“ฉันนับเสร็จแล้ว” ซย่านีใช้หนังยางรัดธนบัตรที่นับเรียบร้อยแล้ววางไว้บนโต๊ะ
“ฉันเองก็นับเสร็จแล้ว” เซี่ยงเหมยตอบ
มีเพียงเฝิงหย่งเท่านั้นที่ยังคงนับเงินอยู่ เพราะยางรัดผมราคาพิเศษจะขายอยู่ที่หนึ่งหยวนกับห้าเหมาดังนั้นเงินจำนวนนี้จึงมีเยอะที่สุด
ซย่านีกล่าว “เรามาบวกเงินที่ตนเองนับได้กันก่อนดีไหม ของพี่ได้กี่หยวนคะ?”
เซี่ยงเหมยบอกตัวเลขให้ซย่านีทราบ
หากไม่มีเครื่องคิดเลขซย่านีก็จะใช้ปากกาคิดคำนวณลงบนกระดาษ ่นี้เธอคำนวณตัวเลขเร็วขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เพียงไม่นานเฝิงหย่งก็นับเสร็จแล้ว ซย่านีนำตัวเลขทั้งหมดมาบวกรวมกันแล้วเธอก็คำนวณออกมาได้เป็ตัวเลขที่ทำให้พวกเขาทั้งสามคนต้องใ
ซย่านีไม่กล้าหายใจ เธอยื่นปากกาให้คนอื่นพลางกล่าวว่า “พวกพี่ลองคำนวณดูอีกรอบหน่อยแล้วดูว่ามันถูกหรือไม่?”
เฝิงหย่งเก่งคณิตศาสตร์ เขาหยิบปากกามาแล้วคำนวณอีกรอบอย่างรวดเร็ว จำนวนที่เขาคำนวณออกมาได้เหมือนกับที่ซย่านีเพิ่งคิดได้ทุกประการ
เซี่ยงเหมยกลั้นหายใจเธอกล่าวว่า “วันนี้วันเดียวพวกเราทำเงินได้ทั้งหมดหนึ่งพันหกหยวนกับอีกเจ็ดเหมา! ตั้งพันกว่าหยวนเชียวนะ!”
ซย่านีคิดไม่ถึงเลยว่าเซี่ยงเหมยกับเฝิงหย่งจะทำเงินได้ถึงหนึ่งพันหยวนภายในวันเดียว ตอนเธอกับเซี่ยงเหมยออกไปตั้งแผงลอยขายของวันแรกยังทำเงินได้เพียงห้าร้อยหยวนเท่านั้น ทว่าวันนี้พวกเขาสองคนกลับทำเงินได้มากกว่าสองเท่า
ในที่สุด่เวลาของการแบ่งเงินที่สุดแสนจะน่าตื่นเต้นก็มาถึง พวกเขาแบ่งเงินกันตามกฎเดิม โดยซย่านีได้รับหกร้อยหยวน ส่วนเซี่ยงเหมยกับเฝิงหย่งได้สี่ร้อยหยวนและเงินทอนอีกหกหยวนเจ็ดเหมาก็มอบให้พวกเขาสองคน ถือว่าเป็ค่าอาหารและค่าเดินทางของพวกเขาสำหรับการไปเยือนเมืองเทียนจินในครั้งนี้
เมื่อรวมกับเงินหกร้อยหยวนที่ได้มาในวันนี้ ซย่านีก็มีเงินเก็บมากกว่าสองพันหยวนแล้ว เงินสองพันกว่าหยวนนี้เพียงพอให้เธอซื้อบ้านที่คล้ายกับหลังที่เธอเช่าอยู่ตอนนี้ได้ แต่ซย่านียังคิดที่จะใช้เงินก้อนนี้เป็ต้นทุนในการทำธุรกิจใหญ่ๆ สักอย่าง ดังนั้นเื่ซื้อบ้านคงต้องพับเก็บไว้ชั่วคราวก่อน
แต่เซี่ยงเหมยนั้น ยังไม่ได้วางแผนสำหรับเื่นี้ ่นี้เธอเองก็เก็บเงินได้ไม่น้อยดังนั้นเธอจึงหันไปถามเฝิงหย่งว่า “พวกเราซื้อบ้านเป็ของตนเองกันดีไหม?”
