึงไปทานอาหารกลางวันที่ห้องโถงได้อย่างสบายใจ
หลี่ซื่อนำกระดูกกวางที่เหลืออยู่ทั้งหมดมาเคี่ยวน้ำแกง เจินจูกำลังยกถ้วยน้ำแกงกระดูกซด
อาชิงเจริญอาหารอย่างมาก ฉวยกระดูกในน้ำแกงขึ้นมาแทะอย่างเอร็ดอร่อย
เจินจูเม้มปาก นางไม่ชอบความมันของน้ำแกงกระดูกกวางจึงวางถ้วยในมือลง
“อาการป่วยของอาจารย์เ้าดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง?” นางถาม
“อื้ม ดีขึ้นมากแล้ว” อาชิงแทะกระดูกไปพยักหน้าไป “เมื่อเช้านี้ ล้วนมีแรงลงพื้นมาล้างหน้าบ้วนปากเองได้แล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี รอให้ดื่มยาสมุนไพรครั้งนี้หมด ก็ให้ท่านพ่อข้าพาพวกเ้าไปให้ท่านหมอจางผู้นั้นดูอีกที” นางใส่น้ำแร่จิติญญาลงในยาของอาจารย์ฟางอยู่ไม่กี่ครั้ง ฟังความเห็นจากคำพูดท่านหมอจาง คือพิษตกค้างภายในร่างกายอาจารย์ฟางยากที่จะกำจัดให้หมด ผลของยาก็กำจัดพิษที่ตกค้างให้หมดไปได้ยาก นางไม่มีวิธีอื่นที่ดีแล้ว ทำได้เพียงใส่น้ำแร่จิติญญาเล็กน้อยลงไปในยาของเขา หวังว่าจะมีผลได้บ้างสักเล็กน้อย
“พี่สาวเจินจู ขอบคุณพวกท่านมากแล้วจริงๆ!” ดวงตาอาชิงแดงรื้นขึ้นฉับพลัน ่ที่อาการป่วยของอาจารย์กำเริบ กี่ครั้งแล้วที่เขาทำได้เพียงหลบออกมาร้องไห้อย่างช่วยอะไรไม่ได้ เขามีอาจารย์เป็ญาติเพียงผู้เดียว หากอาจารย์มาจากไป คาดว่าเขาเองก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้วเช่นกัน
“ไม่ต้องขอบคุณ รีบทานเถอะ รอให้อาจารย์เ้าร่างกายดีแล้ว สถานที่ฝึกสอนการต่อสู้ก็จัดทำขึ้นเสร็จพอดี” เจินจูปลอบเขา อายุน้อยนิดแบกรับภาระใส่ตัวไว้หนักเพียงนี้ ทำให้เขาลำบากแล้วจริงๆ
“อาชิง เ้ารู้ตัวอักษรหรือไม่?” นางถามขึ้นอีกครั้ง
“แน่นอนว่าต้องรู้สิ” ศีรษะเล็กของอาชิงเชิดขึ้น “อาจารย์สอนข้าให้รู้ตัวอักษรั้แ่เด็ก ตอนอยู่วัดเฉิงหวง หากซิ่วฉายหยางมีเวลาก็มักสอนข้ารู้จักตัวอักษรเล็กน้อยด้วย”
“ซิ่วฉายหยาง? ท่านพ่อของอาหยุนหรือ?”
ซิ่วฉายเลยนะ ทำไมใช้ชีวิตน่าเวทนาเช่นนั้น
“ใช่แล้ว ความรู้ของท่านพ่ออาหยุนมีมากมายเลย อาจารย์เคยชมตั้งหลายครั้ง” อาชิงชื่นชมด้วยความรู้สึกเป็เกียรติอย่างมาก
“อื้ม เช่นนั้นทำไมเขาถึงได้ตกอับมาถึงวัดเฉิงหวงล่ะ?” มีความรู้เพียงนี้ เปิดโรงเรียนส่วนตัวหาเลี้ยงปากท้องน่าจะไม่ยากกระมัง
“ปีก่อนท่านพ่ออาหยุนเดินทางไปสอบที่เมืองเอกประจำรัฐ แต่สอบไม่ผ่าน ท่านแม่อาหยุนก็ป่วยขึ้นมาอีก ทั้งครอบครัวสามคนเดินทางหยุดพักเรื่อยมา พอถึงอำเภอเจิ้นอันค่าเดินทางก็ใช้หมดแล้ว พอไม่มีเงินก็ถูกเถ้าแก่โรงเตี๊ยมไล่ออกมา จึงมาหยุดพักอยู่วัดเฉิงหวงชั่วคราว ทุกวันซิ่วฉายหยางล้วนเข้าไปตลาดเขียนจดหมายหรือเอกสารแทนคนเพื่อหาค่าเดินทาง” อาชิงค่อนข้างใกล้ชิดครอบครัวอาหยุน “ร่างกายซิ่วฉายหยางไม่ค่อยดีเท่าไร เงินครึ่งปีมานี้ของเขา ส่วนใหญ่ล้วนใช้ไปกับการหาหมอทานยาทั้งหมด เพราะอย่างนั้นถึงได้รวบรวมเงินค่าเดินทางกลับบ้านเกิดไม่ได้เสียที”
