โหยวเสี่ยวโม่ “…”
โหยวเสี่ยวโม่รู้ว่าน้ำปราณนั้นน่ากิน แต่จะกินน้ำล้างตัวตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะน้ำที่ดูก็รู้ว่ามันสกปรก
โหยวเสี่ยวโม่จำเป็ต้องสอนบทเรียนให้เ้าสัตว์ปีศาจน้อยรู้จักรักสะอาดบ้าง
แต่หมาป่าเืสีขาวนั้นปรับตัวเก่ง เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยามหลังกำเนิด มันก็วิ่งได้แล้ว และสิ่งที่มันชอบทำที่สุดก็คือวิ่งวนรอบตัวโหยวเสี่ยวโม่ ราวกับกำลังวาดเขตพื้นที่ของตัวเอง แต่พื้นที่นี้จะเคลื่อนตัวตามโหยวเสี่ยวโม่
ตอนนี้โหยวเสี่ยวโม่ว่างอยู่ยังดี แต่เมื่อไรที่จะทำอะไรสักอย่าง มันก็จะกัดขากางเกงไม่ให้เขาได้ทำอะไร แต่พึ่งเกิดมาไม่ถึงวัน เรี่ยวแรงของเ้าสัตว์ปีศาจน้อยยังรั้งโหยวเสี่ยวโม่ไม่อยู่ ดังนั้นจึงถูกลากไปกับโหยวเสี่ยวโม่
หลายครั้งล้วนเป็เช่นนี้ ท้ายสุดโหยวเสี่ยวโม่ทนไม่ไหว จึงอุ้มมันขึ้นมา จากนั้นใช้เชือกมามัดมันไว้ที่หลังเหมือนแบกทารกแล้วค่อยทำธุระ…
หลายชั่วยามผ่านไป โหยวเสี่ยวโม่ที่ออกจากห้วงมิติทนไม่ไหวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาไม่คิดว่าเ้าสัตว์ปีศาจน้อยจะติดเขาแจ เสียดายที่พาออกมาไม่ได้ หากถูกใครพบเข้าคงแย่
แต่โหยวเสี่ยวโม่ก็กลัวว่ามันจะวิ่งเล่นะโไปเรื่อยจนทำแปลงหญ้าเซียนพัง จึงจับมันขังไว้ในบ้าน ทั้งยังกำชับหนักแน่นว่าไม่ให้มันแตะต้องของในห้องเด็ดขาด ไม่ได้สนใจว่ามันจะฟังรู้เื่หรือไม่ พูดจบก็ออกจากห้วงมิติ
เื่การกำเนิดของเ้าสัตว์ปีศาจน้อย โหยวเสี่ยวโม่อยากหาใครสักคนมาร่วมแบ่งปันเื่ราวน่ายินดีนี้ แต่นอกจากหลิงเซียว คนอื่นคงไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องรอหลิงเซียวเป็คนมาหาเขาเอง
วันนี้เขาไม่ได้ขังตัวเองไว้ในห้องเพื่อหลอมยา แต่ตรงไปเรือนหญ้าเซียน
จากครั้งก่อนที่ไปรับหญ้าเซียนมาผ่านไปร่วมหนึ่งเดือนแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่้าหญ้าเซียนขั้นสองแล้ว แต่ก็ต้องแสร้งทำ ส่วนความจริงที่ว่าเขาเป็นักหลอมโอสถขั้นสามแล้ว เขายังไม่อยากบอกใคร
เมื่อถึงเรือนหญ้าเซียน โหยวเสี่ยวโม่ไม่เห็นจ้าวต๋าตัน คนที่เฝ้าเรือนหญ้าเซียนอยู่กลับมาเป็อาจารย์ลุงจ้าวเหมือนเดิม นั่งประจำที่ราวกับพระอาจารย์ตรงโต๊ะหน้าชั้นวาง ด้วยนิสัยของสองพ่อลูกไม่ค่อยจะเหมือนกันเท่าไร
โหยวเสี่ยวโม่เดินเข้ามา จ้าวเจินเห็นเขาแล้ว สายตาเผยรอยยิ้มบางๆ
เมื่อพูดถึงท่าทีของจ้าวเจินที่มีต่อโหยวเสี่ยวโม่นั้นนิ่งเฉย แต่ต่างจากคนอื่นที่ดูแคลนโหยวเสี่ยวโม่
