เล่มที่ 4 บทที่ 97
“จริงหรือ?” เฉินเทียนหยูได้ยินคำนั้น เขาก็จับมือของนางไว้ในฝ่ามือ พร้อมพูดอย่างมีความสุขว่า “น้องหญิงต้องไม่โกหกข้า อาหารที่น้องหญิงทำนั้นอร่อยมาก และปลาย่างก็ต้องอร่อยเช่นกัน”
“นั่นก็เป็เื่ที่แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อพูดแล้ว ข้าจะไม่โกหกท่านพี่” ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ในใจรู้สึกผิดเป็อย่างมาก ตอนนี้นางใช้ประโยชน์จากเฉินเทียนหยู แต่กระนั้นนางก็ยังคงปูทางและจะใช้ประโยชน์จากเขาต่อไป แค่หวังว่าหลังจากที่เฉินเทียนหยูมีสติแล้ว เขาจะไม่โกรธโทษนาง
เฉินเทียนหยูมีความสุขมากหลังจากได้ฟังคำพูดของมู่หรงฉิง เขาเอื้อมมือออกไปและกอดผู้เป็ภรรยาไว้ในอ้อมแขน เขาจูบบนใบหน้าของนางหนึ่งฟอดโดยไม่คิดมาก
นี่เป็สิ่งที่ชุ่ยเอ๋อร์สอนเขา โดยบอกว่า ถ้ามีความสุขก็แค่จูบใบหน้าของน้องหญิงหนึ่งฟอด น้องหญิงจะต้องหน้าแดงก่ำอย่างแน่นอน เขาชอบที่จะเห็นน้องหญิงหน้าแดงก่ำ เพราะมันคล้ายกับผลไม้สีแดงซึ่งดูดีอย่างมาก
ครู่ก่อนยามอยู่ในห้อง เขายังไม่ได้จูบน้องหญิงเลย แต่ใบหน้าของน้องหญิงก็แดงระเรื่อ ในขณะนั้นเขาดูแล้วรู้สึกว่าสวยมาก
เฉินเทียนหยูจึงจ้องมองใบหน้าของมู่หรงฉิงนิ่ง และปรากฏว่าเป็ไปตามที่เขาคาดไว้ ใบหน้าขาวนวลเนียนแปรเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำทันที เมื่อเห็นเช่นนั้น เฉินเทียนหยูพลอยรู้สึกว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาดูสวยมากยิ่งขึ้น กอดนางอย่างมีความสุขพร้อมฮัมเพลงอย่างมีชัย
การกระทำโดยเจตนาของเฉินเทียนหยูทำให้มู่หรงฉิงหน้าแดงก่ำ ไม่เข้าใจว่าเขาเรียนรู้การกระทำไร้สาระมาจากที่ไหน? การถูกเขากอดทำให้นางรู้สึกฟุ้งซ่าน และรู้สึกถึงความอ่อนหวานในเวลาเดียวกัน นางมักจะรู้สึกว่า ความโง่งมของท่านพี่คนนี้เป็สาเหตุให้นางมีความสุข
ทันใดนั้นในรถม้าก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น ชุ่ยเอ๋อร์และปี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่ด้านข้างประตูสบตากันและยิ้มโดยปราศจากเสียง ทว่าสายตาของจ้าวจื่อซินกลับเ็า มือที่ถือดาบยาวกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยโดยปริยาย
เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจของผู้คน การออกจากจวนเฉินในคราวนี้จึงใช้เพียงรถม้าธรรมดาซึ่งไม่มีสัญลักษณ์ของจวนเฉิน เวลานี้เป็่เวลาทานอาหารและร้านอาหารจู้ฝูก็เต็มแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวจื่อซินได้ส่งคนให้มาจองห้องส่วนตัวไว้ล่วงหน้า เกรงว่าคงเดินทางมาเสียเที่ยว
อย่างไรก็ดี มีเสี่ยวเอ้อ*คอยนำทางเข้ามาทางประตูเรือนพิเศษอีกบานหนึ่ง จากนั้นเดินตรงไปยังบันไดที่ห้องส่วนตัวตั้งอยู่ “ตงเจีย* เชิญเข้ามาด้านใน”
(*เสี่ยวเอ้อ หมายถึง พนักงานที่ทำหน้าที่รับใช้และให้บริการภายในร้านอาหารสมัยโบราณ)
(*ตงเจีย หมายถึง นายห้าง เถ้าแก่ หรือเ้าของที่ดิน)
เนื่องจากเดินเข้ามาทางประตูพิเศษย่อมเลี่ยงแขกที่เข้ามารับประทานอาหารเ่าั้ และทันทีที่เข้าไปในห้องส่วนตัว เสี่ยวเอ้อก็มองมู่หรงฉิงด้วยท่าทางประจบสอพลอ “ตงเจียไม่ได้มาที่นี่เป็เวลานานแล้ว วันนี้ยังคงเป็กฎเดิมอยู่หรือไม่?”