“ซิ่วฉายหยางไปสอบที่เมืองเอก ทำไมถึงพาท่านแม่ของอาหยุนกับอาหยุนไปด้วยเล่า? ไม่ใช่ว่าเดินทางสามคนยิ่งเปลืองเงินหรือ?” ซิ่วฉายที่พาคนในครอบครัวติดตามไปสอบด้วย เหตุการณ์เช่นนี้คงจะมีไม่มากกระมัง
อาชิงชะงัก กวาดตามองรอบๆ และกล่าวเสียงเบา “อาหยุนเคยแอบบอกเป็การส่วนตัวว่า ครอบครัวพวกเขากับญาติที่บ้านเกิดทางนั้นความสัมพันธ์ไม่ค่อยดี บิดาของอาหยุนกลัวว่าถ้าทิ้งพวกนางไว้บ้านเกิดแล้วจะถูกรังแก ดังนั้นจึงขายที่นาทิ้งเสียเลยแล้วทั้งครอบครัวก็ตามกันไปเมืองเอกประจำรัฐ”
บิดามารดาของซิ่วฉายหยางเสียชีวิตไปนานแล้ว เขาอยู่กับอาของเขาหนึ่งปี ผ่านไปหนึ่งปีซิ่วฉายหยางก็สอบเป็ซิ่วฉายได้ อาของเขาให้เขาไปขอหลานสาวคนหนึ่งจากครอบครัวอาสะใภ้เพื่อแต่งงาน ซิ่วฉายหยางไม่ยินดี เพราะเขารู้สึกดีต่อกันกับมารดาอาหยุ่นที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันนานแล้ว แค่รอให้เขาสอบเป็ซิ่วฉายได้จึงจะรุดหน้าไปสู่ขอ
อาสะใภ้ของซิ่วฉายหยางอาศัยว่าเป็ผู้าุโของเขา ยืนกรานไม่เห็นด้วยและเปลืองแรงอย่างเหนื่อยยากจนถึงที่สุด เพื่อ้าให้ซิ่วฉายหยางมาขอหลานสาวตนเองแต่งงาน เพราะเื่นี้ทั้งสองฝ่ายถึงได้ทะเลาะกันจนไม่มีความสุขอย่างมาก
ต่อมาภายใต้ความมุ่งมั่นของซิ่วฉายหยาง ในที่สุดก็ได้ขอมารดาของอาหยุนแต่งงานอย่างสมหวัง แต่ความสัมพันธ์ของตนเองกับครอบครัวอารองกลับเลวร้ายขึ้น
สองครอบครัวอาศัยอยู่ใกล้กันมาก อาสะใภ้ของเขามักใช้ฐานะความเป็อาสะใภ้ สั่งให้มารดาของอาหยุนทำสิ่งนี้สิ่งนั้นอยู่ตลอด สั่งเสียจนมารดาอาหยุนหัวหมุน พอวันหนึ่งซิ่วฉายหยางช่วยพูดให้ อาสะใภ้ของเขาก็กลิ้งไปมาทำตัวไร้ยางอายอย่างร้องไห้ปาดน้ำตา ปากเอาแต่ะโทำนองว่าในสกุลหยางเลี้ยงสุนัขป่าตาขาว [2] เพื่อภรรยาสาวแล้วจึงมากระด้างกระเดื่องใส่ผู้เป็อาสะใภ้ ทำเอาซิ่วฉายหยางโมโหจนสุดจะทนอยู่บ่อยๆ หากเขาเองไม่ไว้หน้าแล้วมาทะเลาะวิวาทกับผู้เป็อาสะใภ้ก็ไม่ได้เช่นกัน จึงทำได้เพียงคิดอะไรไม่ออกก็ให้นางเอะอะโวยวายไป
เจินจูฟังถึงตรงนี้ เบะปากอย่างอดกลั้นไม่ได้ ซิ่วฉายหยางผู้นี้เล่าเรียนมาหลายปีเสียเปล่าจริงๆ แม้แต่ฟู่เหรินเอะอะโวยวายยังเอาชนะไม่ได้
เชิงอรรถ
[1] ตวนอู่ หรือ 端午 หมายถึง เทศกาลขนมจ้าง หรือเทศกาลขนมบ๊ะจ่าง หรือ เทศกาลแข่งเรือั ซึ่งมีขึ้นทุกปีในวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติจีน
[2] สุนัขป่าตาขาว หมายถึง คนที่ไม่รู้จักบุญคุณคน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้