ตลอดระยะเวลาที่หลัวเลี่ยอยู่บนดินแดนเหยียนหวง มีคนจำนวนน้อยมากที่สามารถเรียกได้ว่าเป็เพื่อนของเขาจริงๆ
หลิวจื่ออั๋งเป็คนหนึ่งที่ถือว่าเป็เพื่อนต่างวัยของหลัวเลี่ย แต่หลิวจื่ออั๋งก็รู้เื่ความสัมพันธ์ระหว่างหลัวเลี่ยกับตระกูลข่ง ดังนั้นหลิวจื่ออั๋งจึงไม่ได้ยื่นมือเข้ามายุ่งเื่นี้ เพราะเขารู้ว่าตระกูลข่งสามารถต่อกรกับอูอวิ๋นเซียนและอวี้ติงเจินเหรินได้อยู่แล้วโดยไม่มีอะไรต้องเกรงกลัว
และคนที่ถือว่าเป็มิตรอีกกลุ่มของหลัวเลี่ยก็คือสี่นายพลแห่งตระกูลโม่
แต่หลัวเลี่ยก็ยังไม่ได้ยอมรับพวกเขาเป็เพื่อนเต็มตัว
ดังนั้นเมื่อตอนนี้ที่หลัวเลี่ยถูกทุกคนหันหลังและถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าแคว้นต่างๆ แต่พวกเขากลับปรากฏตัวออกมา เื่นี้ทำให้หลัวเลี่ยประทับใจมาก
คนที่จะร่วมเป็ร่วมตายไปด้วยกันมีน้อยนัก
มีคำกล่าวว่าในชีวิตนี้ได้มีคนที่รู้ใจเคียงข้างกันก็เพียงพอแล้ว
เด็กหนุ่มทั้งสี่คนเดินออกมา
“พวกเราคือสี่นายพลแห่งเทือกเขาคันธาระ”
“โม่หลี่ชิง!”
“โม่หลี่ไห่!”
“โม่หลี่หง!”
“โม่หลี่โชว!”
พวกเขาแนะนำตัวโดยละทิ้งฐานะเดิมของตัวเองที่เป็ซือสิ่งหลง เฉิงปู้กุย หูหยางอี และหูหยินอี เพราะพวกเขา้าแยกจากตระกูลเดิมของตัวเองด้วยเกรงว่าการกระทำของพวกเขาจะทำให้ตระกูลเดือดร้อนไปด้วยได้ และสุดท้ายเพราะหลัวเลี่ยถูกคนทั้งหลายหันหลังให้ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ตัวตนของสี่นายพลแห่งตระกูลโม่ไม่ใช่ตัวตนเดิม
หลัวเลี่ยนึกถึงเื่ราวก่อนหน้านี้ของทั้งสี่คนและเื่ที่พวกเขาเป็เพื่อนกันอย่างง่ายดาย
“คุณชายหลัวไม่ต้องคิดมากว่าทำไมพวกเราถึงออกมา” โม่หลี่ชิงกล่าว
โม่หลี่ไห่กล่าวว่า “พวกเราแค่คิดว่าพวกเราทั้งสี่คนมีศักยภาพที่จำกัดและมีอนาคตที่ไปได้จำกัด แต่เนื่องจากเรายังมีชีวิตอยู่ เราจึงต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว”
โม่หลี่หงยิ้มและกล่าวว่า “ชีวิตของพวกเราติดอยู่ในวังวนแห่งอำนาจมาโดยตลอด แม้แต่ตอนที่พวกเราเป็เด็ก พวกเราก็ถูกตีกรอบว่าสามารถเล่นกับผู้ใดได้บ้าง ตอนเด็กพวกเรามีความสุข แต่มันใช่ความสุขจริงๆ หรือ”
โม่หลี่โชวกล่าวว่า “ดังนั้นพวกเราจึงรู้สึกว่าชีวิตนี้ช่างแสนสั้น ดำรงอยู่ได้เพียงไม่กี่สิบปี หากได้ทำให้สิ่งที่คิดว่ามีความหมายก็คงจะไม่เลว”
คำพูดของพวกเขาทำให้ผู้ที่ฟังอยู่เสียงหัวเราะออกมา
มีบางคนคิดว่าพวกเขาไร้เดียงสา
และบางคนก็ถอนหายใจออกมาเพราะเข้าใจความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่