“เธออยากซื้อบ้านหรือ?” เฝิงหย่งไม่เคยได้ยินเซี่ยงเหมยพูดมาก่อนว่าเธอมีเป้าหมายเช่นนี้
เซี่ยงเหมยกล่าว “บ้านพ่อกับแม่ของนายก็คงยกให้พี่ของนาย ส่วนพวกเราก็คงไม่อาจเช่าบ้านอยู่ไปได้ตลอดชีวิตใช่ไหมล่ะ? ในเมื่อมีเงินแล้วเช่นนั้นพวกเราซื้อบ้านกันก่อนดีกว่า หากอยู่จนแก่แล้วนายไม่กลัวจะถูกคนอื่นไล่ออกจากบ้านหรือไง”
ซย่านีสนับสนุนมากๆ “ใช่ การซื้อบ้านเป็เื่ที่ดีมาก มีเงินแล้วก็ซื้อบ้านเก็บไว้เยอะๆ เลย พวกพี่ดูสิ ไม่นานมานี้ประเทศเราสนับสนุนนโยบายการปฏิรูปและเปิดประเทศต่อมาคนมีเงินคงจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อีกอย่างตอนนี้พวกเราอาศัยอยู่ที่ไหนกัน? ที่เมืองหลวงเชียวนะ! พวกพี่คิดดูสิ ต่อไปในอนาคตคนนอกเมืองก็คงอยากมาแสวงหาโอกาสที่เมืองหลวงกันใช่ไหมล่ะ? ในอนาคตคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่ปักกิ่งกลับมีพื้นที่และบ้านช่องห้องหับเพียงแค่นี้ คิดดูว่าบ้านจะราคาแพงและหาซื้อยากขึ้นไหม?”
เซี่ยงเหมยพยักหน้ารัว เธอรู้สึกว่าซย่านีพูดจามีเหตุผลมากๆ จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับเฝิงหย่งว่า “ซื้อบ้านกันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องซื้อบ้านกันให้ได้!”
เฝิงหย่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ งั้นฉันจะลองไปหาดู เผื่อว่ามีใครอยากขายบ้านบ้าง”
เซี่ยงเหมยกุมมือซย่านี “ในมือเธอก็มีเงินเก็บอยู่ไม่น้อยเลยใช่ไหม? เธออยากซื้อบ้านสักหลังบ้างไหม?” แล้วเซี่ยงเหมยก็หันไปถามเฝิงหย่งต่อ “นายช่วยลองถามเผื่อซย่านีด้วยนะ”
“ไม่ ไม่ต้องหรอกค่ะ” ซย่านีโบกมือแล้วกล่าวว่า “ฉันจะเอาเงินก้อนนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นแทน คงยังไม่ซื้อบ้านตอนนี้หรอก”
เฝิงหย่งนึกถึงสิ่งที่ซย่านีพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วก็ถามติดตลก “เธอคงไม่ได้วางแผนจะเก็บเงินเพื่อซื้อเรือนสี่ประสานสามชั้นหลังนั้นหรอกนะ?”
ซย่านีเองก็ตอบติดตลกกลับไป “โอ้ ถูกพี่จับได้เสียแล้ว!”
เซี่ยงเหมยอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบ้าง “เรือนสี่ประสานสามชั้นอะไรกัน? ใช่บ้านหลังนั้นที่เฝิงหย่งพาเธอไปดูหรือเปล่า?”
ซย่านีตอบ “ใช่ค่ะ บ้านหลังนั้นใหญ่โตมาก เป็เรือนสามชั้นแบบดั้งเดิมของแท้เลยแถมยังมีเรือนชั้นนอกและเรือนด้านหลังด้วยนะคะ ด้านในยังมีระเบียงทอดยาวไปอีก มันหรูหราและอลังการมากเลยว่ากันว่าบ้านหลังนั้นเคยเป็ที่อยู่อาศัยของบัณฑิตจากสำนักฮั่นหลินในสมัยราชวงศ์ชิง”
เซี่ยงเหมยอุทานอย่างประหลาด “บ้านหลังนั้นราคาเท่าไหร่เนี่ย”
ซย่านีส่ายหน้า จากนั้นก็เขี่ยจมูกพลางกล่าวว่า “ไม่รู้สิ แต่ฉันเดาว่าน่าจะสักหมื่นหรือสองหมื่นหยวนนี่แหละ”
เซี่ยงเหมยพูดไม่ออก “…” เธอตบไหล่ซย่านีและกล่าวว่า “น่าเสียดายจริงๆ ตอนนี้สินค้าของพวกเราก็ขายหมดเกลี้ยงไปแล้ว หากออกไปขายต่ออีกสามสี่วัน ก็คงช่วยเธอซื้อกระเบื้องได้อีกสองสามแผ่นล่ะนะ”
พอพูดถึงเื่นี้ขึ้นมา ซย่านีก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าห้องฝั่งปีกตะวันตกไป จากนั้นก็หยิบยางรัดผมที่เธอทำตลอดวันนี้ออกมา “นี่น่าจะมีเกือบสองร้อยชิ้นแล้ว”
ซย่านีใส่ยางรัดผมไว้ในถุงกระสอบใบใหญ่ เซี่ยงเหมยยื่นมือมาพลิกดูของ แล้วก็พบว่าด้านในไม่ใช่ยางรัดผมแบบธรรมดาแต่เป็ยางรัดผมทรงใหม่ที่ซย่านีเพิ่งคิดค้นได้ใน่สองวันที่ผ่านมา ยางรัดผมรุ่นนี้ขายสองชิ้นในราคาหนึ่งหยวน