อย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่เคยชักสีหน้าอะไรให้โหยวเสี่ยวโม่มาก่อน อีกทั้งบางทีก็ทำเป็หลับตาข้างหนึ่งกับเขา จ้าวเจินอาจไม่ใช่คนที่ให้ความสนิทสนมกับโหยวเสี่ยวโม่เป็คนแรก แต่ก็เป็คนที่ทำให้โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกดีด้วย
คงเพราะฟังเื่ราวจากจ้าวต๋าตัน จ้าวเจินนานๆ ทีจึงเริ่มเอ่ยทักทายเขาก่อน
“มาได้จังหวะพอดี ได้ยินตันเอ๋อร์บอกว่า เ้านั้นหาเงินจากการหลอมยาเป็ประจำงั้นรึ ทำไมล่ะ ไม่พอใช้รึ?” จ้าวเจินเอ่ยหน้าชื่นมื่น
โหยวเสี่ยวโม่งงเล็กน้อย แต่ก็รีบพยักหน้า จากนั้นก็ลูบหัวตัวเองท่าทีเขินอาย พูดความจริงออกมาไม่ได้ จึงต้องปล่อยให้อาจารย์ลุงจ้าวเข้าใจผิดไปก่อน
จ้าวเจินไม่ได้ถามเขาว่าจะเอาเท่าไร แต่กลับบันทึกรับหญ้าเซียนจำนวนสองเดือนให้เขาเอง นี่ต่างจากกฎที่เขาเคยบอกกับโหยวเสี่ยวโม่ ดังนั้นเมื่อโหยวเสี่ยวโม่เห็นตัวเลขนี้ สายตาประหลาดใจ
“อาจารย์ลุงจ้าว ท่านเขียนผิดรึเปล่า เป็หนึ่งเดือน ไม่ใช่สองเดือน?” โหยวเสี่ยวโม่มองในใบบันทึกการรับหญ้าเซียน ตัวเลขทั้งหมดหนึ่งพันแปดร้อยถ้วนของจำนวนสองเดือน ตัวเลขนี้ไม่น้อยเลย
“ถูกต้องแล้ว เื่ของตันเอ๋อร์ อาจารย์ลุงต้องขอบใจเ้า ั้แ่เขายอมฟังคำชี้แนะของเ้า เขาก็ทำผลงานที่ข้าสั่งได้ดีขึ้นเรื่อยๆ พลังปราณิญญาก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย เชื่อว่าอีกไม่นานเขาคงใกล้เลื่อนขั้นเป็นักหลอมโอสถขั้นสี่ได้แน่” เมื่อพูดถึงลูกตัวเอง ใบหน้าจ้าวเจินก็อ่อนโยนขึ้นมากทีเดียว
โหยวเสี่ยวโม่ก็พอเดาออกว่าเพราะสาเหตุนี้ แต่เขาเองก็ไม่กล้ารับไว้ “อาจารย์ลุง อันที่จริงนั่นเป็เพราะความพยายามและความแน่วแน่ของศิษย์พี่ห้าเอง ไม่ได้เกี่ยวกับข้านักหรอก แต่จำนวนของสองเดือนมันมากไปจริงๆ ไม่ถูกกฎเรือนหญ้าเซียนด้วย หากท่านต้องแหกกฎเพราะข้า อีกหน่อยคงจัดการส่วนรวมยาก ศิษย์พี่ท่านอื่นคงไม่พอใจเป็แน่”
เขาไม่อยากต้องให้อาจารย์ลุงจ้าวมารับโทษเพราะตัวเอง อีกอย่างสำหรับเขาแล้ว การถูกลงโทษนี่ไม่ได้จำเป็เลย
“ขอเพียงเ้าไม่พูด ไม่มีใครรู้หรอก เื่การตรวจสอบยอดสิ้นเดือนเ้าไม่ต้องห่วง” จ้าวเจินส่ายหัวพูดเสียงหนักแน่น ราวกับว่าเป็คำพูดที่เขาเตรียมการไว้ก่อนแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่จึงรับน้ำใจไว้ด้วยความจำใจ จัดการเก็บหญ้าเซียนหนึ่งพันแปดร้อยต้นลงถุงเก็บของ ตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่าตัวเองติดค้างน้ำใจพวกเขาแทน
เมื่อกล่าวขอบคุณจ้าวเจินเสร็จ โหยวเสี่ยวโม่เก็บถุงของแล้วเดินออกจากเรือนหญ้าเซียน
