ตอนที่ ๒
วัชรินทร์ไม่งาม
วัชร์ย้ายเข้ามาอยู่ในรั้วบ้านหลังนี้ได้ครบสี่วันแล้ว ในแต่ละวันผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย มีสิ่งที่ทำเป็กิจวัตรเพียงไม่กี่อย่าง...เริ่มจากตื่นขึ้นมามองทิวทัศน์รอบ ๆ ผ่านหน้าต่าง หลังจากนั้นก็หอบหนังสือสักเล่มมาอ่านที่ใต้ต้นกันเกรา ซึ่งถูกปลูกเอาไว้ข้างเรือนไทย
แต่ดูเหมือนว่าเช้าวันนี้ ทุกอย่างจะวุ่นวายผิดหูผิดตาไปหมด เขาตื่นเร็วกว่าปกติเนื่องจากได้ยินเสียงเอ็ดตะโรวุ่นวาย ครั้นเมื่อเปิดประตูออกมาดู จึงเห็นเหล่าคนงานทั้งชายและหญิงวิ่งสวนกันไปมาให้วุ่น...ลูกหล้าที่กำลังวิ่งหอบของพะรุงพะรังผ่านหน้าเรือนไทย เมื่อเห็นผู้เป็นายก็รีบหยุดจนหัวเกือบทิ่มพื้น
“คุณวัชร์ตื่นแล้วหรือจ๊ะ
“ทำไมวันนี้ถึงวุ่นวายกันนัก”
เลือกที่จะส่งคำถามไปให้ เด็กหนุ่มกวาดสายตามองสถานการณ์วุ่นวายโดยรอบก่อนจะตอบ
“อีกไม่กี่วันจะมีงานบุญบ้านจ้ะ”
“งานบุญบ้าน”
“ใช่จ้ะ จู่ ๆ คุณไท่ก็สั่งให้จัด”
“ไอ้หล้าอยู่ไหนวะ เอาของมาเร็ว ๆ!”
“ปะ ไปแล้วจ้ะ ๆ”
เ้าของชื่อสะดุ้งใ รีบหันไปมองตามที่มาของเสียงจนผมจุกบนหัวสะบัด ยกมือที่ยังถือข้าวของพะรุงพะรังไหว้คุณวัชร์ปลก ๆ แล้ววิ่งแจ้นไปทำงานต่อ ในขณะที่วัชรินทร์ตัดสินใจเดินเล่นอยู่ในสวน เนื่องจากคนไม่ค่อยพลุกพล่าน จะได้ไม่เกะกะคนที่กำลังทำงาน
พัดผ้าไหมสีแดงถูกขยับพัดวีให้กับตัวเองอย่างเชื่องช้า ดวงหน้างามฉายแววผ่อนคลายเมื่อบรรยากาศยามเช้าวันนี้ดีมากกว่าที่คิด ก่อนจังหวะการก้าวเท้าจะค่อย ๆ เชื่องช้าลง กระทั่งกลายเป็หยุดนิ่ง รอยยิ้มบางบนใบหน้าเริ่มเลือนหายไป ยามได้ยินเสียงกระซิบกระซาบที่อยู่ไม่ไกล
“ทำไมจู่ ๆ คุณไท่ถึงสั่งให้จัดงานบุญบ้านกะทันหันแบบนี้”
“ฉันได้ยินคนเขาลือกันมา...ว่าอาจจะเป็เพราะดวงของคุณวัชร์”
บทสนทนาเกิดขึ้นกลางวงของหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งกรองมาลัยอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ฝ่ายคนตั้งคำถาม ครั้นเมื่อได้ยินชื่อของคนที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ในพระนคร ก็แอบชะโงกหน้าเข้าไปหาคนข้างกายเล็กน้อย แล้วถามต่อทันทีอย่างใคร่รู้ใคร่เห็น
โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีใครบางคนกำลังยืนโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ...เพียงเพราะได้ยินคำว่า ‘ดวง’ เท่านั้น
“ดวงของคุณวัชร์ทำไมหรือ”
“ก็---”
“ปากเปราะเหลือเกินนะ”
“...”
