เมื่อเดินทางมาถึงวังหลวง ประตูวังมีนางกำนัลมายืนรอรับมู่อวิ๋นจิ่นอยู่แล้ว พอนางเห็นมู่อวิ๋นจิ่นก็รีบโค้งทำความเคารพ
“ไท่เฟยรอพระชายาอยู่ในสวนดอกเหมยพ่ะย่ะค่ะ” นางกำนัลเล่า
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับแล้วเดินทางไปที่สวนดอกเหมยโดยมีนางกำนัลนำทาง
พอมาถึงฉินไท่เฟยนั่งจิบน้ำชาอย่างสบายใจ โดยที่โต๊ะมีของว่างจัดเรียงอย่างประณีต พร้อมทั้งมีนางกำนัลนั่งพัดให้
ทันทีที่ฉินไท่เฟยเห็นมู่อวิ๋นจิ่นพลันกวักมือเรียกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “จิ่นเอ๋อร์ รีบมานี่เร็ว”
มู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปทำความเคารพ “คารวะท่านไท่เฟย”
“รีบมานั่งข้างอายเจียเร็วเข้า” ฉินไท่เฟยตีเบาๆ ไปตรงที่ว่าง
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งข้างฉินไท่เฟย
ด้านแม่นมชวีที่ยืนอยู่ด้านข้างรินน้ำชาให้มู่อวิ๋นจิ่น ก่อนพูดยิ้มๆ “นี่เป็ชาดอกเหมยที่ไท่เฟยโปรดที่สุด ฤดูกาลนี้เหมาะจะดื่มคลายร้อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจแม่นม” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มมุมปากพลาง
“อืม รสชาติที่จริงๆ” มู่อวิ๋นจิ่นออกปากชม
ฉินไท่เฟยมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความเอ็นดูรักใคร่ พลางเล่าว่า “่หลายวันมานี้อากาศเริ่มร้อนขึ้น จนอายเจียรู้สึกหงุดหงิดใจ สองสามวันก่อนอายเจียจึงให้คนไปตามหาหลาน ทว่าบ่าวในจวนกลับบอกว่าหลานกับลี่เอ๋อร์ไปข้างนอกด้วยกัน วันนี้เพิ่งรู้ว่าหลานกลับมาจึงส่งคนไปเชิญ”
จากนั้นฉินไท่เฟยพูดเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “ดูท่าแล้ว ความสัมพันธ์ของหลานกับลี่เอ๋อร์แแ่ไม่น้อย”
พอเอ่ยถึงฉู่ลี่ มู่อวิ๋นจิ่นกลับนิ่งไปด้วยยังขัดเคืองเขา แต่กลับตอบด้วยรอยยิ้ม “หลานอยู่ในจวนรู้สึกเบื่อหน่าย จึงร้องขอติดตามฉู่ลี่ไปด้วยเพคะ”
“ดูหลานพูดเข้าสิ อายเจียไม่เคยเห็นใครได้ติดตามลี่เอ๋อร์ไปได้สักคนเดียว” ฉินไท่เฟยแอบอมยิ้ม
หลังจากนั้นฉินไท่เฟยเหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้ พลันถอนหายใจออกมา “เห้อ ไม่นานมานี้ ตระกูลเวินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จนรับเคราะห์ไปหมด ที่จริงอายเจียชอบเวินหนูฮั่นอยู่ไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าจิตใจของนางช่างน่ากลัวนัก บังอาจคิดทำร้ายหลานสาวราชครูจ้วง คนเรานี่รู้หน้าไม่รู้ใจเลยเสียจริง”
มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่ก้มหน้าก้มตายิ้มอ่อนๆ ไม่ได้เอ่ยคำใดกลับไป
หากนางเล่าให้ฉินไท่เฟยฟังว่าเื่ราวทั้งหมดเกิขึ้นเพราะฉู่ชิงเฉียง มีหัิไท่เฟยคงต้องตระหนกใเป็แน่ แต่เอาเป็ว่าอย่าเล่าเื่ราวให้ฉินไท่เฟยต้องทุกข์ใจเลยจะดีเสียกว่า
“ใช่แล้ว หลานสาวของราชครูจ้วง อายเจีบเคยเจอหน้าอยู่สองสามครั้ง นางชื่ออวี้เหยียนใช่ไหม? เดี๋ยวมีเวลาให้หลานนัดนางมาคุยเล่นกับอายเจียเสียหน่อยแล้วกัน” ฉินไท่เฟยบอก
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ พลางกวาดสายตามองไปที่สวนดอกเหมยรอบตัว “ปีนี้ดอกเหมยออกดอก ผลิใบกันอย่างสะพรั่ง ช่างงดงามเหลือเกินเพคะ”
“แน่นะสิ นี่เป็พันธุ์เหมยหายากที่ให้ลี่เอ๋อร์ไปเสาะหาและขนมาอย่างยากลำบาก เหมยพันธุ์จะออกดอกตลอดทุกฤดูกาล” ฉินไท่เฟยเล่าอย่างภาคภูมิ
“ใครจะเหมือนยัยแก่ไทเฮาเจิ้งที่ชื่นชมแต่สวนต้นเฟิง[1] กับใบแห้งเหี่ยวพวกนั้นด้วย”
พอได้ยินฉินไท่เฟยเรียกไทเฮาเจิ้งว่ายัยแก่ มู่อวิ๋นจิ่นกลับหัวเราะออกมา “ไท่เฟยพูดถูกต้องเพคะ”
พอเห็นมู่อวิ๋นจิ่นเห็นด้วย ฉินไท่เฟยยิ่งรักใคร่มู่อวิ๋นจิ่นเพิ่มขึ้นทวีคูณ ชี้ไปที่ขนมที่จัดเรียงอยู่บนโต๊ะ “รีบทานเข้า ของว่างเหล่านี้เพิ่งสั่งให้ห้องครัวทำสดใหม่โดยเฉพาะ ”
มู่อวิ๋นจิ่นเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาลิ้มลอง
จังหวะนั้นเอง มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง “ไทเฮาเจิ้งเสด็จแล้ว!”
