บ้านหลี่อยู่ในที่สูง หลี่หรูอี้ยืนอยู่ที่ลานบ้านเห็นทางเข้าออกหมู่บ้านได้จากระยะไกล เมื่อเห็นเงาร่างทั้งสองที่คุ้นเคยจึงรีบเดินเข้าไปที่ห้องโถง พูดกับจ้าวซื่อที่กำลังปักผ้าว่า “ท่านแม่ พี่ใหญ่และพี่รองกลับมาแล้วเ้าค่ะ แต่ไม่เห็นท่านพ่อกับท่านอารอง”
จ้าวซื่อวางผ้าในมือลง เดินขมวดคิ้วออกไป ถามบุตรคนโตและบุตรคนรองที่อยู่ในลานบ้านอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “เหตุใดบิดาและอารองของเ้าไม่กลับมาด้วยเล่า?”
หลี่เจี้ยนอันมีท่าทีเหนื่อยล้า แววตาส่องประกายรู้สึกผิด “ท่านแม่ขอรับ ท่านพ่อไม่เชื่อว่าพวกเราพี่น้องขายแป้งย่างจนหาเงินได้มาก ไม่เชื่อว่าครอบครัวเราปรับปรุงบ้านและขุดบ่อน้ำแล้ว”
หลี่หรูอี้มองไปทางหลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคัง เห็นพวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน จึงทำได้เพียงทอดถอนใจ คิดว่า ท่านพ่อเห็นพี่ใหญ่และพี่รองสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ เลยตัดสินไปว่าที่บ้านมิได้มีเงินทองกระมัง ท่านพ่อคงไม่รู้ว่าข้าเก็บเงินไว้ปรับปรุงบ้านและขุดบ่อน้ำ จึงไม่ทันซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ให้คนในครอบครัว
“บิดาเ้าดื้อรั้นจริงๆ ถึงกับไม่ยอมกลับบ้านเชียว เฮ้อ... ตกลงเขาคิดอย่างไรกันแน่!” จ้าวซื่อทอดถอนใจ รู้สึกเสียใจและผิดหวังจนน้ำตาไหลออกมา นางรีบเช็ดน้ำตาพลางถามว่า “เขาบอกหรือไม่ว่าจะกลับบ้านเมื่อใด”
หลี่เจี้ยนอันตอบ “ท่านพ่อกล่าวว่า จะกลับบ้านตอนท่านใกล้คลอด แล้วยังบอกอีกว่า เขากับท่านอารองเอาชีวิตรอดจากภัยโรคระบาดเมื่อปีนั้นมาได้ นับว่ามีโชคชะตาที่ดี ไปสร้างกำแพงเมืองคราวนี้จะต้องไม่เป็อะไรแน่นอน ขอให้ท่านแม่มิต้องเป็ห่วง”
จ้าวซื่อส่ายหน้าช้าๆ “เหตุใดเขาจึงมองโลกในแง่ดีเช่นนั้น!”
หลี่หรูอี้กล่าวเสียงอ่อย “พี่ใหญ่พี่รอง สองวันนี้พวกท่านเดินทางร้อยกว่าลี้ รีบเข้าไปพักผ่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะไปทำอาหารเย็นให้ พวกท่านกินกับท่านแม่ไปก่อนเลย ส่วนข้าจะรอกินพร้อมพี่สามกับพี่สี่”
หากเป็ยามปกติหลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังย่อมรอน้องชายทั้งสองมากินพร้อมกัน ทว่าคราวนี้พวกเขาเพิ่งกลับมาจากการเดินทางร้อยกว่าลี้ ทั้งยังถูกกลิ่นเท้าเหม็นๆ ในที่พักคนงานทำเอานอนไม่หลับทั้งคืน ตอนนี้ทั้งเหนื่อยและง่วง จึงทำตามที่หลี่หรูอี้จัดแจง
ในที่สุดจางเซี่ยก็ได้พบหวังไห่ ทันทีที่พบก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะ
หวังไห่รู้เื่นี้จากคำบอกเล่าของคนในหมู่บ้านมาั้แ่ปากทางเข้าหมู่บ้านแล้ว ในใจก็รู้สึกเวทนาจางเซี่ยอย่างมาก เขายืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านของตน แต่ก็กล่าวตำหนิเสียงดังว่า “เ้าเด็กนี่ ปกติก็ไม่ใช่คนเลวร้าย แต่เหตุใดเมื่อวานจึงทำเื่โเี้อย่างผลักภรรยาของลุงใหญ่เ้าได้?”