หลัวเลี่ยคิดในใจว่าผู้คนบนโลกนี้ก็ไม่ได้เ็าไปเสียหมด เขายิ้มและพยักหน้าให้เหล่าพี่น้องตระกูลโม่ทั้งสี่คน “สิ่งที่ข้าสามารถพูดได้ก็คือพวกเ้าจะต้องทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่ามีความหมายได้มากมายอย่างแน่นอน”
สี่ขุนพลแห่งตระกูลโม่มองหน้ากันและแย้มยิ้มออกมา พวกเขามีท่าทางสุขุม
แต่คนอื่นๆ กลับอารมณ์เสียมาก
ชางจื่อเฟิงองค์ชายแห่งอาณาจักรชางกล่าวว่า “คนโง่ทั้งสี่ พวกเ้ารนหาที่ตายแล้ว สิ่งที่พวกเ้าคิดจะทำก็คือเื่โง่ๆ พวกเ้าเล่นตลกหรือ การที่พวกเ้ากล้าเป็เพื่อนกับหลัวเลี่ยก็หมายความว่าวันตายของพวกเ้าอยู่ไม่ไกลแล้ว หากวันใดที่หลัวเลี่ยตาย มันก็จะเป็วันตายของพวกเ้าด้วยอย่างแน่นอน”
หลัวเลี่ยเดินออกมาจากวงล้อมของกลุ่มเต่าสุพรรณ
เขาหยุดยืนเคียงข้างสี่ขุนพลแห่งตระกูลโม่และจ้องไปยังชางจื่อเฟิง จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเย็นว่า “คนที่คิดเหมือนกันกับชางจื่อเฟิงคงมีไม่น้อยสินะ”
ทันใดนั้นทุกคนก็ส่งเสียงตอบกลับดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
มีคนจำนวนมากที่เชื่อว่าหลัวเลี่ยจะต้องตายอย่างแน่นอน แล้วหลังจากนั้นขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่ก็จะต้องตายตามเขาไปด้วยเช่นกัน
มุมปากของหลัวเลี่ยยกโค้งขึ้น เขาตบไหล่ของโม่หลี่ชิงแล้วพูดว่า “รอข้าสักประเดี๋ยว เดี๋ยวข้ากลับมา”
หลัวเลี่ยก้าวเดินออกไปจากวงล้อม
ฝูงชนเคลื่อนตัวออกแหวกทางให้เขาในทันที
หลัวเลี่ยเดินออกจากจัตุรัสเหยียนหลง เขาเดินออกจากเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงแล้วตรงไปที่ป่าอันเงียบสงบที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวง
ที่นี่คือหลุมฝังศพของข่งเยวี่ยเจิน
หลุมฝังศพเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวของข่งเยวี่ยเจินไม่มีสิ่งของอะไรมาก ที่ตรงนี้มีเพียงกระบี่ของข่งเยวี่ยเจินปักอยู่หน้าหลุมฝังศพที่สลักชื่อของนางเอาไว้
ป่าแห่งนี้เงียบมาก
หลัวเลี่ยมองไปยังหลุมฝังศพแล้วพูดเบาๆ ว่า “เด็กน้อย ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนที่ข้ามาหาเ้า ข้าเคยบอกไว้ว่าข้าจะแก้แค้นให้เ้าอย่างแน่นอน เ้าชอบความครึกครื้น เช่นนั้นข้าจะให้เ้าได้ชมความครึกครื้นเสียหน่อยแล้วกัน”
“ครั้งนี้ข้ามาเพื่อบอกเ้าว่าอีกไม่กี่วันถัดจากนี้ข้าจะทำตามสัญญาที่เคยเอ่ยไว้”
“ข้าจะใช้กระบี่ของเ้าเพื่อทำตามสัญญาครั้งนี้”
พรึบ!
