เฟิ่งซินเหยาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองถูกรังเกียจ นางวิ่งไล่ตามเซวียนหยวนเช่อไปติดๆ นางเรียกเขาพี่เขย พี่เขย ไม่ได้เห็น “พี่สาว” เช่นเฟิ่งเฉี่ยนอยู่ในสายตา เฟิ่งเฉี่ยนเองยังรู้สึกงุนงง!
นางคิดมาตลอดว่าตนเองเป็คนหน้าหนาคนหนึ่ง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับน้องสาวคนนี้ นางซิดซ้ายไปเลย!
คนที่มีตาต่างมองออกว่า ใบหน้าของเซวียนหยวนเช่อบึ้งตึงจนไม่อาจบึ้งตึงได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่เฟิ่งซินเหยาเห็นแล้วกลับทำเป็มองไม่เห็น นางวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังตัวเขาอย่างยินดี พี่เขยอย่างนั้น พี่เขยอย่างนี้
ในที่สุดเซวียนหยวนเช่อก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป สายตาคมปลาบกวาดผ่านร่างของเฟิ่งเฉี่ยน คล้ายกำลังบอกกับนางด้วยวาจาอันไร้เสียงว่า “ไล่นางไปเดี๋ยวนี้ หาไม่แล้วก็รับผิดชอบผลที่จะตามมาด้วยตัวเอง!”
เฟิ่งเฉี่ยนเบ้ปากอย่างไม่รู้เื่รู้ราวอันใดด้วย บุพเพสันนิวาสที่ท่านไปเกี่ยวข้องด้วยตนเอง อาศัยอะไรให้ข้าไปช่วยขวางกันเล่า
ทว่าแม่ชีน้อยนางนี้พูดมากเหลือเกิน นางเองก็รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเช่นกัน!
นางกวักมือไปทางเฟิ่งซินเหยา “แม่นางเฟิ่ง ท่านมานี่สักครู่!”
เฟิ่งซินเหยาเดินเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ “มีเื่อันใด”
เฟิ่งเฉี่ยนวางมือไว้บนไหล่ของนาง “แม่นางเฟิ่ง ท่านรู้หรือไม่ว่าหมูตายอย่างไร”
เฟิ่งซินเหยาตะลึงงัน “หมูหรือ มิใช่ถูกเ้าเก็บเอาไว้หรอกหรือ”
“...” เฟิ่งเฉี่ยนจนปัญญา สมองของแม่นางน้อยช่างแตกต่างจากผู้อื่น
นางจึงเปลี่ยนคำถาม “เช่นนั้นเ้ารู้หรือไม่ว่าหมีดำตายอย่างไร”
เฟิ่งซินเหยากระพริบตาปริบๆ “ตายอย่างไร”
เฟิ่งเฉี่ยน “มันโง่ตายน่ะ!”
ลั่วหยิ่งที่อยู่ด้านข้างทนไม่ไหวหัวเราะออกมา
ทว่าเฟิ่งซินเหยากลับไม่เข้าใจ “เหตุใดกัน”
“...” เฟิ่งเฉี่ยนจนปัญญาอีกครั้ง สมองของแม่นางน้อยช่างทำให้คนเป็ห่วงเหลือเกิน!
เฟิ่งเฉี่ยนพูดต่อด้วยความอดทน “เพราะมันไม่รู้จักสังเกตสีหน้าผู้อื่น ไม่เห็นว่าสิงโตโกรธมาก สิ้นความอดทนกับมันแล้ว มันยังพูดจาอยู่ข้างหูสิงโตไม่หยุด เ้าว่าสิงโตควรกินมันหรือไม่”
ร่างของเซวียนหยวนเช่อที่อยู่ด้านหน้าเกร็งค้างอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าเฟิ่งซินเหยายังคงไม่เข้าใจ “สิงโตกินหมีดำหรือ สิงโตมิใช่กินกระต่ายกับกวางหรือ”
“...” เฟิ่งเฉี่ยนยอมแล้ว นางแบมือออก แล้วเดินไปหยุดข้างกายลั่วหยิ่ง “ข้าพ่ายแพ้แล้ว มอบให้เ้าจัดการก็แล้วกัน!”
ลั่วหยิ่งปรับสีหน้าท่าทางแล้วเดินเข้ามาหยุดเบื้องหน้าเฟิ่งซินเหยา เขาพูดกับนางอย่างจริงจังว่า “แม่นางเฟิ่ง ฝ่าามีราชกิจลับสำคัญต้องไปทำ จึงไม่ปรารถนาให้มีผู้ติดตามมาก เชิญท่านไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หาไม่แล้วหากเื่นี้เกี่ยวพันไปถึงท่านมหาเสนาบดีและสกุลเฟิ่ง...”
