จ้านอู๋มิ่งคิดตลอดมาว่าพลังแข็งแกร่งของจิติญญาที่ตนเรียนรู้จาก "คัมภีร์เทพอนัตตา" เพียงพอจะบดขยี้พลังภายนอกทั้งหมดแล้ว นั่นคือพลังจิติญญาที่สูงส่งกว่ายอดฝีมือในแผ่นดินนี้อย่างมากมายนัก แต่ยามที่เขารู้สึกถึงการโคจรของหมู่มวลดาราอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ จึงได้ทราบว่าสิ่งใดคือระดับชีวิตที่สูงกว่าอย่างแท้จริง คล้ายดั่งสามารถควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุดของจักรวาล การโคจรของฟ้าดินและเหล่าดวงดารา
เดิมคุนเผิงเป็สิ่งมีชีวิตในยุคโกลาหล ตำนานเล่าขานว่า่แรกๆ ที่เปิดฟ้าเบิกพสุธาก็ดำรงคงอยู่แล้ว ระดับชีวิตเทียบเคียงระดับเทพเ้า เศษเสี้ยวเจตจำนงที่เหลือกลับไปกระตุ้นกระแสหมุนวนโกลาหลของมหาสมุทรเข้า ทำให้จ้านอู๋มิ่งได้ทราบว่าพลังประหลาดสุดหยั่งคาดนั้นมีชื่อว่าพลังโกลาหล แม้แต่ในอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิของชาติภพที่แล้ว เขาก็ไม่เคยได้ยินชื่อพลังเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน
ภาพมายาของคุนเผิงถูกบดขยี้แหลกลาญอย่างรวดเร็วโดยหมู่มวลดารา ผันแปรเป็ความว่างเปล่า จ้านอู๋มิ่งรู้สึกว่าพลังอันบริสุทธิ์ดั้งเดิมของวายุและวารีในธาตุแห่งชีวิต หลั่งไหลลงตันเถียนเหมือนกระแสน้ำหลากก็ปาน
ร่างกายจ้านอู๋มิ่งสะท้านคราหนึ่ง ความรู้สึกสบายกระจายไปทั่วทุกอณูของร่างกายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความรู้สึกนั้นเหมือนเหินทะยานขึ้นในยามกลางวัน ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้มีเพียงเส้นชีพจรแปดเส้นเท่านั้นที่สามารถเก็บพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ได้ เวลานี้ ท่ามกลางความมืดมิด เขาว่าพบว่าทุกอณูภายในร่างกายจำนวนมากมายถูกสร้างเป็ช่องว่างเล็กๆ ช่องว่างเหล่านี้กลับสามารถกักเก็บพลังเหนือธรรมชาติได้เช่นกัน ทำให้ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
คนอื่นมีเพียงตันเถียนที่จะกักเก็บพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้เท่านั้น ส่วนตนหนึ่งนั้นหนึ่งพันล้านแปดสิบล้านอณูของร่างกายล้วนกักเก็บได้ ต่อให้แต่ละอณูจะกักเก็บพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ได้เพียงเล็กน้อยก็ตาม พลังของตนก็มากเกินกว่าที่ผู้อื่นจะสามารถจินตนาการได้ หากผ่านการบ่มเพาะให้สมบูรณ์ ต่อให้เป็คุนเผิงเองก็ไม่สามารถเทียบกับตนได้แล้ว