จางเซี่ยพูดเสียงสะอื้น “ท่านลุงหวัง ภรรยาของลุงใหญ่ผลักท่านแม่ข้าจนตกเื ทั้งยังจะขายน้องชายที่เพิ่งเกิดของข้าอีก ท่านพ่อข้าเพิ่งเสียไปได้ไม่ถึงเจ็ดวัน ท่านแม่ของข้าก็เจ็บหนัก ภรรยาของลุงใหญ่ทำร้ายครอบครัวข้าเพียงนี้ ข้าโกรธจนเลอะเลือนไปชั่วครู่ จึงผลักภรรยาของท่านลุงใหญ่ไปเช่นนั้น ไม่คิดว่านางจะล้ม ข้าผิดไปแล้วขอรับ”
หวังไห่ถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ที่เ้ากล่าวหาว่าภรรยาของลุงใหญ่เ้าทำร้ายครอบครัวเ้า มีพยานบุคคลหรือไม่”
“มีขอรับ จางเซี่ยขอให้ท่านลุงท่านป้าทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวันนั้นช่วยออกหน้าเป็พยานด้วยเถิด” จางเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองคนในหมู่บ้านที่มาห้อมล้อมอยู่ ในหมู่คนเ่าั้มีคนเห็นเหตุการณ์ที่ติงซื่อผลักหวังฮวากับตาด้วย และมีหลายครอบครัวรู้เื่ที่ติงซื่อจะขายทารกน้อยของบ้านรองตระกูลจาง
หวังไห่มองไปตามสายตาของจางเซี่ย เมื่อเห็นว่าคนในหมู่บ้านไม่กล้าออกหน้าเป็พยาน จึงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “หมู่บ้านของพวกเราเกิดเื่ใหญ่เพียงนี้ หากไม่จัดการอย่างยุติธรรม ต่อไปใครจะกล้าส่งลูกสาวมาแต่งที่หมู่บ้านนี้อีก ผู้ใดจะกล้าแต่งสตรีของหมู่บ้านเราอีก?”
ตอนนั้นจางเซี่ยผลักติงซื่อเพราะโกรธจนสิ้นสติจริงๆ เื่นี้ร้ายแรงมาก หากไม่มีคนออกมาเป็พยานเช่นนั้นเขาก็จบสิ้นแล้ว ดังนั้นจึงรีบโขกศีรษะให้ทุกคน “ท่านลุงท่านป้า จางเซี่ยขอร้องให้พวกท่านช่วยเป็พยานด้วยเถิด แม้วันนี้มิอาจตอบแทนบุญคุณ แต่ชาติหน้าจะยอมเป็วัวเป็ม้าเพื่อตอบแทนบุญคุณทุกท่านแน่นอน”
นางอวี๋อายุหกสิบกว่าปีแล้ว สายตาไม่ค่อยดีนัก เดินก้าวออกมาก้าวหนึ่ง กล่าวไปว่า “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน วันที่ติงซื่อกับหม่าซื่อ[1]ผลักหวังฮวาล้ม ข้าอยู่ที่บ้านจางพอดี ข้าเห็นกับตาจริงๆ”
ทั่วทั้งหมู่บ้านหลี่ มีเพียงบ้านอวี๋และบ้านหยวนที่ไปมาหาสู่กับบ้านจาง วันนั้นทั้งสองครอบครัวส่งคนไปร่วมงานศพจางเอ้อร์ซานด้วย