พลันน้ำเสียงถูกกลืนหายไปในลำคอ เมื่อได้ยินเสียงแทรกดังขึ้นมากะทันหัน ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นไปจึงเห็นร่างสูงเพรียวของคุณวัชร์กำลังยืนอยู่ พัดสีแดงในมือถูกกำเอาไว้แน่น เช่นเดียวกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่หลุบลงมองกันอย่างเอาเื่อยู่ไม่น้อย
“ฉันคงต้องช่วยปิดปากสักหน่อย เผื่อจะได้พูดน้อยลง”
“ขะ ขอโทษค่ะคุณวัชร์!”
เพียงเท่านั้น วงสนทนาก็แตกกระเจิง ทุกคนรีบถกผ้าถุงวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง เหลือเพียงแต่วัชรินทร์ที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม...ดวงตาคมสวยตวัดมองตามท้ายหลังรถยนต์คันหรูของผู้เป็สามีที่เพิ่งจะถูกขับออกจากอาณาเขตรั้วบ้านไป
พลันความรู้สึกอภิรมย์เมื่อครู่ถูกทำลายไปจนไม่เหลือ แล้วแทนที่ด้วยอารมณ์คุกรุ่นไปตลอดทั้งวัน
…
๒๒.๓๐ น.
เนื่องจากอีกไม่กี่วันก็จะมีงานบุญครั้งใหญ่ แม้จะเป็เวลาดึกดื่นแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านหลังใหญ่ก็ยังคงคึกคักเคล้าไปกับเสียงวุ่นวาย เนื่องจากทุกคนต่างเร่งรีบเตรียมพร้อมทุกอย่างให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
ลูกหล้านั่งคุกเข่าถูพื้นอยู่กลางห้องโถงใหญ่ แต่สายตาก็ไม่วายแอบเหลือบมองร่างของคุณวัชร์ที่นั่งไขว่ห้างอย่างสง่า มือข้างหนึ่งถือพัดผ้าไหมสีแดงพัดวีให้ตัวเองอย่างเชื่องช้า ทว่าใบหน้ากลับบูดบึ้งตึง จนไม่ว่าใครที่เผลอไปสบตาด้วยก็ต้องรีบก้มหน้าหลบในทันใด
รูปโฉมคุณวัชร์สวยสง่าเหลือเกิน แต่กลับมีนิสัยหยิ่งผยองและถือตัวมากเสียจนไม่น่าเข้าใกล้
เด็กหนุ่มแอบกระเถิบก้นเข้าไปใกล้คนข้างกายที่กำลังตั้งใจจัดข้าวของอย่างขะมักเขม้น ก่อนจะแอบป้องปากกระซิบถามด้วยความใคร่รู้ใคร่เห็น
“ดึกป่านนี้แล้ว ทำไมคุณวัชร์ถึงยังนั่งอยู่ตรงนี้ล่ะป้า”
“ข้าจะไปรู้หรือ ก้มหน้าก้มตาถูพื้นไปเถอะ งานของตัวเองเสร็จแล้วรึ!!”
หญิงวัยกลางคนหันมาเอ็ดเข้าให้ ไม่นานก็รีบย้ายร่างของตัวเองไปที่อื่น ราวกับไม่้ารู้เห็นเื่ของคุณวัชร์เลยแม้แต่น้อย...แม้จะเพิ่งย้ายเข้ามาได้เพียงไม่กี่วัน แต่ข่าวลือเกี่ยวกับวัชรินทร์ก็สะพัดไปทั่วอย่างรวดเร็ว รวมถึงสาเหตุที่ต้องระเห็จมาอยู่อาศัยที่นี่เช่นกัน
ยิ่งได้รู้ว่าอีกฝ่ายเกิดมาพร้อมกับดวงแสนอัปรีย์ ดึงดูดให้คนใกล้ตัวพบเจอแต่ความเดือดร้อน ก็พากันกลัวจนเตลิด พยายามหลีกเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้ แม้แต่หน้าก็ไม่กล้ามอง จะมีก็แต่ไอ้ลูกหล้าที่ต้องตามดูแลนายของตนตลอดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ซวยแล้ว...”