“รายงานรายการอาหารเถอะ มีรายการอาหารใหม่ๆ หรือไม่?” ไม่สนใจถึงความประหลาดใจของจ้าวจื่อซินและชุ่ยเอ๋อร์ มู่หรงฉิงจับมือของเฉินเทียนหยูเดินไปยังที่นั่ง
เสี่ยวเอ้อรีบรายงานรายการอาหารทันที ครั้นเห็นมู่หรงฉิงพยักหน้า เขาจึงรีบสอบถามว่า “ตงเจียจะให้นำรายการอาหารใหม่ทั้งหมดนี้ ยกมาที่นี่ทั้งหมดเลยหรือไม่?”
“ใช่แล้ว ยกมาที่นี่ทั้งหมด มาลองทานกัน”
เสี่ยวเอ้อเอ่ยตอบรับ ก่อนจะเดินออกไปอย่างมีความสุข จวบจนกระทั่งคล้อยหลังเสี่ยวเอ้อ เฉินเทียนหยูถึงได้เอ่ยถามว่า “น้องหญิง ทำไมเสี่ยวเอ้อถึงได้เรียกน้องหญิงว่าตงเจีย? ตงเจียคืออะไรหรือ? เมื่อข้าไปเที่ยวเล่นที่บ้านไร่ ข้าก็ได้ยินคนอื่นเรียกข้าว่าตงเจียเช่นเดียวกัน”
“ร้านอาหารจู้ฝูแห่งนี้เป็สินสอดทองหมั้นที่ท่านแม่ของข้ามอบให้ข้า และตอนนี้มันก็ถูกนับว่าเป็ทรัพย์สินของจวนเฉิน” รินน้ำชาให้เฉินเทียนหยูด้วยตัวเองพลางตอบคำถามสำหรับคนสองสามคนที่อยากรู้
เฉินเทียนหยูก็ดีอยู่ หลังจากตอบว่า “โอ้” เขาก็ไม่ได้ถามอีกต่อไป เพราะท้ายที่สุดแล้วถึงเขาจะถาม เขาก็ไม่สามารถถามคำถามที่เป็ประเด็นหลักได้ ทว่าจ้าวจื่อซินมองมู่หรงฉิงด้วยความสนใจเป็อย่างมาก จากนั้นเขาถึงเข้าใจว่าสาเหตุที่เฉินเทียนหยู้ามาที่ร้านอาหารจู้ฝู นั่นเพราะถูกนางใช้ประโยชน์ก็เท่านั้น
ครั้นถูกจ้าวจื่อซินมองคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม มู่หรงฉิงจึงหลีกเลี่ยงสายตาของเขาด้วยการดื่มชา เด็กสาวรู้สึกเพียงว่าถูกเขามองราวกับเขาสามารถมองเห็นความคิดทั้งหมดของนางได้
หลังจากนั้นไม่นานนัก เสี่ยวเอ้อก็ะโและเริ่มยกอาหาร ทักษะการรายงานรายการอาหารยังยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะจับตะเกียบ ได้ฟังคำบรรยายของเสี่ยวเอ้อซึ่งทำให้นิ้วชี้กระดุกกระดิกเกิดอาการน้ำลายสอแล้ว