“วันนี้เธอไปซื้อถ่านอัดก้อนที่โรงงานถ่านหินและติดตั้งเตาจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็ไปตลาดสดเพื่อซื้อผัก สุดท้ายก็ไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อจักรเย็บผ้าแล้วก็มานั่งทำยางรัดผมที่สิ้นเปลืองแรงที่สุดพวกนี้น่ะหรือ?” เซี่ยงเหมยสูดลมหายใจเข้าลึก “เธอไม่ได้พักเลยนะ”
ซย่านียิ้ม จากนั้นก็กล่าวว่า “วัสดุในกระสอบที่พี่เอามาให้ฉันมีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น หากเอาไปทำยางรัดผมแบบธรรมดาก็คงน่าเสียดายแย่เลย”
เซี่ยงเหมยกลอกตาพลางกล่าวว่า “ฉันเอาวัสดุให้เธอ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้เธอเริ่มทำวันนี้สักหน่อย พูดเสียเหมือนฉันเป็หวงซื่อเหริน[1] ที่กดขี่ทาสและเอาเปรียบผู้อื่นเลยนะ”
“เปล่าๆ เปล่านะคะ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นแน่นอน” ซย่านีหัวเราะร่า ทันใดนั้นเธอก็ยิ้มพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น “ฉันว่าเร่งทำยางรัดผมหน่อยจะดีกว่า กลัวว่าหากใช้เวลานานเกินไปเมืองใกล้เคียงก็จะเริ่มขายยางรัดผมแบบเดียวกันแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราคงหาเงินไม่ได้เหมือนครั้งก่อนๆ”
เมื่อเซี่ยงเหมยคิดถึงเื่เมื่อวันก่อนขึ้นมา เธอก็เริ่มเป็กังวล “เธอพูดถูก งั้นวันนี้พวกเรามาทำงานหามรุ่งหามค่ำกันเถอะ พยายามทำให้ได้มากที่สุด พรุ่งนี้จะได้ออกไปขายของต่อได้” จากนั้นเซี่ยงเหมยก็หันไปถามเฝิงหย่ง “นายพอจะลาหยุดเพิ่มสักสองสามวันได้ไหม? เพราะ่สองสามวันนี้พวกเราจะได้เริ่มตระเวนไปขายของที่เมืองใหญ่ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเมืองปักกิ่งกัน”
แม้ว่าการขอลาหยุดมากเกินไปอาจถูกหักค่าแรงได้ แต่ค่าแรงที่ถูกหักไปนั้นเทียบไม่ได้กับเงินที่หามาได้ในวันนี้เลย ดังนั้นเฝิงหย่งจึงตอบว่า “ไม่มีปัญหา” แล้วเขาก็ลุกยืนขึ้นพลางกล่าวต่อว่า “งั้นเดี๋ยวผมไปขอลาหยุดที่โรงงานก่อนนะ”
หลังจากที่เฝิงหย่งจากไปแล้ว ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องของซิงซิงดังออกมาจากเรือนปีกตะวันออก
“ซิงซิงตื่นแล้ว” ซย่านีล้างมือแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที ปกติเด็กคนนี้ไม่ค่อยร้องไห้เลย ทุกครั้งที่ร้องมักจะเป็เพราะเขาปวดปัสสาวะหรือไม่ก็หิวเท่านั้น
ซย่านีดึงผ้าอ้อมของซิงซิงออกมาดูก็พบว่าเด็กน้อยปัสสาวะแล้วตามที่เธอคาดไว้ ซย่านีโยนผ้าอ้อมสกปรกไปอีกทางแล้วหาผ้าอ้อมสะอาดๆ มาเปลี่ยนให้เขาแทน จากนั้นก็ชงนมผงให้เด็กน้อย
ซิงซิงกินอิ่มก็เลิกร้องไห้ เด็กน้อยตัวเล็กเท่านี้กลับรู้จักหาความสนุกสนานให้ตนเองเป็แล้ว
ซย่านีล้างขวดนมและเก็บขวดนมเข้าที่แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า “พี่สะใภ้เซี่ยงเหมย พี่ช่วยดูซิงซิงให้ฉันหน่อยนะ เดี๋ยวฉันขอไปทำอาหารก่อน”
เซี่ยงเหมยตอบ “ได้ เธอไปทำธุระของตัวเองเถอะ”
ซย่านีไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร อีกด้านหนึ่งเซี่ยงเหมยก็คอยดูแลซิงซิงพร้อมกับหยิบเศษผ้าออกมาดูพลางๆ เธอนั่งตัดเศษผ้าที่ไม่เท่ากันให้เป็รูปร่างตามที่้าอยู่บริเวณข้างเตียง เธอทำแบบนี้เพื่อให้สะดวกต่อการนำเศษผ้าไปใช้ทำยางรัดผมต่อ
[1] หวงซื่อเหริน 黄世仁 คือ ตัวร้ายที่ปรากฏในผลงานเื่ สตรีผมขาว 白毛女