นางหยวนของบ้านหยวนอายุน้อยกว่านางอวี๋เล็กน้อย สายตายังดีอยู่ เพียงแต่ปากเบี้ยวเสียหน่อย เมื่อเห็นนางอวี๋กล้าออกหน้าเป็พยานจึงเดินออกไปบ้าง ขยับปากเบี้ยวๆ ของตนพูดไปว่า “คนของทางการมอบเงินทำขวัญให้จางเอ้อร์ซานห้าตำลึง ติงซื่อกับหม่าซื่อบอกว่า จะใช้เงินห้าตำลึงจัดงานศพ แต่หวังฮวาไม่ยอม ทั้งสามเลยทะเลาะกัน หวังฮวากำลังท้องไม่มีเรี่ยวแรง จึงสู้ติงซื่อกับหม่าซื่อไม่ได้ สุดท้ายก็โดนผลักล้มจนมีเืออก”
น้ำเสียงของนางตะกุกตะกัก ทว่าเล่าได้ละเอียดกว่านางอวี๋
หวังไห่เอ่ยถาม “เื่ติงซื่อจะขายน้องชายที่เพิ่งเกิดของจางเซี่ย มีใครเป็พยานให้จางเซี่ยได้บ้าง”
“ข้าเอง ก่อนหน้านี้ติงซื่อเคยถามข้าว่า จะซื้อน้องชายของจางเซี่ยหรือไม่”
“ข้ามีญาติอยู่ที่ตำบลจินจี ตอนที่ติงซื่อยังไม่ตายนางเคยไปพูดกับญาติของข้า ให้เขาช่วยดูว่าในตำบลจินจีมีครอบครัวใด้าทารกเพศชายหรือไม่ ตอนนั้นข้าถามนางว่า จะขายคนของบ้านตนเองหรือขายลูกของผู้อื่น นางกล่าวว่า จะขายลูกชายที่เพิ่งคลอดของหวังฮวา”
“ติงซื่อมาที่บ้านข้า จะเข้าไปในบ้าน แต่ข้าไม่ยอมให้นางเข้ามา นางจึงยืนพูดอยู่ตรงประตู บอกว่าลูกชายที่เพิ่งคลอดของหวังฮวามีสุขภาพแข็งแรง นางติงแม่สามีของนางคิดว่าปากท้องในครอบครัวมากเกินไปคงเลี้ยงไม่ไหว จึงให้นางหาทางขายให้กับคนอื่น ไม่้าเงินมาก แค่เพียงสามตำลึงเท่านั้น”
“ตอนนั้นติงซื่อเจอข้าที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน นางก็พูดเื่นี้กับข้า ข้ารังเกียจไม่อยากยุ่งกับนางจึงรีบกลับบ้านไป”
คนในหมู่บ้านสี่คนออกมาเป็พยานตามลำดับ ในนั้นมีสองคนเป็คนของตระกูลหวังไห่ นี่ทำให้หวังไห่รู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ
หวังไห่กล่าวว่า “เช่นนั้นไปเชิญนางติงมา ข้ามีเื่จะถามนาง”
ไม่นานนักนางติงที่คล้ายกับแก่ชราลงสิบปีในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ก็เดินหลังค่อมเข้ามา เมื่อเห็นทุกคนมองนางด้วยสายตารังเกียจดูแคลน ก็รู้สึกทั้งโกรธทั้งอาย ยิ่งได้เห็นจางเซี่ยที่กำลังคุกเข่าอยู่แทบเท้าหวังไห่ และกำลังมองนางด้วยสายตาที่สับสนก็อดถามไม่ได้ว่า “เหตุใดเ้ายังกล้ากลับมาที่หมู่บ้านอีก ไม่กลัวลุงใหญ่ของเ้าตีเ้าหรือ”
จางเซี่ยทั้งซาบซึ้งใจและรู้สึกผิด พูดเสียงสะอื้นว่า “ท่านย่า ข้าไม่มีหนทางแล้ว จึงทำได้เพียงกลับมาขอร้องท่านลุงหวังอยู่ที่นี่ ให้ท่านลุงหวังช่วยออกหน้าแยกบ้านให้ครอบครัวข้า”