ในที่สุด ก็ยกอาหารทั้งหมดแล้ว และเสี่ยวเอ้อก็ได้รายงานรายการเสร็จแล้ว เฉินเทียนหยูถึงได้โบกมือให้ “ออกไป ออกไป ถ้าเ้ายังพูดอยู่อีก ข้าไม่ได้กินแล้ว”
สิ่งที่เสี่ยวเอ้อพูดนั้นดีจริงๆ เขาฟังถึงกับลืมขยับตะเกียบ แต่ระหว่างการหายใจเข้าและหายใจออก ทั้งหมดล้วนอบอวลไปด้วยกลิ่นอาหารซึ่งทำให้เขาอยากที่จะกินเป็อย่างมาก
เสี่ยวเอ้อรับเงินรางวัลจากชุ่ยเอ๋อร์ เขายิ้มแย้มจนดวงตาหรี่แคบแทบไม่เห็นลูกตา “ตงเจียทานช้าๆ ถ้ามีคำสั่งใดก็เรียกผู้น้อยได้ ผู้น้อยจะเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู”
“ไม่จำเป็แล้ว อาหารพวกนี้ ข้าเกรงว่าจะกินไม่หมด และเ้าเองก็ไม่ต้องเฝ้าแล้ว เ้าไปทำงานในส่วนของเ้าเถอะ ใส่ใจแขกให้มาก และอย่าละเลยต่อแขกถึงจะถูก” นางมีบางอย่างจะต้องทำ นางจะให้เสี่ยวเอ้อเฝ้าอยู่ด้านนอกประตูที่นี่ได้อย่างไร?
เสี่ยวเอ้อตอบรับ ก่อนที่จะออกไปทำงานของตนเองพร้อมเงินรางวัล
อาหารที่ร้านอาหารจู้ฝูนั้นอร่อยเลิศรส ทั้งยังเป็อาหารชั้นเลิศทุกรายการ ถ้าไม่ใช่องค์ชายหรือขุนนาง เป็เื่ยากที่จะได้ลิ้มรสอาหารชั้นเลิศในนี้ และแขกในร้านอาหารจู้ฝู ถ้าไม่ร่ำรวยมากย่อมเป็คนมียศสูง และผู้ที่สามารถเข้ามาในห้องโถงใหญ่ได้ มักจะเป็คนทำกิจการผู้มั่งคั่ง หรือคนในตระกูลขุนนางระดับไม่สูงนัก และผู้ที่สามารถเข้ามาใช้งานในห้องส่วนตัวได้ เรียกได้ว่าต้องมีสถานะเทียบเท่าขุนนางชั้นสูง
อีกด้านหนึ่งของห้องส่วนตัวของมู่หรงฉิง ผู้ชายในชุดอาภรณ์สีขาวถือจอกสุรา และมองไปยังถนนที่ผู้คนพลุกพล่าน มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มอยู่หลายส่วน
ผู้ชายชุดดำยืนอยู่ด้านข้างชายผู้นั้น เขาเดาความคิดของเ้านายของตนเองไม่ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่?