หลังจากที่ทุกอณูล้วนดูดซับพลังเหนือธรรมชาติฟ้าดินเข้าไปแล้ว จ้านอู๋มิ่งรู้สึกว่าทุกๆ ส่วนของผิวกายตนเองล้วนมีพลังเหนือธรรมชาติคอยบำรุงหล่อเลี้ยง ความแข็งแกร่งของกายเนื้อเพิ่มขึ้นร่วมร้อยเท่า ระดับการฝึกฌานบ่มเพาะชีวิตของตนได้รุดหน้าอย่างก้าวะโก้าวใหญ่อีกครั้ง จ้านอู๋มิ่งเข้าใกล้ขอบเขตผลัดเปลี่ยนสร้างโลหิตใหม่อีกก้าวหนึ่งแล้ว
ใน "คัมภีร์เทพอนัตตา" บันทึกไว้ว่า เมื่อการฝึกฌานบ่มเพาะชีวิตบรรลุถึงระดับขอบเขตสูงสุดแล้ว ขอเพียงยังมีโลหิตหยดหนึ่งหลงเหลืออยู่ ก็สามารถที่จะพึ่งโลหิตหยดนี้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่จำเป็ต้องมีชาติภพในอดีตและชีวิตหลังความตายอีกต่อไป เพราะเป็ะไม่มีการดับสูญอีกแล้ว
เดิมตันเถียนที่สงบจนนิ่งสนิทแล้วได้เพิ่มความมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย หลังจากพลังต้นกำเนิดคุนเผิงถูกตันเถียนกลืนกินแล้วค่อยๆ กลับคืนความสงบลงแล้ว เวลานี้ แม้แต่พลังปราณเที่ยงแท้อนัตตา ผ่านตันเถียนก็ถูกสลัดเหวี่ยงออกมาเช่นกัน กลับไปภายในเส้นชีพจรทั้งแปดเส้นและช่องว่างของอณู นอกจากพลังดั้งเดิมของคุนเผิงแล้ว เหมือนดั่งพลังอื่นๆ มิสามารถเข้าไปในกระแสวนโกลาหลของตันเถียนได้
ไม่มีิญญาปฐมภูมิแก่นแท้ชีวิตที่เหลืออยู่ของคุนเผิงแล้ว เจตจำนงของคุนเผิงจึงเหลือเพียงพลังดั้งเดิมเท่านั้น จ้านอู๋มิ่งก็ไม่เกรงใจเช่นกัน อาศัยพลังปราณเที่ยงแท้อนัตตาดูดซับแยกแยะอย่างต่อเนื่อง ผ่านการผันแปรของธาตุแห่งชีวิต เติมเต็มถ้ำนภาธาตุวารีในจิติญญาแห่งชีวิตตลอดเวลา พลังของธาตุวายุในจิติญญาแห่งชีวิตนั้นเกือบเต็มอิ่มแล้ว เสริมเติมเพิ่มเข้าไปอีก จะต้องสามารถเปิดถ้ำนภาของธาตุวายุขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ถึงยามนั้นในจิติญญาแห่งชีวิตของตนก็จะมีถ้ำนภาขนาดใหญ่สามแห่งแล้ว
จ้านอู๋มิ่งเชื่อว่า ถ้าตนสามารถดูดซับพลังธาตุได้มากเพียงพอ ก็จะสามารถเปิดถ้ำนภาของธาตุชนิดต่าง ๆ ขึ้นในจิติญญาแห่งชีวิต ถ้ำนภาของธาตุเป็เพียงรูปแบบพื้นฐานชนิดหนึ่งเท่านั้น หลังจากที่แต่ละถ้ำนภาใหญ่ถูกเติมเต็มด้วยธาตุต่างๆ แล้ว จะต้องมีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ตำนานเล่าขาน เทพเ้าสามารถบุกเบิกเปิดพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตขึ้นได้ หากวันหนึ่งตนเองสามารถสร้างสรรค์สรรพสิ่งมีชีวิตขึ้นมาภายในถ้ำนภาได้ เขาก็จะต้องสามารถเหนือล้ำกว่าเหล่าบรรดาเทพเ้าอย่างแน่นอน เนื่องจากยังไม่มีเทพเ้าองค์ใดที่สร้างสรรค์พื้นที่ขนาดใหญ่ของธาตุทั้งเก้าออกมา
หัวใจของจ้านอู๋มิ่งเปี่ยมด้วยความรู้สึกสูงส่งและภาคภูมิใจ เขาก้าวออกไปในเส้นทางที่มิมีผู้ใดเคยเดินมาก่อน ท่ามกลางความมืดมิด เขารู้สึกว่าพรหมลิขิตของตนก็คือการอยู่เหนือมรรคาแห่งฟ้าและควบคุมชะตาชีวิตของตน