นางติงได้ยินคนในหมู่บ้านพูดเื่นี้ขณะเดินทางมาแล้ว จึงเช็ดน้ำตากล่าวอย่างสิ้นหวังว่า “แยกบ้านแล้วจะไปที่ใด มิใช่ว่ายังอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันหรอกหรือ”
หวังไห่ถาม “นางติง ติงซื่อสะใภ้ใหญ่ของเ้ากล่าวกับคนในหมู่บ้านว่า เ้าจะขายลูกที่เพิ่งเกิดของจางเอ้อร์ซาน เื่นี้เป็มาอย่างไร”
คนในหมู่บ้านคิดว่าหวังไห่เรียกนางติงมาเพื่อหารือเื่แยกบ้านของจางเซี่ย นึกไม่ถึงว่าจะถามเื่นี้ด้วย
นางติงถามกลับด้วยน้ำเสียงสงสัย “หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านกล่าวอันใด ข้าได้ยินไม่ชัด”
หวังไห่จับจ้องนางติง ไม่ยอมพลาดท่าทีใดๆ ของนาง “ติงซื่อบอกกับคนในหมู่บ้านว่า เ้าจะขายลูกชายที่เพิ่งเกิดของจางเอ้อร์ซานกับหวังฮวา เื่นี้จริงหรือไม่”
นางติงกล่าวอย่างโกรธเคือง “มีเื่เช่นนี้ที่ไหนกัน นั่นเป็หลานชายคนเล็กของข้า ข้าจะขายเขาได้อย่างไร”
หวังไห่ถามต่อ “ในเมื่อเ้าไม่คิดเช่นนี้ แสดงว่าเป็เจตนาของสะใภ้ใหญ่เอง สะใภ้ใหญ่ของเ้าตายไปแล้ว แต่ก่อนตายนางผลักสะใภ้รองของเ้าจนมีอันตรายเกือบตาย แล้วยังจะขายลูกชายที่เพิ่งเกิดของสะใภ้รองอีก”
นางติงเช็ดน้ำตา กล่าวเสียงสะอื้นว่า “ติงซื่อทำตัวไม่ดี นี่เป็ชะตาของนางแล้ว”
“ติงซื่อมีจุดจบเช่นนี้ก็นับว่านางทำตัวเองแล้ว แต่จางเซี่ยเป็ผู้น้อย ไม่เคารพผู้ใหญ่ ผลักผู้าุโในครอบครัวที่กำลังตั้งท้องเช่นนี้นับเป็เื่ไม่ถูกต้อง หลังจากแยกบ้านแล้วข้าจะทำโทษเขาเอง” หวังไห่เห็นนางติงมิได้อธิบายแทนติงซื่อ จึงพาคนในตระกูลของตน จางเซี่ยและนางติงไปทำเื่แยกบ้านที่ตระกูลจาง
คนในหมู่บ้านคนอื่นๆ ตามไปดู เดินผ่านหน้าบ้านหลี่ไปอย่างคึกคัก เมื่อเห็นประตูบ้านหลี่ปิดสนิทจึงคิดว่าคนบ้านหลี่ไม่อยู่ หารู้ไม่ว่าหลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังกำลังนอนกลางวัน ส่วนหลี่หรูอี้และจ้าวซื่อยืนอาบแดดอยู่ที่ลานด้านหลัง ไม่อยากยุ่งวุ่นวายเื่ของบ้านจาง
หวังไห่ไม่ได้รายงานเื่ที่เกิดขึ้นของบ้านจางกับทางการ เพื่อชื่อเสียงของหมู่บ้านหลี่ และยังมาเป็เ้าภาพในการแยกบ้านของตระกูลจางด้วยตนเอง โดยให้คนตระกูลหวังสายนอกมาเป็พยานด้วย
.......................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] หม่าซื่อ หมายถึง หญิงแซ่หม่าที่แต่งงานแล้ว คนละคนกับหม่าซื่อบ้านสวี่ ทว่าเพราะแซ่หม่าเหมือนกัน จึงเรียกว่า หม่าซื่อเหมือนกัน