“มู่หลิน เ้าคิดว่า ถ้าข้าจะขอสุราเพื่อดื่มหนึ่งจอกในตอนนี้ นาง, มู่หรงฉิงจะแสร้งทำเป็ไม่รู้จักข้าหรือไม่?” หลี่ซื่อเสวียนมองสุราในจอกด้วยความขี้เล่น น้ำเสียงเกียจคร้านเล็กน้อยของเขาเจืออารมณ์หยอกเย้าอยู่หลายส่วน
การที่สามารถหยาบคายกับฮูหยินหลิงต่อหน้าธารกำนัล ความกล้าหาญของนางทำให้เขาชื่นชม
มู่หลินไม่รู้ว่าถ้อยคำของเ้านายแค่พูดเล่นเท่านั้น? หรือเ้านาย้าไปจริงๆ? เขาไม่สามารถบอกได้ใน่ระยะเวลาสั้นๆ
“แต่งงานกับคนโง่งม นั่นก็เป็โชคชะตาของนาง อย่างน้อยใน่เวลาที่สามีโง่งมคนนั้นไม่คลุ้มคลั่ง เขาก็เอาใจทะนุถนอมนางเป็อย่างดีจริงๆ” นึกถึงข่าวคราวที่คนใต้บัญชาของเขารายงาน หลี่ซื่อเสวียนพลอยรู้สึกว่ามู่หรงฉิงไม่ใช่คนที่มีชะตากรรมที่ดีธรรมดาทั่วไปที่ได้แต่งงานกับเฉินเทียนหยู มันเป็การทำให้นางสมปรารถนามากกว่า การได้รับการปฏิบัติด้วยความรักทะนุถนอม ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะสามารถมีวาสนาเช่นนั้นได้
“ฝ่าาคิดว่า มู่หรงฉิงสามารถใช้ประโยชน์ได้หรือไม่?” เ้านายไม่เคยทำงานหนักเพื่อคนปราศจากผลประโยชน์ เนื่องจากเขาให้ความสนใจกับมู่หรงฉิงมาก เขาย่อม้าได้รับผลตอบแทนที่ดีจากมู่หรงฉิงเป็แน่ สาเหตุที่มู่หลินคิดเช่นนั้นเนื่องจากเ้านายจะไม่ใช้คนที่ไม่ได้ทำประโยชน์ และทุกสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ จะกลายเป็ของตายในสายตาของเ้านาย
“ก็ไม่เชิง ตอนนี้เฉินเทียนหยูโง่งมมากถึงเพียงนั้น เขาจะมีข่าวคราวที่เป็ประโยชน์ได้เสียที่ไหน? ทว่า …” ทว่าเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ั้แ่ได้เห็นนางเมื่อวาน เขาก็สนใจนางโดยเฉพาะ เมื่อนางอยู่ในงานเลี้ยงและได้แสดงทักษะกู่ฉิน เสียงไพเราะเสนาะโสตบนเวทีที่นางบรรเลงยังคงดังก้องไพเราะอยู่ในใจของเขาจวบจวนขณะนี้
คนที่บรรเลงเพลงเช่นนั้นได้ย่อมไม่ใช่คนที่เชื่อฟังและอดทนต่อการปฏิบัติที่ไม่เป็ธรรมอย่างแน่นอน เขาไม่เชื่อว่า มู่หรงฉิงจะถูกกดขี่ในจวนเฉิน เขาอยากรู้มากว่ามู่หรงฉิงจะใช้วิธีการใดในการสร้างอำนาจของตนเองในจวนเฉิน?
“ฝ่าา องค์หญิงได้ออกจากจวนของฮูหยินชั้นที่หนึ่งแล้ว และผู้น้อยได้ส่งคนไปติดตามแล้ว นี่เป็โอกาสที่หายากมาก ฝ่าา ้า...”