ลูกหล้าสบถออกมาเสียงเบา เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ขับเข้ามา บ่งบอกว่าเ้าของบ้านได้กลับมาแล้ว ร่างสูงของซูเหวินเดินผ่านประตูบานใหญ่ พร้อมกับผู้ติดตามอีกจำนวนไม่น้อย ก่อนจะหยุดลงเมื่อดวงตาสบประสานกับผู้เป็ภรรยาที่นั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว
“มีอะไร”
พลันบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบน่าอึดอัด วัชรินทร์หุบพัดในมือแล้วเอ่ยถามเข้าประเด็นทันทีด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าก็ยังเก็บงำความรู้สึกคุกรุ่นเอาไว้ได้ไม่หมด
“วัชร์มาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วัน ก็มีงานทำบุญบ้านครั้งใหญ่”
“...”
“หวังว่าคงไม่เกี่ยวกับเื่การเอาคนดวงอัปรีย์อย่างวัชร์มาอยู่ด้วยหรอกนะ”
เรียวคิ้วของผู้ฟังเริ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สักพักก็แค่นหัวเราะออกมาหนึ่งคำ แล้วตอบกลับด้วยคำถามที่แฝงความหมายแสนเจ็บแสบ
“ระหว่างที่นั่งรอเฮีย คิดคำถามได้เท่านี้เองหรือ”
“...”
“ถ้าคุณวัชร์ร้อนตัวถึงขนาดนั้น...ก็คงใช่”
เพล้ง!!!
สิ้นคำพูดดังกล่าวเพียงเสี้ยววินาที พลันแก้วน้ำถูกปาเฉียดใบหน้าของซูเหวินไปเพียงเล็กน้อย เศษแก้วตกแตกกระจัดกระจาย หยาดน้ำไหลเจิ่งนองไปทั่ว...ดวงตาคมสวยเบิกกว้าง ทั้งลมหายใจที่ถี่กระชั้นขึ้นด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธเต็มพิกัด เริ่มตอบโต้ด้วยกิริยาแสนก้าวร้าวแต่ก็ยังไม่สาแก่ใจ
เจ็บใจเหลือเกิน
คำทำนายจากไอ้หมอดูอัปรีย์จัญไรพวกนั้น ไม่ต่างอะไรจากเสนียดที่เกาะติดตัวเขามาทั้งชีวิตเลยสักนิด...มันใช่เื่เอามาล้อกันเล่นหรืออย่างไร
ร่างสูงมองเศษแก้วที่แตกกระจายบนพื้นอยู่นาน ก่อนจะหันไปมองสบกับผู้เป็ภรรยาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ภายในดวงตาสีรัตติกาลกลับเริ่มมีสีเข้มขึ้น ทั้งยังแฝงไปด้วยกระแสความกรุ่นโกรธชัดเจนโดยไม่คิดปิดบัง
“เก่งเหลือเกินนะ”
“อึก!”
ร่างสูงเดินตรงดิ่งเข้ามาหาในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที แล้วจับปลายคางบังคับให้เ้าของดวงหน้างามต้องหันมามองสบกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วัชรินทร์เบ้หน้าเล็กน้อยด้วยความเจ็บ พยายามจะดันอีกฝ่ายออกไปให้พ้นแต่ก็ไม่เป็ผล แว่วได้ยินคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“รีบขอโทษเสียสิ”
“...”
“ขอโทษคนใช้ที่ต้องมาตามล้างตามเช็ดเศษซากวีรกรรมของเธอ”
ร่างกายราวกับถูกกระแสความกดดันตรึงไปทุกส่วน ทั้งสายตาคมกริบและน้ำเสียงเ็าของซูเหวินในยามนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน วัชร์ลอบกลืนน้ำลายลงคอแล้วเก็บซ่อนสายตาประหวั่นเอาไว้ได้อย่างแเี ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นตอบโต้กลับไปบ้าง
“วัชร์มีมือมีเท้า วัชร์ก็เก็บกวาดเองได้”
ดวงตาสีรัตติกาลพลันวาวโรจน์ให้กับความอวดดีโดยไม่มีที่สิ้นสุด หญิงและชายรับใช้บางส่วนเริ่มพยายามพากันออกไปจากตรงนี้ เมื่อบรรยากาศระหว่างคนทั้งสองเริ่มเต็มไปด้วยกระแสความกดดัน ราวกับกำลังทำากันท่ามกลางความเงียบงัน
“ดี”
“...”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเก็บกวาดทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ต้องยืมมือยืมเท้าคนอื่นเขามาช่วย”
“...”
