“นางคนสำส่อนยังกล้าถามหาข้าอีกหรือ! หากมิใช่เพราะเ้าล่อลวงเว่ยอี้ คนที่รักเงินยิ่งชีพอย่างเขามีหรือจะไปดื่มชานมบ้าบออะไรของเ้า! คนชั้นต่ำเน่าเฟะล่อลวงคนอื่นอย่างเ้า เอาชีวิตสามีข้าคืนมา!”
ขณะที่นางเว่ยด่าก็จะเข้าไปตบตีชีเหนียง ชีเหนียงมองคู่กรณีด้วยแววตาแห่งความโกรธผ่านดวงตาคู่สวย
อยู่ดีไม่ว่าดีดันถูกคนใส่ร้ายป้ายสี นางจะไม่รู้สึกอะไรได้อย่างไร!
“ข้าลั่วชีเหนียงประพฤติตนอยู่ในลู่ทาง ไม่เคยพบเจอผู้ตายมาก่อน! เ้ากล่าวหาข้าคำก็สำส่อน คำก็ล่อลวง อะไรกัน? เ้ากำลังว่าตนเองอยู่หรือ?”
ลั่วชีเหนียงตัวสั่นไปทั้งร่างและหันไปคุกเข่าให้หยางหนิงอย่างขึงขัง “ใต้เท้า ทุกการกระทำและทุกคำพูดของข้าน้อยล้วนอยู่ในสายตาผู้คน คนที่ตั้งแผงรอบข้างร้านเราสามารถเป็พยานให้ข้าน้อยได้ ั้แ่แรกจนก่อนผู้ตายจะเสียชีวิต เขามาที่แผงร้านค้าสกุลลั่วเป็ครั้งแรก ไม่เคยพบกันมาก่อน ขอใต้เท้าคืนความบริสุทธิ์ให้แก่ข้าน้อยด้วย!”
ขณะพูดนางก็โน้มตัวคุกเข่าวิงวอน
หยางหนิงเปล่งเสียง “บังอาจ นางเว่ย เ้ารู้หรือไม่ว่าการกล่าวหาว่าคบชู้สู่ชายไปเรื่อย จะต้องถูกจับเลาะเส้นเอ็น เ้ามีหลักฐานหรือไม่?”
นางเว่ยคอตั้งราวกับไก่ตัวผู้ที่กำลังจะต่อสู้ “ใต้เท้า ข้าน้อยมีหลักฐานแน่นอน ั้แ่ที่ข้าน้อยกับสามีครองรักกันมา หลังสกุลลั่วมาตั้งแผงในอำเภอ เ้าผีบ้าคนนี้ก็มักจะไม่กลับบ้าน แม้ว่ากลับมาก็มักจะเหมือนิญญาไม่อยู่กับตัว โดยเฉพาะ่นี้ ที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้” ขณะพูดนางก็จับจ้องลั่วชีเหนียง
“กลิ่นนั้นเหมือนกับกลิ่นตัวของคนชั้นต่ำแบบนางอย่างกับแกะ!” พูดจบนางกลัวทุกคนจะไม่เชื่อ จึงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอ้อมอก “ผ้าเช็ดหน้านี้เอง เ้าผีบ้าคนนี้มักจะเอาไว้ข้างกายไม่ยอมห่าง ทุกวันต้องเอามาดูหลายครั้ง ใต้เท้า ได้โปรดให้ความเป็ธรรมกับข้าน้อยด้วย!”
นางเว่ยส่งมอบผ้าเช็ดหน้า หยางหนิงหยิบขึ้นมาดม ซึ่งเป็กลิ่นดอกไม้จริง
ลั่วชีเหนียงมองอย่างเ็า “นี่คือหลักฐานที่เ้าบอกหรือ?”
“แน่นอน!”
“เหอะ!” ชีเหนียงแสยะยิ้ม “ยังไม่ขอเอ่ยถึงว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้คือผ้าไหมชั้นดี ลำพังลวดลายด้ายทองบนนั้นก็มีมูลค่าสิบตำลึง หากเ้าหมายถึงกลิ่นหอมนี้ แม้แผงของข้าจะมีกลิ่นชาดอกไม้ แต่ก็แค่กลิ่นจางๆ ของเมล็ดชุมเห็ดเทศกับดอกมะลิ แต่กลิ่นบนผ้าเช็ดหน้าผืนนี้กลับเป็กลิ่นโบตั๋นกับดอกเสาเย่าที่แพงหรูหรา กระทั่งมีกลิ่นธูปหอมที่มีมูลค่า เ้าคงไม่คิดหรอกนะว่าครอบครัวเล็กๆ ของข้าจะมีปัญญาใช้ของมูลค่าสูงลิ่วเหล่านี้?”