“ได้ยินมาว่า องค์หญิงซาเหรินชื่นชอบมู่หรงฉิงเป็อย่างมาก เ้าคิดว่าถ้านางสามารถสนิทสนมชิดใกล้กับมู่หรงฉิงมากกว่านี้ และได้เป็เพื่อนที่ดีที่สุดของนาง มันจะน่าสนุกมากใช่หรือไม่?” หลี่ซื่อเสวียนเอ่ยขัดจังหวะคำพูดของมู่หลิน ก่อนดื่มสุราหนึ่งจอกหมดภายในรวดเดียว “ปล่อยไปเถอะ คืนนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ข้าไม่อยากจะสนใจนาง นางมาที่เมืองหลวงสองสามวันแล้ว และเป็เื่ปกติที่นางอยากจะรู้เกี่ยวกับเมืองหลวง ขอแค่ไม่เกิดอุบัติเหตุก็เพียงพอ อย่าติดตามอย่างใกล้ชิดมากนัก ถ้าเกิดถูกนางพบขึ้นมา จะได้ไม่คุ้มเสีย”
ปล่อยไปเถอะ วางจอกสุราลง กุมมือด้านหลัง แล้วเดินออกจากห้องส่วนตัว
“น้องหญิง น้องหญิงกินนี่หรือไม่ นี่มันอร่อยจริงๆ” เฉินเทียนหยูกัดเปาะเปี๊ยะหยกเข้าปาก ก่อนที่จะส่งเข้าปากของมู่หรงฉิง และ้าให้นางกินให้ได้
มู่หรงฉิงลำบากใจเป็อย่างมาก แม้ว่าหลายคนดูเหมือนจะกินอาหารอย่างจริงจัง แต่นางมักจะรู้สึกว่า สายตาของคนหลายคนกำลังจับจ้องอยู่ที่เปาะเปี๊ยะหยก “ฉิงเอ๋อร์กินพอประมาณแล้ว ท่านพี่ชอบกิน ก็กินให้มากอีกเล็กน้อย ข้า...”
คำพูดที่เหลือกลายเป็ถ้อยคำคลุมเครือ จากนั้นจึงได้ยินเฉินเทียนหยูถามอย่างมีความสุข “เป็อย่างไรบ้าง? อร่อยใช่หรือไม่?”
“อืม อืม อร่อยมาก...”
แม้ว่าคำพูดของนางจะไม่ชัดเจนแต่เสียงอันนุ่มนวลอ่อนโยนของมู่หรงฉิงขณะลอบฟัง หลี่ซื่อเสวียนได้ยินทุกคำไม่มีผิดพลาด และมากไปกว่านั้น เขาสามารถััถึงความจนปัญญาในคำพูดของนาง
เฮอะ! มู่หรงฉิง เ้าสามารถทำให้คนโง่งมคนหนึ่งปฏิบัติต่อเ้าเป็อย่างดี วิธีการของเ้าย่อมไม่เรียบง่ายธรรมดาอย่างแน่นอน วันเวลาผ่านไปอย่างสงบสุขมาช้านานแล้วจะต้องก่อกวนสักเล็กน้อย มีเ้าเข้าร่วมด้วย ดูเหมือนไม่เลวเลย บางทีมันอาจจะสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็ไปได้
“คุณชายเดินทางปลอดภัย”
หลี่ซื่อเสวียนย่างก้าวออกจากร้านอาหารจู้ฝู ท่ามกลางเสียงะโประจบประแจงของเสี่ยวเอ้อ มู่หลินมองไปทางห้องส่วนตัวที่อยู่ด้านหลังเขา จากนั้นเลื่อนสายตามองไปที่หลี่ซื่อเสวียนที่ค่อนข้างผิดแปลกไปจากปกติ และในท้ายที่สุด เขาก็ส่ายศีรษะและเดินตามออกไป
ความคิดของเ้านาย ช่างคาดเดายากจริงๆ ตามความคิดเห็นของเขา ควรทำตามที่อนุหนิงพูด นั่นคือฆ่ามู่หรงฉิง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
หลังรับประทานอาหารเย็นท่ามกลางเสียงะโของเสี่ยวเอ้อ กลุ่มคนจึงย่างก้าวบนถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน เข้าไปในฝูงชน