“...อย่าให้เฮียเห็นแม้แต่เศษซากชิ้นเล็กชิ้นน้อยหลงเหลืออยู่”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยกล่าวอย่างเชื่องช้าทว่าชัดเจน ราวกับ้าเน้นย้ำให้ผู้ฟังจดจำทุกประโยค ไม่มีตกหล่น...ร่างขาวรีบสะบัดหน้าหนีแล้วถอยหลังเว้นระยะห่างทันทีเมื่อได้รับอิสระ ดวงหน้างามงอง้ำด้วยทั้งความรู้สึกโกรธเคืองและคับแค้นใจที่ตอบโต้อะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้
“มัวแต่ยืนรออะไรอยู่”
“...”
“ทำงานเสียสิ”
เมื่อยืนนิ่งอยู่นานก็ไม่พ้นถูกสั่งย้ำอีกครั้งทั้งสายตาดุดัน วัชร์ได้แต่ยืนกำหมัดแล้วต่อว่าผู้เป็สามีในใจ ถึงอย่างนั้นก็ต้องจำใจเดินไปเก็บกวาดเศษแก้วที่แตกกระจายอย่างทุลักทุเล ตามประสาคนที่ไม่ชอบทำงานบ้านงานเรือนเลยสักนิด
คนอายุน้อยกว่าส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอเป็ระยะ เมื่อบางครั้งก็เผลอจับคมแก้วโดยไม่ได้ตั้งใจจนเจ็บนิ้วไปหมด ในขณะที่ซูเหวินเพียงนั่งลงบนโซฟาด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย แล้วหยิบหนังสือมาเปิดอ่าน กระนั้น ดวงตาฉายแววดุดันและเด็ดขาดก็ยังคงจับจ้องไปยังวัชรินทร์อยู่เป็ระยะ
ราวกับผู้คุมที่กำลังสอดส่องพฤติกรรม จนกว่าบทลงโทษจะสิ้นสุดลง
“หนะ หนูเข้าไปช่วยคุณวัชร์ดีกว่าจ้ะ”
“เอ็งอยากถูกคุณไท่ลงโทษนักหรือไง สงบเสงี่ยมเข้าไว้จะได้ไม่ลำบาก”
ลูกหล้าที่เห็นสภาพทุลักทุเลของผู้เป็นายก็นึกสงสาร อาสาจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน ได้แต่มองอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ยไป เก็บเศษแก้วไปก็เท่านั้น ฝ่ายวัชรินทร์ครั้นเมื่อทำความสะอาดจนพื้นกลับมาสะอาดเอี่ยมอ่องอีกครั้ง ก็ตวัดสายตาที่ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความดื้อดึงขึ้นมองสบกับผู้เป็สามีทันที
“วัชร์แสนเกลียดสามีอย่างคุณ”
ถ้อยคำค่อนขอดดังกล่าวไม่ได้สร้างความรู้สึกแปลกใจให้แก่ผู้ฟังเลยแม้แต่น้อย ซูเหวินเพียงเปิดหนังสือหน้าถัดไปอย่างใจเย็น ก่อนจะตอบโต้กลับไปบ้างด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ราวกับกำลังพูดคุยเื่ทั่วไป...ทว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่
“เฮียก็ชังภรรยาอย่างคุณวัชร์ไม่น้อยไปกว่ากัน”
หากให้ลองนิยามความสัมพันธ์ของพวกเขา ก็คงจะเป็คู่ชีวิตที่ชังน้ำหน้ากันมากที่สุดในพระนคร ในวินาทีนี้ วัชร์คิดว่าคงไม่มีสามี ภรรยาคู่ไหนที่ดำเนินความสัมพันธ์ด้วยความเกลียดชังตลอดเวลาอย่างพวกเขาอีกแล้ว
“จำเอาไว้เถอะ...ว่าวัชร์ไม่มีวันมอบใจให้คนอย่างคุณ”
สิ้นประโยค พลันแว่วได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังในลำคอหนึ่งคำ พร้อมกับหนังสือที่ถูกปิดลง ดวงตาสีรัตติกาลเปี่ยมอำนาจมองสบกับผู้เป็ภรรยา แล้วจึงตอบกลับไปด้วยประโยคแฝงความหมายเจ็บแสบไม่ต่างกัน
“คิดว่าเฮียจะหลงรักคนอย่างเธอได้งั้นหรือ”
“...”