หลัวเลี่ยคว้าเข้าที่กระบี่ของข่งเยวี่ยเจินซึ่งปักอยู่หน้าหลุมฝังศพของนาง
กระบี่ของข่งเยวี่ยเจินบางมาก เดิมทีนางก็เป็สาวน้อยน่ารักที่เก่งกาจคนหนึ่งทำให้กระบี่ของนางได้รับการปรับให้เข้ากับบุคลิกของหญิงสาวเช่นนางด้วย กระบี่ของนางยาวประมาณครึ่งจั้ง ตัวกระบี่มีความคมแต่ไม่ใหญ่และไม่หนัก นอกจากนี้บนกระบี่ยังสลักคำว่า “เยวี่ยเจิน” เอาไว้อีกด้วย
หลัวเลี่ยถือกระบี่เยวี่ยเจินเอาไว้ในมือแล้วหวนกลับไปที่จัตุรัสเหยียนหลงอีกครั้ง
ผู้คนมากมายกำลังรอเขาอยู่
ทุกคนไม่คิดว่าหลัวเลี่ยจะเลือกหลบหนีเพราะพวกเขาคิดว่าเป็ไปไม่ได้ที่หลัวเลี่ยจะหนีไปในขณะที่ท่านบรรพชนทั้งสองยังคับแค้นใจอยู่
แต่เมื่อทุกคนเห็นว่าหลัวเลี่ยกลับมาพร้อมกับกระบี่ที่บอบบางดูคล้ายของสตรีเล่มหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดก็ตกอยู่ในความมึนงง
กระบี่เยวี่ยเจินเล่มนี้ดูก็รู้ว่าเป็กระบี่ที่สาวน้อยน่ารักใช้ ซึ่งมันไม่เข้ากับร่างชายหนุ่มของหลัวเลี่ยเลยแม้แต่น้อย
หลัวเลี่ยเดินผ่านฝูงชนกลับเข้าไปที่ใจกลางจัตุรัสอีกครั้ง
หลัวเลี่ยมองไปยังสี่ขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่แล้วพูดว่า “ข้า หลัวเลี่ย จะใช้กระบี่นี้เพื่อเป็สักขีพยานในมิตรภาพของพวกเรา!”
“พวกเรา...” โม่หลี่ชิงและเหล่าพี่น้องที่เหลืออีกสามคนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
“ตลกมาก!”
“ไร้สาระ!”
ชางจื่อเฟิงมองดูพวกเขาด้วยความขบขัน “หลัวเลี่ย เ้าหยุดทำตัวเป็เด็กได้แล้ว เพราะมันตลกมาก สิ่งที่พวกเราจะพูดในตอนนี้ก็คือเ้าต้องตายแน่นอน ดังนั้นการที่พวกเขากับเ้าเป็พันธมิตรกันก็หมายความว่าพวกเขาต้องตายเช่นกัน แล้วเ้าจะเอากระบี่ของผู้หญิงขึ้นมาทำไม”
หลัวเลี่ยยกกระบี่ขึ้นสูงเหนือหัวของเขาแล้วพูดเสียงดังว่า “นี่คือกระบี่ของข่งเยวี่ยเจิน”
“หืม?”
ทุกคนประหลาดใจ
ชางจื่อเฟิงก็มึนงงเล็กน้อยเช่นกัน
จากนั้นหลัวเลี่ยก็ยกกระบี่เยวี่ยเจินขึ้นและชี้ไปทางสมบัติรูปัที่ลอยอยู่ในอากาศพร้อมเอ่ยเสียงดังก้องว่า “ข้าจะสังหารไก้อู๋ซวงด้วยกระบี่เล่มนี้!”