ตนจะต้องสามารถพัฒนาถ้ำนภาต่างๆ ภายในร่างกายให้กลายเป็ท้องฟ้าแห่งจักรวาลให้สำเร็จให้ได้ ประกอบด้วยดวงดาวนับพันล้านดวง สร้างสรรค์สรรพสิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน…
……
บริเวณมหาสมุทรสถานพำนักของคุนเผิง ทุกคนพบว่าการสะกดข่มฐานบ่มเพาะของคุนเผิงที่เดิมมีทุกแห่งหนได้ลดลงอย่างมาก หลายคนสามารถใช้พลังราชันาระดับกลางได้แล้ว
การสะกดข่มฐานบ่มเพาะของสถานพำนักของคุนเผิงยังคงลดลงเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้จิตใจของตัวประหลาดเฒ่าของแต่ละสำนักนิกายหลักที่ปกป้องอยู่นอกสถานพำนักกระตือรือร้นขึ้น ไม่มีผู้ใด้าอยู่ข้างนอกเพื่อรอข่าวสาร ถ้ามีโอกาสเข้าไป พวกเขาย่อม้าเสาะแสวงหาโอกาสวาสนาของตนเองเช่นกัน ดังนั้น ขณะที่การสะกดข่มฐานบ่มเพาะของเจตจำนงคุนเผิงลดน้อยลง เรือสมบัติวิเศษของแต่ละสำนักนิกายใหญ่ก็ค่อยๆ แล่นเคลื่อนเข้าสู่ส่วนลึกของสถานพำนักของคุนเผิง
น่านน้ำมหาสมุทรคุนเผิงแปรเปลี่ยนเป็วุ่นวายยิ่งกว่าเดิม ผู้บ่มเพาะอิสระที่อ่อนแอไม่้าแสวงหาโอกาสอีกต่อไป เพียงแค่้าหลีกลี้หนีออกจากน่านน้ำมหาสมุทรแห่งนี้โดยเร็วที่สุด คนจำนวนมากเข่นฆ่าจนตาแดงก่ำแล้ว เพื่อแผ่นป้ายศิลา เพื่อแย่งชิงสมบัติวิเศษธรรมชาติเ่าั้ที่เจริญเติบโตอยู่บนเกาะ
ท้ายที่สุด การแย่งชิงถ้ำคุนเผิงได้กลายเป็การต่อสู้่ชิงของกองกำลังกลุ่มอำนาจหลักจำนวนไม่กี่กลุ่ม มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ยังคงปักหลักเฝ้าอยู่ภายนอกถ้ำคุนเผิง รอคอยให้ผนึกปิดถ้ำสูญสลายไป
……
จ้านอู๋มิ่งรู้สึกว่าระดับขอบเขตของตนยังไม่มีการทะลวงด่านสูงขึ้นมากมายนัก แต่ระดับชีวิตของตนได้รับการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นอย่างมากมายยิ่งนัก พร้อมกับเจตจำนงของคุนเผิงที่ถูกดูดซับหมดสิ้นอย่างสมบูรณ์ ระดับชีวิตของเขาก็ค่อยๆ บรรลุถึงระดับขอบเขตของสัตว์เทวะ
ระดับชีวิตไม่เกี่ยวข้องกับระดับขอบเขตของฐานบ่มเพาะ แต่ระดับชีวิตจ้านอู๋มิ่งได้เกิดเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินแล้ว หากว่าระดับชีวิตก่อนหน้าของเขาเป็กระบองไม้ท่อนหนึ่ง เช่นนั้นแล้วระดับชีวิตในปัจจุบันก็คือแท่งเหล็กท่อนหนึ่งนั่นเอง
หลังจากที่จ้านอู๋มิ่งดูดซับเจตจำนงของคุนเผิงแล้ว การสะกดข่มระหว่างฟ้าดินก็อ่อนแรงลงทันใด ตลอดทั่วทั้งถ้ำคุนเผิงกลับไม่เสถียรมั่นคงขึ้นมาบ้างแล้ว ยามนี้จ้านอู๋มิ่งจึงได้พบว่าตนเองดูดซับเจตจำนงของคุนเผิงเร็วเกินไป อาจจะมิใช่เื่ดีเื่หนึ่งก็ได้ เพราะว่าอีกไม่นานเท่านั้น ผู้คนภายนอกก็สามารถทะลวงผ่านด่านขัดขวางสะกดข่มของคุนเผิงและพรั่งพรูเข้าไปภายในถ้ำแล้ว ถึงเวลานั้น เกรงแต่ว่าเขาจะไม่ค่อยมีโอกาสมากนักที่จะไปปล้นชิงคนทั้งห้าแล้ว