คำพูดของชีเหนียงทำให้ทุกคนได้สติ จริงตามนั้น หากสามารถใช้ผ้าเช็ดหน้าที่มีมูลค่าสิบตำลึงได้โดยง่าย ใครเล่าจะยังลุกแต่เช้าไปตั้งแผงขายของ บ้านใดเล่าจะยอมให้ภรรยามาเผยหน้าเผยตาหาเงิน
“หากเ้าอยากจับชู้ มิสู้ลองคาดเดาอย่างอื่น ข้าไม่ได้มีของดีถึงเพียงนั้น!”
นางเว่ยเหมือนถูกเตือนสติ ในบ้านของตนนั้นก็มีคนที่มีเงินแต่ทำเหมือนไม่มีมูลค่าและใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่สถานะของคนผู้นั้น เว่ยอี้หรือจะกล้าโยงไปถึงนาง!
“ในเมื่อเื่นี้ไม่เกี่ยวกับคดี นางลั่วมิสู้ลองพูดมาก่อนว่าเมื่อครู่เ้า้าถามอะไร?” หยางหนิงปล่อยผ่านเื่นี้ไปโดยพลันและหันกลับไปถามว่าเมื่อครู่ลั่วชีเหนียง้าทำอะไร
“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยเพียงแค่้าถามครอบครัวผู้ตายว่า ก่อนที่ผู้ตายจะเสียชีวิตได้มีพฤติกรรมผิดปกติหรือไม่ แน่นอนว่านอกจากพฤติกรรมแล้ว บนตัวเขายังมีสิ่งผิดปกติอื่นหรือไม่?”
ตอนนี้นางเว่ยกำลังคิดถึงเื่ชู้ของเว่ยอี้ ชั่วขณะนั้นจึงไม่ทันตอบสนอง
ชีเหนียงตรงเข้าประเด็น “อย่างเช่น มีอาการไอ ท้องเสีย หรือว่าคันตามิัอะไรแบบนี้?”
นางเว่ยได้ยินก็ะเิอารมณ์ “คนชั้นต่ำ แล้วยังบอกว่าไม่ใช่ชู้ของเขา เ้ารู้กระทั่งเื่ส่วนตัวที่ว่าเขาท้องเสียและคัน ข้าจะกรีดหน้าเ้าให้เละ!”
มือปราบไม่ทันระวังจนเกือบปล่อยให้นางเว่ยจู่โจมลั่วชีเหนียง หากมิใช่จ้าวจือชิงที่มือเท้าไว ผลักนางเว่ยล้ม เกรงว่าตอนนี้ชีเหนียงคงเสียโฉมแล้ว
“นางลั่ว! เ้ารู้ได้อย่างไรว่าผู้ตายมีอาการเหล่านี้?” หยางหนิงเองก็คิดว่าแปลก หรือว่าลั่วชีเหนียงมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับคนผู้นี้จริง ?
ชีเหนียงเห็นความสงสัยในแววตาเขา พลันชี้ไปที่คอของผู้ตาย “ขอเรียนถามท่านหมอซุน ทราบเื่โรคภูมิแพ้หรือไม่?”