ทุกคนตื่นใ
เดิมทีทุกคนคิดว่าหลัวเลี่ยคงจะเกรงกลัวฐานะของบรรพชนทั้งสองบ้าง แต่เขากลับยังคงยืนหยัดเอาไว้ได้ แม้เขาอาจจะไม่มีความกล้าและไม่มีพลังไปต่อกรกับไก้อู๋ซวง แต่แทนที่เขาจะยอมความ เขากลับก้าวไปท้าทายมากขึ้น
หลัวเลี่ยจะใช้กระบี่ของข่งเยวี่ยเจินสังหารไก้อู๋ซวงเพื่อล้างแค้นให้กับข่งเยวี่ยเจิน
ถ้าหลัวเลี่ยใช้กระบี่เล่มนี้เพื่อเป็สักขีพยานในมิตรภาพ ก็หมายความว่ามิตรภาพระหว่างเขากับขุนพลทั้งสี่แห่งตระกูลโม่ดำเนินมาถึงจุดที่พวกเขาสามารถต่อสู้กับบรรพชนได้ และกล่าวอีกอย่างคือทุ่มสุดตัว
แม้แต่ชางจื่อเฟิงก็รู้สึกว่าหลัวเลี่ยบ้าเกินไป ตัวเขาก็ใเช่นกัน
หลัวเลี่ยไม่เคยลืมความตั้งใจเดิมของตัวเองซึ่งก็คือการสังหารไก้อู๋ซวงเพื่อล้างแค้นให้กับข่งเยวี่ยเจินจริงๆ แม้ว่าการทำเช่นนี้จะทำให้บรรพชนทั้งสองขุ่นเคืองใจ แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะทำมันเลย
ทุกคนอาจคิดว่าเขาเป็คนโง่ แต่จริงๆ แล้วเขาเป็คนบ้า
แต่ทุกคนก็ต้องยอมรับว่าหลัวเลี่ยสามารถเอาชนะศัตรูทั้งหมดของตัวเองได้จริงๆ
ปัง!
ดูเหมือนว่าท้าทายจากหลัวเลี่ยจะทำให้สมบัติรูปัที่ลอยอยู่ในอากาศเกิดการสั่นะเื
สมบัติรูปัที่ลอยอยู่ในอากาศเริ่มสั่นไหวมากขึ้น จากนั้นมันก็มีประกายแสงสว่างวาบออกมา แล้วสมบัติรูปัก็หายไป และสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนก็คือไข่ัที่มีความสูงหนึ่งจั้ง ซึ่งมันมีลักษณะคล้ายกับไข่ัใบแรกที่ไก้อู๋ซวงได้ถือกำเนิดขึ้นมาในครั้งก่อน
ไข่ัลอยลงมาอย่างช้าๆ และตกลงบนแท่นเหยียนซิน
ใจกลางของไข่ัมีลักษณะโปร่งใสทำให้สามารถมองเห็นร่างที่นั่งขดอยู่ข้างในไข่ได้จางๆ ซึ่งสิ่งที่ปรากฏอยู่ก็คือใบหน้าอันสวยงามไร้ที่ติของไก้อู๋ซวง
ไก้อู๋ซวงลืมตาขึ้นและจ้องมายังหลัวเลี่ยด้วยสายตาเ็า
คนทั้งสองมองหน้ากันโดยเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร
หลัวเลี่ยพูดเน้นทีละคำว่า “ข้าจะฆ่าเ้า!”
ปัง!
เกิดแรงสั่นะเืขึ้นในสถานที่ที่สมบัติรูปัหายไป จากนั้นก็มีหมอกลอยมาที่ปลายเท้าของหลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยมองลงไปยังปลายเท้า จากนั้นเขาก็ยกขาและก้าวขึ้นไปบนหมอก
หมอกได้นำหลัวเลี่ยลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ จนกระทั่งถึงความสูงระดับเดียวกับไข่ับนแท่นเหยียนซินที่ลอยอยู่ในอากาศ
หลัวเลี่ยนั่งลงและวางกระบี่เยวี่ยเจินไว้ข้างกาย เขาเผชิญหน้ากับไข่ัอย่างแท้จริง จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลง
ฝึกฝนพลัง!
เขาต้องรอให้ไก้อู๋ซวงเกิด
หลัวเลี่ยไม่หลบไปเข้าฌานอย่างเงียบๆ อีกต่อไป แต่เขาแสดงให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนไปเลยว่าเขากำลังเข้าฌานฝึกพลังและรอคอยไก้อู๋ซวงอยู่