ยังโชคดีก่อนที่เขาจะดูดซับเจตจำนงของคุนเผิง ได้ปล่อยเหยียนชิงชิงและสื่อรั่วหนานออกมาก่อนแล้ว ให้หญิงสาวทั้งสองพาหมูล่าขุมทรัพย์ไปเสาะแสวงหาขุมทรัพย์ก่อน หญิงสาวสองคนร่วมมือกัน ภายในถ้ำนี้ไม่มีผู้ใดสามารถสู้ได้ แต่ถ้า้าปล้นแย่งชิงสิ่งของละก็ ยังคงต้องให้ตนเองรีบเร่งไปดำเนินการเอง นึกถึงตรงนี้ จ้านอู๋มิ่งไม่รอช้าอีกต่อไป ทะยานร่างเข้าประตูหินไป
พื้นที่ด้านหลังประตูหินกว้างใหญ่ยิ่งนัก มองไปข้างหน้ากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต พลังเหนือธรรมชาติแผ่ขยายออกมาจากผนังถ้ำ โอสถจิติญญาอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง เนื่องจากมีสมุนไพรมากเกินไป ห้าคนที่ไปก่อนและราชันพิษ ตลอดจนราชันโอสถยังมิมีโอกาสได้ถอนไป ได้แต่มุ่งตรงเข้าสู่ส่วนลึกของถ้ำไปแล้ว
จ้านอู๋มิ่งคิดๆ แล้ว ปล่อยชิงย่วนและสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวออกจากถุงสัตว์อสูรจิติญญา ฐานบ่มเพาะของชิงย่วนต่ำกว่าอยู่บ้าง อยู่ร่วมกับราชันพิษและราชันโอสถจะกลายเป็เพียงภาระ อีกห้าคนล้วนเป็ราชันาสูงสุดทั้งสิ้น ถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นกับชิงย่วน จ้านอู๋มิ่งจะสำนึกเสียใจก็สายเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงให้นางอยู่ในถุงสัตว์อสูรจิติญญาตลอดมา
“พวกเ้าจัดการเก็บสมุนไพรเหล่านี้ให้หมด ข้าจะล่วงหน้าเข้าไปก่อน อีกสักครู่พวกเ้าตามข้ามา เนตรเขียว ดูแลชิงย่วนให้ดี!” จ้านอู๋มิ่งหันมาสั่งสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวคำหนึ่ง
สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวอุดอู้อยู่ในถุงสัตว์อสูรจิติญญามานาน พอออกมาก็พบว่าที่นี่กลับมีโอสถจิติญญามากมายขนาดนี้ พลันส่งเสียง "ฮ้าวว" ด้วยความตื่นเต้นในทันใด ชิงย่วนเป็หลานสาวของผู้าุโใหญ่สำนักหลอมโอสถ และก็เป็ศิษย์หลักของสำนักหลอมโอสถ เห็นสมุนไพรเหล่านี้แล้วก็ยินดียิ่งเช่นกัน ร้องเสียงแหลมคราหนึ่ง รีบวิ่งเข้าไปเหมือนเห็นสมบัติวิเศษก็ปาน
จ้านอู๋มิ่งส่ายหน้าพูดไม่ออก สาวน้อยคนนี้ใสซื่อบริสุทธิ์ ไร้กลอุบาย ไม่ถามเช่นกันว่าที่นี่คือสถานที่ใดก็รีบวิ่งไปข้างหน้าแล้ว อดที่จะเตือนขึ้นมิได้ว่า “ชิงย่วน ระวังตัวหน่อย สถานที่นี้คือถ้ำของคุนเผิง อย่าเตร่อยู่ข้างนอกนานเกินไป ข้าจะทิ้งเครื่องหมายไว้ตลอดทาง อีกสักครู่เ้าเดินตามเครื่องหมายไปหาข้า ข้าจะไปสมทบกับพวกรั่วหนานและชิงชิง พี่สาวของเ้าก่อน”