“ลี่เฟยเสด็จแล้ว!”
“องค์หญิงห้าเสด็จแล้ว!”
พอได้ยินชื่อที่มู่อวิ๋นจิ่นเกลียดขี้หน้ามากันอย่างครบครัน มู่อวิ๋นจิ่นจึงเลิกคิ้วหันมองหน้าฉินไท่เฟย
ฉินไท่เฟยแอบด่าพร้อมกับตบโต๊ะอย่างไม่พอใจ “มาที่นี่ทำไมกัน! อายเจียยังไม่อนุญาตหรือดีอะไร บุกรุกเข้ามาในสวนดอกเหมย หรือว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่กันต่อไปอีกแล้ว?”
“เซียงเสียน อารมณ์ร้อนอะไรแต่เช้าเลย” เสียงของไทเฮาเจิ้งดังขึ้น พร้อมกับเดินย้วยยาดเข้ามา โดยมีลี่เฟยและฉู่ชิงเฉียงประคองซ้ายขวา
ฉินไท่เฟยกรอกตามองบนอย่างไม่พอใจ “ครั้งหน้าจะทำแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว! หากขืนบุกรุกเข้ามาสวนอายเจียโดยไม่รับอนุญาต อาจเจียจะให้คนไล่ตีกลับไป แล้วอย่าหาว่าอายเจียไม่ไว้หน้าแล้วกัน!”
ลี่เฟยกับฉู่ชิงเฉียงถึงกับหน้าซีดเป็ไก่ต้ม
ไทเฮาเจิ้งกลับหัวเราะขึ้นมา ย่างเยื้องไปนั่งบนเก้าอี้ แล้วกวักมือเรียกลี่เฟยกับฉู่ชิงเฉียง “พวกเ้าสองคนก็นั่งเสียเถอะ”
“ไทเฮาดูเหมือนทำตัวเป็เ้าบ้านอย่างไรอย่างนั้นเลยเนอะ” ฉินไท่เฟยเหน็บแนบเบาๆ
“อืม เ้ากับข้านับเป็พี่น้องกัน ลี่เฟยเป็สนมที่ฝ่าาโปรดปราน ส่วนฉู่ชิงเฉียงก็เป็นับเป็หลานคนหนึ่ง เห็นไหมที่นี่มีแต่คนกันเองทั้งนั้นเลย?” ไทเฮาเจิ้งอธิบายพลางสายตามาที่มู่อวิ๋นจิ่น
ฉินไท่เฟยได้ฟังก็ี้เีต่อปากต่อคำ เรียกให้แ่นมชวีไปจัดชุดน้ำชามา
……
“เซียงเสียน ชาดอกเหมยของเ้าที่นี่รสชาติไม่เลว เปรี้ยวหวานกลมกล่อม คลายกระหายได้ดีจริงๆ” ไทเฮาเจิ้งเอ่ยหลังจากจิบชา
“แน่นอนอยู่แล้ว น้ำชาและของว่างล้วนรังสรรค์ขึ้นมาจากห้องครัวส่วนตัวอย่างพิถีพิถัน ย่อมดีกว่าห้องครัวส่วนกลางแน่นอน” ฉู่ชิงเฉียงเอ่ยบ้างหลังจิบน้ำชา
ลี่เฟยพยักหน้าเห็นด้วยกับที่ฉู่ชิงเฉียงเอ่ยขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นไม่แยแสจะมองคนทั้งสามที่มา ด้วยรู้ว่าคนขั่วทั้งสามต้องสมคบคิดกันมาทำเื่ชั่วร้าย
คิดยังทันจบ ไทเฮาเจิ้งกลับเอ่ยเรียกมู่อวิ๋นจิ่นเข้า “อวิ๋นจิ่นก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ อายเจียไม่พบเสียนาน ดูงามขึ้นไม่น้อยเลย” ไทเฮาเจิ้งยิ้มเ้าเล่ห์ให้
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มเจื่อนๆ ตามมารยาท “ขอบพระทัยไทเฮา”
“ถ้ามีเวลาไปเยี่ยมหาอายเจียบ้าง อายเจียไม่ใช่คนใจร้ายไส้ระกำ อย่าทำตัวเหินห่างไปเลย” ไทเฮาเจิ้งกล่าว
ฉินไท่เฟยฟังแล้วแสยะยิ้มทันที “ฉินมูเยว่ใกล้กลับเมืองหลวงมาแล้วมิใช่หรือ? แล้วจะให้จิ่นเอ๋อร์ไปทำอะไรที่นั่นเล่า?”