“ย่อมไม่มีวันนั้น”
ปัง!!
บานประตูไม้บ้านเรือนไทยถูกปิดลงอย่างแรง พร้อมกับร่างของวัชรินทร์ที่รีบะโขึ้นเตียง หยิบหมอนมาฟาดกับฟูกระบายอารมณ์โทสะในใจ เพียงนึกถึงเสี้ยวใบหน้าของผู้เป็สามี หัวก็พลันร้อนผ่าว ไม่ว่าอะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด แม้แต่กลิ่นดอกกันเกราที่ชอบนักหนาก็ยังเหม็นได้
กำลังดัดนิสัยกันอยู่หรือยังไง
“หลังจากนี้ เปิ้นจะกอยแป๋งเื่หื้อเฮือนแตกปุ้นน่ะ กอยผ่อเต๊อะ!!” (หลังจากนี้ ฉันจะคอยสร้างเื่ให้บ้านแตกไปเลย คอยดูสิ!!)
กล่าวเสียงหนักเป็ภาษาถิ่นกับตัวเองอย่างหมายมั่น ไม่วายใช้กำปั้นทุบตีหมอนซ้ำอีกครั้งดังตุ้บตั้บเพราะยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ ก่อนจะต้องชะงักไป เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นแสงสว่างจากห้องหนึ่งในบ้านหลังใหญ่ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบานหน้าต่างห้องของวัชร์พอดี
ปกติแล้วห้องดังกล่าวจะถูกปิดไฟเอาไว้ตลอดจนเขาเข้าใจว่าเป็ห้องที่ถูกปิดตาย เมื่อเห็นดังนั้นก็อดจะสงสัยไม่ได้ แอบหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อพิจารณาเงาราง ๆ ของใครบางคนที่นั่งอยู่ และดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะรู้ตัวพอดีด้วยสัญชาตญาณ จึงหันมามองสบกันในทันใด
!!!
พลันดวงตาเบิกกว้างขึ้นด้วยความใ พอเห็นชัดว่าคนที่นั่งอยู่ในห้องเป็ใคร ดวงหน้างามก็พลันฉายแววบูดบึ้งในทันใด
นี่ห้องของเขา อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องทำงานของสามีหรือยังไง!
เสียงปิดบานหน้าต่างปึงปังดังมาถึงในห้องทำงานของบ้านอีกหลัง ซูเหวินหยิบสมุดบัญชีอีกเล่มขึ้นมาอ่านต่อด้วยใบหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงรบกวนพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย กระนั้น เรียวคิ้วเข้มก็ยังแอบขมวดเข้าหากันไม่ยอมคลายออก
ผู้ติดตามคนหนึ่งเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับเอกสารกองใหญ่ที่ได้รับมอบหมายให้ไปยกมา ครั้นเมื่อเหลือบไปเห็นบานหน้าต่างเรือนไทยฝั่งตรงข้ามที่ถูกปิดสนิท ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงเ้าของห้อง ก่อนจะถูกสวนกลับมาทันทีเสียงเย็นเยียบจนต้องรีบปิดปากเงียบ
“คุณวัชร์งามเหลือเกินครับ อีกไม่นานคนคงได้ลือกันไปทั่ว”
“ไม่งาม”
“...”
“ไม่มีส่วนไหนที่งาม...ออกไปได้แล้ว”
“คะ ครับ...”
ชายหนุ่มก้มหน้าค้อมตัวเล็กน้อย แล้วเดินออกไปตามคำสั่ง ครั้นเมื่อปิดประตูลงได้ก็ลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ น้ำเสียงของคุณไท่เมื่อครู่เย็นเยียบเสียจนหนาวไปทั้งแนวกระดูกสันหลัง
...ชังน้ำหน้ากันถึงขนาดนี้ ดูท่าทายาทรุ่นต่อไปคงจะไม่มีโอกาสได้เกิดเสียแล้วกระมัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้