“ท่านพี่อู๋มิ่งโปรดวางใจ ข้าจะดูแลตัวเอง ทั้งยังมีเนตรเขียวอยู่ด้วย เ้าไปเถิด” ชิงย่วนได้ยินคำพูดของจ้านอู๋มิ่งแล้ว ในใจรู้สึกหวานชื่นนัก บุรุษผู้นี้ยังคงห่วงใยนางยิ่งนัก
สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวมีพลังระดับจักรพรรดิาขั้นต้น ต่อให้ฐานบ่มเพาะถูกสะกดข่มในสถานพำนักของคุนเผิง ก็ไม่สามารถสะกดข่มพลังกายอันแข็งแกร่งของมันได้ แม้ว่าสิบราชันมาถึงที่นี่แล้ว ก็ยังต้องหลีกทางให้เช่นกัน
จ้านอู๋มิ่งพยักหน้า ทะยานติดตามไปตามเครื่องหมายที่เหยียนชิงชิงและสื่อรั่วหนานทิ้งไว้ตลอดทาง มีหมูล่าขุมทรัพย์คอยช่วยเหลือ ผลลัพธ์การเก็บเกี่ยวของสองสาวจะต้องอุดมสมบูรณ์มากที่สุด
……
เหยียนชิงชิงและสื่อรั่วหนานร่วมมือกันโดยปริยาย ทั้งคู่ทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้การนำของหมูล่าขุมทรัพย์ พวกนางประสบความสุขจากการล่าขุมทรัพย์ พวกนางไม่ต้องไปพิจารณาเส้นทางที่จะแสวงหาให้ถี่ถ้วน และก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการทำลายกลไกเช่นกัน เพียงแค่เดินตามรอยเท้าของหมูล่าขุมทรัพย์ก็ใช้ได้แล้ว
ตลอดทางที่ผ่านมา โอสถจิติญญาอายุหมื่นปีที่เป็สมบัติล้ำค่าหายากในสายตาพวกนาง กลับถูกเมินเฉยโดยหมูล่าขุมทรัพย์ไปแล้ว หมูล่าขุมทรัพย์ห้อตะบึงไปตลอดทาง วิ่งไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำ พวกนางสลัดอีกห้าคนทิ้งไว้ให้ห่างไกลอย่างรวดเร็วแล้ว ติดตามหมูล่าขุมทรัพย์ไป พวกนางเห็นสมบัติจิติญญาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มีทั้งอาวุธ เม็ดโอสถจิติญญา วัตถุล้ำค่าหายาก ยังค้นพบกระดูกเหมือนหยกขาวหลายชิ้นพร้อมด้วยลวดลายลึกลับ พลังประหลาดที่แผ่ออกมาจากกระดูกทำให้พวกนางตระหนักว่านี่ต้องเป็สมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน
สิ่งของทุกอย่างที่หมูล่าขุมทรัพย์แสวงหาเจอ หญิงสาวไม่สนใจว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ รวบรวมใส่ไว้ในแหวนจักรวาลจนหมดสิ้น สืบทอดตามอย่างของจ้านอู๋มิ่งมาอย่างหมดจด
หมูล่าขุมทรัพย์ติดตามจ้านอู๋มิ่งและได้เรียนรู้จนชำนาญสมบูรณ์แบบมาก มีอาวุธหลายชิ้น เดิมถูกวางไว้ในค่ายกลที่ปิดผนึกไว้ หมูล่าขุมทรัพย์ลงมือสองสามครั้งก็ทำลายค่ายกลสำเร็จแล้ว อาวุธสองชิ้นกลับ้าบินแหวกอากาศหนีออกไป ทว่าถูกเหยียนชิงชิงและสื่อรั่วหนานสกัดกั้นไว้ เหยียนชิงชิงและสื่อรั่วหนานไม่เคยได้ยินเื่ราวเกี่ยวกับอาวุธนี้มาก่อนเลย กลับดูเหมือนว่าจะมีความนึกคิดที่เป็ของตนเอง นี่คือของวิเศษคุณสมบัติสูงส่งสุดยอด ส่วนจะจัดอยู่ในอันดับขอบเขตไหน พวกนางมิสามารถตัดสินชี้ขาด