เขาไม่ได้กลับห้องทันที แต่เปลี่ยนทิศไปทางหอคัมภีร์ การลงโทษสามวันผ่านพ้นไปแล้ว เขาสามารถไปหอคัมภีร์ได้แล้ว
ครั้งที่แล้วโดนลงโทษ ดังนั้นโหยวเสี่ยวโม่จึงทันดูเนื้อหาเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจขั้นสูงแค่เล่มเดียว ขั้นกลางนั้นยังเหลืออีกหลายเล่ม ครั้งนี้เขาตั้งใจว่าจะดูเล่มที่เหลือให้จบ
เมื่อถึงหอคัมภีร์ เหล่าหน่วยคุ้มกันชุดเกราะไม่รู้ไปั้แ่ตอนไหน คงเพราะหนอนบ่อนไส้ถูกจับได้แล้ว จึงไม่มีความจำเป็ต้องเฝ้าอย่างเข้มงวดต่อไป
โหยวเสี่ยวโม่เดินเข้าหอคัมภีร์อย่างง่ายดายไม่มีอะไรขวาง ผู้าุโซุนมองมาทางเขาทันที สายตานั่นราวกับกำลังบอกว่า “ทำไมเ้าถึงพึ่งมา” คงเพราะจากครั้งก่อนที่เกิดเื่นั้นผ่านมาไม่เพียงแค่สามวัน ผู้าุโซุนนึกว่าเขาจะมาั้แ่วันแรกหลังการลงโทษ
โหยวเสี่ยวโม่ลูบจมูกเก้ๆ กังๆ
เขาไม่อาจบอกผู้าุโซุนได้ว่าหลายวันมานี้เพราะเขาเอาแต่คิดถึงเ้าสัตว์ปีศาจน้อย จนลืมเื่นี้ไปแล้ว
ผู้าุโซุนก็ไม่ได้จะถามเื่พวกนี้อยู่แล้ว ยื่นป้ายให้เขาแล้วชำเลืองมอง ท่าทางเฉยชาเหมือนแต่ก่อน แต่โหยวเสี่ยวโม่กลับรู้สึกว่า อันที่จริงผู้เฒ่าคนนี้ก็ดีกับเขาอยู่เหมือนกัน
หยิบแผ่นป้ายแล้วเดินขึ้นชั้นสองฝั่งตะวันตก โหยวเสี่ยวโม่เห็นคนด้านในยืนอยู่ไม่น้อย
จากที่เข้าใกล้การเปิดแดน์วิมานแล้ว คนมากมายต่างวิ่งเข้าหอคัมภีร์กัน แม้หอคัมภีร์จะเน้นความสงบเงียบ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนคุยกัน มีหลายคนที่เบียดอยู่มุมเดียวกันแล้วคุยเงียบๆ
โหยวเสี่ยวโม่เดินเข้าไปชั้นวางแถวแรก บนชั้นวางมีตำราเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจกองอยู่เพียบ สายตานิ่งเฉยพลันเปลี่ยนเป็ดีใจ เห็นทีคงผ่าน่พลุกพล่านไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงไม่ค่อยมีคนมายืนอ่านตำราเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจ
คิดเช่นนี้แล้ว เขาก็รีบเดินไปกวาดตามองชั้นวางตำราขั้นที่สอง แล้วเห็นตำราที่เขากำลังมองหา เยอะกว่าตำราสัตว์ปีศาจขั้นต่ำเสียอีก มีทั้งหมดหกม้วน แต่หนึ่งในนั้นเขาเคยอ่านแล้วเล่มหนึ่ง
โหยวเสี่ยวโม่ยื่นมือไปหยิบอีกห้าม้วนที่เหลือ จู่ๆ ด้านข้างก็มีมือยื่นมาแล้วหยิบตำราสัตว์ปีศาจขั้นกลางที่เขาหมายตาไว้ไปหมด
โหยวเสี่ยวโม่เงยหน้ามองเ้าของมือนั้น เป็คนที่เขาไม่รู้จัก
ดูจากเสื้อผ้าของชายคนนี้ เหมือนจะเป็ศิษย์แขนงการต่อสู้ เมื่อเห็นชายคนนั้นก็เผยรอยยิ้มที่เสแสร้ง ช่างเป็รอยยิ้มไม่เป็มิตรและน่ารังเกียจจนยากที่จะเมิน