“อ่อ อาเจียเกือบลืมไปเลย มู่เยว่ใกล้กลับมาแล้ว อาเจียจะได้มีคนพูดคุยด้วย ไม่เบื่อหน่ายอะไรแบบนี้แล้ว ”
“ไทเฮาคงลืมไปแล้วกระมัง แต่ก่อนมู่เยว่ชอบเล่นกับองค์ชายหกมากที่สุด ก่อนที่นางจะเดินทางไปทำศึก วันๆ เอาอต่คลุกตัวที่จวนลี่เฉวียนขององค์ชายหก มีหรือที่มู่เยว่จะคิดถึงพวกเรา” ฉู่ชิงเฉียงแขวะไปพลางหันมองมู่อวิ๋นจิ่นไปพลาง
ไทเฮาเจิ้งรีบพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ๆๆๆ อายเจียเลอะเลือนไปหน่อย ลืมไปว่ามู่เยว่กับลี่เอ๋อร์เป็ดั่งกิ่งทองใบหยก”
“นั่นสิเพคะ ทุกครั้งที่หม่อมฉันพบองค์ชายหกจะพบคุณหนูฉินมู่เยว่ตามติดไปด้วยทุกที่ ทั้งสองคนดูแล้วช่างเหมาะสมเป็คู่กันเพคะ”
ด้านลี่เฟยก็จ้องมองไปทางฉู่ลี่เช่นกัน “โอ้ เกือบลืมไปเลยว่าพระชายาหกอยู่ที่นี่ด้วย พวกเราอาจพูดเื่ส่วนตัวไปหน่อย ขออย่าได้เอาไปใส่ใจเลย”
ฉินไท่เฟยเข้าใจสิ่งที่ทั้งสามคนช่วยกันพูดแขวะมู่อวิ๋นจิ่น จึงตัดบทไปว่า “ลี่เอ๋อร์กับมู่เยว่ต่างผ่านพิธีปักปิ่นเป็ผู้ใหญ่ไปแล้ว หากสองคนนั้นมีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน คงไม่ปล่อยเวลาให้ยืดยาวล่วงเลยถึงตอนนี้หรอก”
“พวกเ้าก็เป็ผู้ใหญ่โตๆ กันแล้ว อย่าได้เพ้อเจ้อกันไปเลย ตอนนี้ลี่เอ๋อร์กับจิ่นเอ๋อร์มีกันและกัน คงมิอาจรับใครอื่นได้อีกแล้ว”
คำพูดของฉินไท่เฟยทำให้มู่อวิ๋นจิ่นขนลุกขนสู่ไปทั้งตัว จนต้องก้มหน้าก้มตาแก้เขิน พูดก็พูดเถอะมู่อวิ๋นจิ่นเริ่มสงสัยในตัวของฉินมู่เยว่ขึ้นมามากกว่าเก่าก่อนเสียขึ้นแล้ว
“ั้แ่ที่มู่เยว่เข้าพิธีวัยปักปิ่นแล้ว ได้เสนอตัวออกไปทำศึก ในใต้หล้าแห่งนี้จะมีสตรีเสียกี่คนที่กล้าหาญทำเช่นนี้ อายเจียได้ยินได้ฟังมาว่าลี่เอ๋อร์ได้เคยให้สัญญากับมู่เยว่ไว้ข้อหนึ่ง ประเดี๋ยวรอให้มู่เยว่ทำศึกเสร็จ ค่อยกลับมาทวงคำสัญญาที่ลี่เอ๋อร์เคยให้ไว้”
“หากมู่เยว่้าเป็พระชายาขององค์ชายขึ้นมา ลี่เอ๋อร์จะทำอย่างไร?”