หมูล่าขุมทรัพย์ยังพบหินจิติญญากองหนึ่ง ล้วนเป็ระดับศิลาจิติญญาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น ถึงแม้ขนาดจะไม่ใหญ่เท่าชิ้นนั้นบนเกาะทอง แต่ทุกชิ้นล้วนมีขนาดใหญ่เท่าศีรษะคน เย้ายวนใจยิ่งกว่าลูกแก้วพลังแก่นแท้จิติญญา
ศิลาจิติญญาศักดิ์สิทธิ์ถูกควบแน่นตกผลึกในสระน้ำแห่งหนึ่ง ในสระน้ำมีท่อลับแอบฝังอยู่ทอดยาวออกไปสู่ด้านนอกถ้ำ ของเหลวจิติญญาเต็มสระดูเหมือนจะตกผลึกเป็ศิลาจิติญญาศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่โดยอัตโนมัติ สถานที่นี้คล้ายดั่งอาณาจักรฟ้าเร้นลับเสวียนเทียน สถานที่นั้นทุกๆ ยี่สิบปีจะมีลูกแก้วพลังแก่นแท้จิติญญาออกมาจำนวนมาก ลูกแก้วพลังแก่นแท้จิติญญาเ่าั้ล้วนเกิดขึ้นจากการตกผลึกของพลังแก่นแท้จิติญญาที่รั่วไหลออกมาจากอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิ
สระน้ำจิติญญาในถ้ำของคุนเผิงกลับควบแน่นตกผลึกออกมาเป็ศิลาจิติญญาศักดิ์สิทธิ์ขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ และก็คือหินพลังแก่นแท้จิติญญาเช่นกัน คาดว่าคงมิมีผู้ใดเคยมาหยิบไปเป็เวลานับหมื่นปีแล้ว จึงได้มีจำนวนมากมายขนาดนี้
ราชันพิษกับราชันโอสถมีความสุขจนแทบจะหุบปากไม่ได้แล้ว กวาดหินพลังแก่นแท้จิติญญาทั้งหมดจนเกลี้ยงอย่างไม่เกรงใจ น่าเสียดายที่สระน้ำจิติญญาถูกผนึกไว้โดยค่ายกลขนาดใหญ่ ขยับเคลื่อนย้ายไม่ได้ หญิงสาวทั้งสองได้แต่บรรจุเอาของเหลวจิติญญามาบางส่วน แล้วไล่ตามหมูล่าขุมทรัพย์เพื่อไปยังขุมสมบัติแห่งต่อไป
หลังจากค้นหาและกวาดขุมทรัพย์มากกว่าสิบแห่งแล้ว หญิงสาวทั้งสองก็ได้พบกับองค์ชายแห่งเทียนนู่ไห่ เหยียนชิงชิงรีบไปเก็บหมูล่าขุมทรัพย์ขึ้นมา เ้าตัวเล็กนี้จะให้องค์ชายจากเทียนนู่ไห่เห็นไม่ได้
เวลานี้องค์ชายเทียนนู่ไห่ไม่มีอารมณ์คิดหมายปองหมูล่าขุมทรัพย์ เนื่องเพราะเขากำลังแย่งชิงเกล็ดชิ้นหนึ่งและขวดหยกสองขวดบนบัลลังก์กับบุตรชายของเหยี่ยวศักดิ์สิทธิ์
สื่อรั่วหนานและเหยียนชิงชิงล้วนใแล้วเมื่อได้เห็นสมบัติสองชิ้นนั้น ทันทีที่มองเห็นเกล็ดสีดำชิ้นนั้น ความรู้สึกที่ผันผวนจากกาลเวลายาวนานชนิดหนึ่งแผ่ออกมา ถึงแม้จะไม่ทราบว่าเกล็ดขนาดเท่าโล่ชิ้นนั้นตั้งไว้เป็เวลาเนิ่นนานกี่ปีแล้ว แต่ว่าสามารถััได้ถึงพลังอำนาจและความแข็งแกร่งของับนนั้นได้อย่างชัดเจน กดดันจนพวกนางแทบหายใจไม่ออก
“เกล็ดย้อนัคราม!” เหยียนชิงชิงและสื่อรั่วหนานจ้องมองเกล็ดขนาดใหญ่บนบัลลังก์อย่างมึนงง กล่าวพึมพำขึ้น
นี่คือสิ่งที่มีอยู่แต่ในตำนานเท่านั้น กลับมาปรากฏอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ไม่น่าแปลกที่องค์ชายแห่งเทียนนู่ไห่และบุตรชายของเหยี่ยวศักดิ์สิทธิ์จะเปิดศึกใหญ่ต่อสู้กันขึ้นมา