โหยวเสี่ยวโม่เหงื่อซึม เขาเหมือนจะไม่รู้จักเขาคนนี้นี่นา
เื่จริงคือชายคนนี้ไม่เคยเจอโหยวเสี่ยวโม่มาก่อนจริง แต่เขารู้ว่าคนนี้คือโหยวเสี่ยวโม่ เพราะว่าเขาคือเพื่อนซี้ของหลี่จวิ้นนั่นเอง
เมื่อเห็นโหยวเสี่ยวโม่มีท่าทีสงสัย รอยยิ้มบนใบหน้าชายคนนี้ก็จางลง จากนั้นเอ่ยกับเขาน้ำเสียงแหบกระด้าง “โหยวเสี่ยวโม่ เป็เพราะเ้า หลี่จวิ้นจึงเข้าหอคัมภีร์ไม่ได้หนึ่งปี เ้านี่ลูกไม้เยอะจริงนะ ไม่เพียงแต่ศิษย์พี่ใหญ่ที่คอยปกป้องเ้า ไหนจะมีผู้าุโซุนคอยให้ท้ายอีก”
เพราะว่าเข้าหอคัมภีร์ไม่ได้ เลยยืมตำราสัตว์ปีศาจไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องอาศัยคนอ่านให้หลี่จวิ้นฟัง มิฉะนั้นเขาอย่าได้หวังเลยว่าจะได้รู้เนื้อหาเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจในหนึ่งปีนี้ ทว่าอีกไม่นานแดน์วิมานก็จะเปิด ดังนั้นเื่นี้จึงส่งผลกับหลี่จวิ้นอย่างใหญ่หลวง
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่พอใจเพราะเพื่อนแล้ว โหยวเสี่ยวโม่พลันขำอย่างหน่ายใจ
ชายคนนี้เห็นเขาขำ ใบหน้าพลันนิ่งลงมาก “เ้ายิ้มอะไร?”
โหยวเสี่ยวโม่ขมวดคิ้วมองเขาแล้วเอ่ย “เหมือนว่าท่านจะเข้าใจผิดนะ ที่ศิษย์พี่หลี่ถูกลงโทษเป็เพราะเขาทำผิดกฎหอคัมภีร์ หากเขาไม่ได้ทำผิดกฎก่อน เขาก็คงไม่ได้รับผลลัพธ์เช่นนี้”
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบมีเื่กับใคร แต่ก็ไม่ชอบให้ใครมาโบ้ยความผิดที่เขาไม่ได้ทำ แบบนั้นทำให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังแบกรับความผิดแทนคนอื่นอยู่ เื่แบบนี้เขาได้รับจากน้องชายมามากพอแล้ว
ชายคนนั้นถูกเขาตอกกลับจนหน้าซีด แต่ที่พูดมาก็คือความจริงทั้งนั้น
โหยวเสี่ยวโม่เห็นเขาไม่พูด ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ จากนั้นหยิบตำราอื่นจากชั้นวาง ขณะหันหลังกลับก็ชนเข้ากับกำแพงเนื้อ เนื้อนั้นหาใช่เนื้อจริง แข็งจนจมูกเขาแทบหัก แต่ไม่ทันห่วงความเจ็บก็รีบเอ่ยขอโทษ “ขอโทษขอรับ ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”
“เหอะๆ!” ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะอารมณ์ดีดังขึ้น
เสียงหัวเราะนี้ช่างคุ้นเหลือเกิน!
โหยวเสี่ยวโม่รีบเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาของกำแพงกล้ามนั้นก็อุทาน “ศิษย์พี่หลิง? ท่านมาอยู่นี่ได้ยังไง?” โชคดีที่เขายังจำได้ว่าที่นี่คือหอคัมภีร์ ดังนั้นเมื่อโพล่งออกมาก็รีบกดเสียงเบาลงทันควัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้