“อย่างไรเสีย ลี่เอ๋อร์เป็ถึงองค์ชาย วาจามีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง ในเมื่อรับปากผู้ใดแล้ว ย่อมไม่คืนคำเป็อันขาด”
ไทเฮาเจิ้งกล่าวยืดยาวพร้อมกับจ้องไปที่มู่อวิ๋นจิ่นตลอดเวลา จนมู่อวิ๋นจิ่นถึงกับทำหน้าไม่ถูก
มู่อวิ๋นจิ่นทราบทุกถ้อยความที่ทั้งสามคนตั้งใจกระแหนะกระแหนนาง โดยใช้ฉินมู่เยว่มาเป็เครื่องมือ
แต่มานึกดูแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นกลับค่ายรู้เช่นกัน ฉินมู่เยว่้าเป็พระชายาองค์ชายหกเหมือนกัน ฉู่ลี่จะตัดสินใจอย่างไร?
เมื่อย้อนคิดถึงตอนที่นางแต่งงานกับฉู่ลี่ก็ไม่ได้ไหว้ฟ้าดิน ไหว้กันและกัน ย่อมมิอาจเป็สามีภรรยาที่แท้จริง เพียงแค่รอเวลาแยกจากกันเท่านั้น
“พระชายาหกทำไมไม่พูดไม่จาแล้วล่ะ คงไม่ได้เอาคำพูดของพวกเราไปคิดเป็จริงเป็จังกระมัง? พระชายาหกกับองค์ชายหกเพิ่งแต่งกันได้ไม่นาน อย่าได้เอาเื่นี้เก็บไปใส่ใจสร้างความร้าวฉานเลย มิอย่างนั้นเปิ่นกงคงไม่สบายใจไปตลอดชีวิต” ลี่เฟยหันไปเอ่ยกับมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังเงยหน้าขึ้นยิ้มมุมปากเล็กน้อย “พระสนมลี่เฟยเพียงแค่สัพยอกเท่านั้น เื่เช่นนี้ อวิ๋นจิ่นจะเก็บมาคิดใส่ใจไปใยละเพคะ”
“อ่า? พูดเช่นนี้ หมายความว่าเ้าไม่ถือสา หากคุณหนูฉินขึ้นตำแหน่งเป็พระชายาหกแทนอย่างนั้นหรือ?” ลี่เฟยถามขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้ว พิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย “รอให้ฉินมู่เยว่กลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า”
“ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลยหรือ? เห็นทีจะเหมือนที่ฉินไท่เฟยพูดไว่ไม่มีผิด ตอนนี้องค์ชายหกรักใคร่ในตัวเ้าเป็อย่างมาก เพียงแต่ว่าในฐานะสตรีเหมือนกัน อยากเตือนพระชายาหกไว้เสียหน่อย ต้องรู้จักป้องกันเอาไว้บ้าง อย่างไรเสียคุณหนูมู่เป็ถึงนักรบ บุรุษคนไหนเห็นเป็ต้องตกหลุมรักได้ไม่ยาก” ลี่เฟยแสยะยิ้ม
เดิมทีมู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของฉินมู่เยว่อยู่บ้าง ทว่าถูกพวกไทเฮาเจิ้งกับพวกพูดไปพูดมา จึงเริ่มไขว้เขวจัดฉินมู่เยว่อยู่ในกลุ่มสามคนนี้ไปแล้ว
ในเวลานี้มู่อวิ๋นจิ่นเริ่มมีความรู้สึกลบให้กับฉินมู่เยว่ขึ้นมาบ้างแล้ว
“เอาล่ะ พอได้แล้ว! ประเดี๋ยวลี่เอ๋อร์จะมาหาอายเจีย อายเจียจะได้ถือโอกาสนี้ถามต่อหน้าว่าจะรับฉินมู่เยว่เป็ภรรยาไหม!” ฉินไท่เฟยตบโต๊ะอย่างหงุดหงิดใจ เดิมทีกำลังพูดคุยกับมู่อวิ๋นจิ่นอยู่ดี กลับต้องมาอารมณืเสียกับสามคนนี้
ไทเฮาเจิ้งกับพวกได้ยินว่าฉู่ลี่กำลังเดินทางมา ต่างก็กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างรอคอยดูละครฉากสนุก
ในราชสำนักนั้น ต่างรู้กันว่าคุณหนูฉินมีใจปฏิพัทธ์ต่อฉู่ลี่ บัดนี้นางออกไปทำศึกเพียงไม่เดือน หากกลับมาพบฉู่ลี่แต่งกับสตรีคนอื่นไปแล้ว มีหวังจวนองค์ชายหกต้องลุกเป็ไฟอย่างแน่นอน!
[1] ต้นเฟิง คือ ต้นเมเปิล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้