ซุนโหย่วเต้าได้ยินก็ส่ายหน้า “ข้าไม่เคยได้ยินเื่โรคภูมิแพ้มาก่อน แต่โลกใบนี้กว้างใหญ่ สิ่งใดเล่าจะไม่มี เลี่ยงยากที่จะมีโรคที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
คำพูดของซุนโหย่วเต้าทำให้ชีเหนียงตกอยู่ในความเงียบ่สั้นๆ เื่ที่หมอยังไม่รู้หากตนพูดออกไป ผู้อื่นจะเชื่อหรือไม่ อีกทั้งไม่แน่ว่าอาจจะยัดเยียดข้อกล่าวหาว่านางพูดโป้ปดหลอกลวง
“เ้าถามเช่นนี้ หรือว่าผู้ตายคนนี้ตายเพราะโรคภูมิแพ้?” ซุนโหย่วเต้าตอบสนองทันใด หรือว่าลั่วชีเหนียงรู้สาเหตุการตายของผู้ตาย? ดังนั้นเขาจึงรีบถาม
ชีเหนียงส่ายหน้า “ก็มิได้รู้ทั้งหมด เพียงแต่ข้าเห็นตรงคอของผู้ตายมีรอยจ้ำแดง เหมือนอาการของคนเป็ภูมิแพ้ ด้วยเหตุนี้จึงอยากถามครอบครัวผู้ตายว่าก่อนตายผู้ตายมีอาการผิดปกติหรือไม่”
เมื่อครู่สิ่งที่นางเว่ยพูดพิสูจน์ความจริงไปมากกว่าครึ่ง ทั้งการไอ ท้องเสียและผื่นคัน ล้วนเป็อาการแพ้ ผู้ที่เป็รุนแรงหน่อยจะปรากฏผื่นแดง ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งผลหมดสติและถึงแก่ความตายได้
จากสิ่งที่นางเว่ยเล่าเกี่ยวกับอาการของผู้ตาย ผู้ตายมีโรคภูมิแพ้ที่ไม่ได้ชัดเจนมาก ตามหลักแล้วไม่ควรส่งผลให้ถึงแก่ความตาย ดังนั้นตกลงว่าเป็เพราะโรคภูมิแพ้หรือไม่ ยังต้องมีปัจจัยอื่นพิสูจน์
“ไร้สาระ! บนโลกนี้ไม่เคยได้ยินโรคภูมิแพ้มาก่อน!” เฉินเจ๋อิถึงขั้นก้าวออกจากกลุ่มคนมายืนตรงหน้าศาล แล้วชี้หน้าถามชีเหนียง “เ้ามิใช่หมอแล้วได้ยินการวินิจฉัยนี้มาจากที่ใด คงไม่ใช่ว่าจงใจกุเื่เพื่อให้พ้นจากการเป็ผู้ร้ายหรอกนะ?”
“พูดพล่อยๆ!” ในที่สุดหลิงชางไห่ก็แหวกฝูงชนเข้ามาด้านในจนได้ “คนอย่างเ้าไม่รู้อะไร ในเมื่อไม่รู้อะไรก็พูดให้น้อยๆ หน่อยจะดีกว่า”
หลิงชางไห่มาถึงข้างกายศพและ้าตรวจสอบ แต่กลับถูกมือปราบห้ามไว้
“ดูเ้าเฒ่าสติไม่ดีนั่นสิ ดันอยากชันสูตรศพ เ้าคงไม่ได้คิดว่าตนเองเป็หมอหรอกนะ?”
เฉินเจ๋อิหัวเราะเยาะ ทำให้หลิงชางไห่ลุกขึ้นยืนตัวตรง
“ข้าไม่ใช่ หรือเ้าใช่?” หลิงชางไห่อารมณ์ขึ้นทันใด คนรอบข้างไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของคนผู้นี้ แต่เขากลับรู้
คนผู้นี้นามว่า เฉินเจ๋อิ คือบุตรชายคนรองแห่งตระกูลเฉินที่เก่าแก่ในเมืองหลวง ตอนนั้นเขาตกลงไปในทะเลสาบจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ตนเองเป็ผู้ทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยเก็บิญญาเขากลับจากประตูนรก ต่อมาตระกูลเฉินอยากอาศัยเื่นี้สานสัมพันธ์กับเขา แต่เขารู้สึกว่าผิดปกติ จึงหลบเลี่ยงตระกูลเฉินมาตลอด
ได้ยินมานานว่าบุตรชายคนรองตระกูลเฉินผู้นี้ไม่ชอบเล่าเรียน ชอบแต่เื่เงินทอง กระทั่งเคยใช้อำนาจที่ดินและทรัพย์สินผู้อื่น จากที่ดูตอนนี้ คงไม่ใช่คนดีอะไรจริงๆ
“ท่านหมอหลิง ท่านเห็นความผิดปกติอะไรหรือ?” ซุนโหย่วเต้ารู้จักเฉินเจ๋อิผู้นี้ กลัวว่าหลิงชางไห่จะถูกเขาเคียดแค้น ด้วยเหตุนี้จึงเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ โดยการยอมรับสถานะความเป็หมอให้กับหลิงชางไห่
เมื่อเห็นซุนโหย่วเต้าแก้ไขสถานการณ์ แต่เฉินเจ๋อิมิได้คิดจะปล่อยผ่านเื่นี้ หลิงชางไห่เองก็ไม่ใช่คนกลัวปัญหา จึงโต้กลับไป “คงไม่ใช่ว่าคนของตระกูลเฉินล้วนเก่งแต่ใช้วิธีที่ไม่เอาไหนแบบนี้หรอกนะ”
-----
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้