ได้ยินว่าเื่นี้อาจพัวพันไปถึงบิดาและสกุลเฟิ่ง เฟิ่งซินเหยาถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด “หา! ร้ายแรงเช่นนี้หรือ”
นางมองไปทางเซวียนหยวนเช่อราวกับตัดใจไม่ได้ นางยังคงไม่ยินยอมก่อนจะชี้ไปทางเฟิ่งเฉี่ยน “เช่นนั้นเหตุใดนางจึงติดตามไปได้”
ลั่วหยิ่งกระแอมกระไอแค่กๆ แล้วพูดปด “นางเป็ยอดฝีมือที่ฝ่าาจ้างมา ย่อมต้องเดินทางไปด้วยกัน!” จากนั้นลั่วหยิ่งยื่นมือออกขวางทั้งยังไม่ให้นางปฏิเสธ “แม่นางเฟิ่ง เชิญกลับไปเถิด!”
ครั้งนี้เฟิ่งซินเหยายอมหยุดฝีเท้า มองเงาร่างด้านหลังของเซวียนหยวนเช่ออย่างอาลัยอาวรณ์ ผู้ใดเห็นแล้วยังต้องสงสาร
แต่ครั้งนี้นับได้ว่าสลัดนางจนหลุด เฟิ่งเฉี่ยนยกนิ้วหัวแม่มือให้ลั่วหยิ่ง “ลั่วหยิ่ง ร้ายกาจ! ต่อกรกับสตรีได้ไม่เลวเลย!”
“เหนียงเหนียงกล่าวชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ลั่วหยิ่งหัวเราะขัดเขิน “เื่ประเภทนี้เมื่อทำบ่อยๆ เข้าย่อมเกิดความเชี่ยวชาญ!”
พูดแล้วเขาก็ตบปากตนเองทันที
เฟิ่งเฉี่ยนหรี่ตาลง “ความหมายของเ้าก็คือ เ้ามักจะช่วยฝ่าาปฏิเสธสตรีมามากใช่หรือไม่”
“...” ลั่วหยิ่งอยากร่ำไห้ เขารู้ว่าตนเองไม่ควรพูดมาก พูดมากยิ่งผิดมาก
เฟิ่งเฉี่ยนถลึงตาใส่แผ่นหลังของเซวียนหยวนเช่อที่เดินอยู่ข้างหน้า นางแค่นเสียงฮึ “ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้านจนเคยชินล่ะสิ!”
ไม่รู้ว่านางถลึงตาใส่เขารุนแรงเกินไปหรือไม่ หรือเป็เพราะเซวียนหยวนเช่อได้ยินคำพูดของนาง เขาหันหขวับมองนางด้วยสายตาเยียบเย็น
เฟิ่งเฉี่ยนรีบเก็บงำความรู้สึก แล้วรีบเดินตามเขาไป
เดินไปอีกครู่หนึ่งก็พบกับสัตว์ป่าอีกหลายตัว จากนั้นก็ไม่พบสัตว์ร้ายอันใดเลย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะได้พบหมูเทพอีก
จู่ๆ เซวียนหยวนเช่อก็หยุดเดินแล้วพูดเสียงต่ำ “พักผ่อนอยู่กับที่!”
องครักษ์นายหนึ่งรีบย้ายก้อนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ด้านข้างมา จากนั้นปูผ้าแพรสะอาดสะอ้านลงบนก้อนหินนั้นเพื่อให้เซวียนหยวนเช่อนั่งลง ลั่วหยิ่งกางแผนที่ผืนหนึ่งไว้ในมือทั้งคู่
อากัปกิริยาที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้ว เหมือนนักแสดงผู้มากฝีมือ!
เฟิ่งเฉี่ยนพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย นางนั่งลงบนก้อนหินที่องครักษ์เคลื่อนย้ายมา เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เป็เวลายามอู่พอดี แต่พวกเขายังไม่ได้กินอาหาร
“พวกเ้าสองคน ไปหาไม้ฟืนมาทำเชื้อเพลิง!”
นางสั่งการให้องครักษ์สองคนทำงานให้นาง หลังจากองครักษ์ทั้งหกคนสวมใส่รองเท้าบูธที่นางเป็คนมอบให้ ล้วนเปลี่ยนแปลงท่าทีที่มีต่อนางโดยสิ้นเชิง นับว่าเชื่อฟังคำของนางมากขึ้น
แม้จะปวดใจที่ต้องเสียเงินไป แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาถือว่าไม่เลวทีเดียว!