หากนับเวลา เป้ยหนิงน่าจะเคลื่อนไหวแล้ว หลังจากจ้าวจื่อซินตรวจสอบอย่างระมัดระวังและรับรองได้ว่าไม่มีการติดตาม หลายคนจึงเดินเข้าไปในตรอก และหลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาเป็เวลานาน ในที่สุดก็เดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง
“เ้ามีบ้านในเมืองหลวงกี่หลังหรือ? บ้านว่างไม่มีคนอยู่ในวันปกติ เ้าไม่คิดว่ามันจะสิ้นเปลืองเกินไปหรือ?” มู่หรงฉิงมองสำรวจบ้านที่ว่างเปล่า มู่หรงฉิงรู้สึกเพียงว่าทรัพย์สินของจ้าวจื่อซินคงมีไม่น้อย เนื่องจากการซื้อบ้านจำนวนมากโดยไม่พักอาศัย มันเป็การใช้เงินมากเกินไปหลายส่วน
“เส้นทางลับจะต้องขุดให้ดี ย่อมขาดบ้านหลังนี้ไม่ได้ ถ้าบ้านหลังนี้มีประโยชน์สำหรับเ้า ข้าสามารถให้ได้ แต่ราคาบ้านในเมืองหลวงในตอนนี้ค่อนข้างสูง ขึ้นอยู่กับว่าเ้า้าซื้อมันหรือไม่ แต่ถ้าเ้าไม่้าซื้อมัน ข้าก็สามารถเก็บไว้ให้เ้าได้ ใครทำให้ข้ารวยล่ะ?” จ้าวจื่อซินตอบด้วยความภาคภูมิ ครั้นชิงยวี่ผู้ซึ่งอยู่ในลานบ้านได้ยิน เขาถึงกับแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างไร้คำพูด
ทำไมคำพูดของท่านผู้นำปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว? 'เ้าสารเลว หลังจากใช้เงินส่วนของตนเองจนหมด ก็มาใช้เงินของบ้านไร่ หากเป็เช่นนี้ต่อไป บ้านไร่สิบที่ก็ไม่เพียงพอสำหรับเ้าที่จะใช้เงิน’
ชิงยวี่พูดไม่ออก แต่มู่หรงฉิงอดที่จะหัวเราะไม่ได้ ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่า คำพูดของจ้าวจื่อซินฟังดูเหมือนบุคคลที่เพิ่งเป็เศรษฐีใหม่อย่างไรอย่างนั้น?
ได้เห็นรอยยิ้มของนาง มุมปากของจ้าวจื่อซินจึงโค้งขึ้น ละทิ้งท่าทางของความมั่งคั่งอันน่าเกรงขาม จากนั้นเดินนำหลายคนเข้าไปในบ้าน “เส้นทางลับสายนี้นำไปสู่ด้านนอกของเมือง และสิ่งต่างๆ ได้ถูกส่งไปแล้ว ไม่แน่ว่าเวลานี้ องค์หญิงกำลังก่นด่าพวกเราที่มาช้าเกินไปก็เป็ไปได้”
“ไม่มีใครไปกับนางหรือ?” ผู้หญิงตัวคนเดียวออกไปนอกเมืองตามลำพังในยามค่ำคืน แม้จะมีความกล้าหาญมากแค่ไหน ถึงกระนั้นนางจะต้องมีความกลัวบ้างกระมัง
“นางไม่ได้เรียนรู้อย่างอื่นจากหมอเทวดา แต่นางเรียนรู้เกี่ยวกับยาพิษไม่น้อย ข้ากลัวว่าคนของข้าจะถูกนางวางกับดัก ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาส่งของแล้วก็ถอนตัวกลับมา” จ้าวจื่อซินก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เป็หมอรักษาคนดีๆ ทำไมถึงชอบปรุงยาพิษนักหนา? อยู่กับยาพิษตลอดทั้งวัน เห็นใครไม่ถูกใจก็แค่ทิ้งของเล็กน้อย นั่นก็สามารถทำให้คนทรมานเกือบตายได้
คนของเขาถูกหมอเทวดาทรมานจนกลัวแล้ว โดยพื้นฐานพวกเขาจะรู้สึกปวดศีรษะทันทีที่เห็นหมอเทวดา ปรายตามองไปทางชิงยวี่ที่รู้สึกเหมือนกันพลางครุ่นคิดในใจ หลายปีมานี้ชิงยวี่ได้รับความเดือดร้อนจากหมอเทวดามากแค่ไหนแล้ว?