เตาไฟแบบเรียบง่ายถูกก่อขึ้นอย่างรวดเร็ว นางหยิบกระทะหรูอี้และจวักแปลงกายพันชั่งออกมาเตรียมทำข้าวผัดไข่
ดวงตาของลั่วหยิ่งเป็ประกายเมื่อเห็นกระทะหรูอี้และจวักพันชั่ง เขาเดินเข้ามาด้วยความประหลาดใจ “เหนียงเหนียง นี่คืออาวุธที่ท่านนำมาโจมตีมือสังหารสองคนจนต้องล่าถอยในวันนั้นใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมดูหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งเฉี่ยนเดาได้แต่แรกแล้วว่าผู้ที่ลอบสะกดรอยตามนางในวันนั้นคือลั่วหยิ่ง นางจึงไม่คิดจะปิดบังอำพรางอันใด ส่งสิ่งของทั้งสองอย่างไปให้เขา
ลั่วหยิ่งรับไป เขากระชับด้ามจับของจวักพันชั่ง แล้ววาดแขนตวัดไปมา ทรายและหินบังเกิดการเปลี่ยนแปลงลอยขึ้นจากพื้นดินพร้อมกับพลังลมปราณทั้งยังมีเสียงร้องคำรามของพยัคฆ์อีกด้วย!
เขาอดที่จะร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจไม่ได้ว่า “นี่เป็สิ่งของล้ำค่าจริงๆ! พลังการสู้รบต้องมีอย่างน้อย 1000 ขึ้นไป สามารถต่อกรกับเทพยุทธ์ได้คนหนึ่ง!”
เซวียนหยวนเช่อเงยหน้ามองมา ลั่วหยิ่งรีบยื่นจวักพันชั่งไปเบื้องหน้าเขา “ฝ่าา ทรงทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ! อาวุธชิ้นนี้ดูแล้วแสนจะธรรมดา ทว่าพลังการสู้รบกลับแข็งแกร่งพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหยวนเช่อกุมกระชับด้ามจวักและตวัดแขนไปมาเช่นกัน ทว่าผลที่ได้รับคือเม็ดทรายที่ลอยขึ้นฟ้าราวกับพายุทอร์นาโด!
เฟิ่งเฉี่ยนรีบยกมือขึ้นปิดบังดวงตา นางประหลาดใจเหลือล้น ที่แท้แล้วหากคนที่ใช้จวักพันชั่งเป็คนละคน อานุภาพที่สำแดงออกมาย่อมแตกต่างกัน! ที่ทำให้นางยิ่งประหลาดใจก็คือ เซวียนหยวนเช่อฝึกฝนอย่างไรท่าทีของเขาดูแล้วเป็ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีฝีมือเป็เลิศยากจะคาดเดา!
รอเมื่อนางเอามือลง พบว่าเซวียนหยวนเช่อกำลังมองนางด้วยสายตาพินิจพิจารณา “พูดมาเถิด สิ่งของนี้มาจากที่ใดกัน”
เฟิ่งเฉี่ยนใคร่ครวญ กำลังคิดว่าจะแต่งเื่อะไรมาเป็เหตุผลดี เซวียนหยวนเช่อกลับพูดดักคอนางว่า “หากที่พูดมามิใช่ความจริงก็ไม่ต้องพูด เจิ้นไม่อยากฟังคำโป้ปดมดเท็จของเ้า!”
เขามองนางทะลุปรุโปร่งในปราดเดียว รู้ว่านางไม่มีทางพูดความจริง เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะแหะๆ เลือกที่จะเงียบ
เซวียนหยวนเช่อคืนจวักพันชั่งให้กับลั่วหยิ่ง ลั่วหยิ่งส่งคืนให้เฟิ่งเฉี่ยน เฟิ่งเฉี่ยนเตรียมตัวอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มทำข้าวผัดไข่เวอร์ชั่น 2.0...
วิธีการทำข้าวผัดไข่เวอร์ชั่น 2.0 และ ข้าวผัดไข่เวอร์ชั่น 1 แตกต่างกันเล็กน้อย อยู่ที่ความเร็วในการผัดที่เร็วขึ้น ท่วงท่าที่คล่องแคล่วขึ้น และดูเหมือนจะยังใช้พลังลมปราณเข้าช่วยด้วย ดังนั้น เมื่อเซวียนเหยวนเช่อและคนอื่นๆ เห็นอิริยาบถต่างๆ ระหว่างขั้นตอนการผัดข้าวของนางแล้ว แต่ละคนถึงกับต้องเบิกตากว้าง!
ที่แท้แล้วข้าวผัดไข่ยังทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ
ท่าทางการผัดข้าวของนางช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก มองไปจากไกลๆ ราวกับมีมือหลายมือกำลังผัดข้าว ข้าวสวยสีขาวและสีเหลืองทองของไข่ เมื่ออยู่ในมือของนางกลายเป็ภาพวาดภาพหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น แต่ละครั้งที่นางตวัดจวัก เมล็ดข้าวสามถึงห้าเมล็ดที่ห่อหุ้มด้วยไข่ไก่สีเหลืองทองวิบวับ มันลอยอยู่กลางอากาศเหนือกระทะกลายเป็วงกลมสีเหลืองทอง กลิ่นหอมของไข่และข้าวผสมผสานเข้าด้วยกัน ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปไกลโยชน์ ทำให้คนที่ได้กลิ่นราวกับถูกสะกดิญญา!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้