จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินลาลับพ้นกลุ่มูเาไป พวกเฉินเผิงเฟยก็ยังไม่มีร่องรอยให้ได้เห็นดังเดิม
เมื่อทราบว่ากู้ฉีจะอาศัยในบ้านหนึ่งคืน หลี่ซื่อก็รีบไปเก็บกวาดห้องรับแขกทันที เปลี่ยนปลอกผ้านวมและปลอกหมอนชุดใหม่ เช็ดถูโต๊ะและเก้าอี้ใหม่หนึ่งรอบ จัดวางอ่างล้างหน้าบ้วนปาก ผ้าเช็ดตัวและป้าหอมทีละอย่างจนเรียบร้อย จัดทำโน่นเตรียมนี่อยู่ในห้องรับแขกพักหนึ่งแล้วถึงออกจากห้องมา
ถึงเวลาจุดตะเกียงน้ำมัน หลังสกุลหูทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว นอกประตูบ้านยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวอยู่เช่นเดิม
แม้แต่หูฉางกุ้ยก็เริ่มร้อนใจขึ้นเล็กน้อยไปด้วย เขารู้ว่าเสี่ยวเฮยนำทางองครักษ์ไม่กี่คนเข้าไปในูเาเพื่อเก็บโสมคน แต่ท้องฟ้ามืดมิดเพียงนี้แล้วเสี่ยวเฮยยังไม่กลับมาอีก นี่ช่างเป็เื่ที่เกิดขึ้นได้น้อยนัก
เสี่ยวเฮยมักออกจากบ้านไปเที่ยวเล่นสนุก แต่ก่อนฟ้าจะมืดมันมักกลับบ้านมากินข้าวเสมอ
เจินจูยืนอยู่กลางลานบ้าน มองไปยังดวงดาวจุดเล็กจุดน้อยเต็มทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด ในใจอดมีความกังวลขึ้นเล็กน้อยไปด้วยไม่ได้เช่นกัน
ดูจากระยะทางหากไม่เกิดอันตรายอะไรขึ้น และใช้ความเร็วในการเดินเท้าของพวกเขา ก่อนฟ้ามืดน่าจะเร่งกลับมาได้แล้วสิ
หรือองครักษ์ฝีมือสูงล้ำเลิศเหล่านี้ จะเทียบกับฝีเท้าของเสี่ยวเฮยไม่ได้เลยหรือ?
ไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง? หากเป็คนธรรมดา ไปกลับอาจต้องใช้เวลาสามสี่วัน อย่างไรเสียเหตุการณ์ไม่แน่นอนก็มีมาก อีกอย่างในูเาลึกแยกแยะทิศทางได้ยากลำบาก ง่ายต่อการหลงในป่ารกทึบยิ่งนัก
แต่พวกเขามีเสี่ยวเฮยนำทาง ทิศทางย่อมไม่มีทางผิดพลาดแน่
เจินจูกลัดกลุ้ม หากพรุ่งนี้ตอนกลางวันพวกเขายังเร่งกลับมาไม่ถึง นางจะให้เสี่ยวจินไปดูสักหน่อย
ขณะที่ขมวดคิ้วคิด เสียงร้องของแมวที่คุ้นเคยก็แว่วเข้ามาในหูจากนอกประตู
เจินจูดีใจเหลือคณนา รีบยกกระโปรงวิ่งไปเปิดประตูทันที
ภายในห้องโถง ผิงอันดื่มชาและคุยเล่นเป็เพื่อนกู้ฉี สองคนต่างก็เห็นเจินจูวิ่งอย่างรวดเร็วออกไป จึงรีบหยัดกายลุกขึ้นยืนวิ่งตามไปยังนอกบ้านทันทีเช่นกัน
พอเจินจูเปิดประตู เสี่ยวเฮยก็พุ่งตรงเข้ามาจากที่ไม่ไกละโเข้าในอ้อมอกของนาง
“หง่าว” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกน้อยใจ
ครั้นแล้วจึงเห็นขนเรียบลื่นงดงามของมันเละเทะไม่เป็ระเบียบ บนตัวเต็มไปด้วยดินโคลนและคราบน้ำเต็มไปหมด
“เอ๋ เสี่ยวเฮย เหตุใดเ้าสกปรกเช่นนี้?” เจินจูทั้งปวดใจทั้งรังเกียจ เ้าแมวนี่โผเข้ามาถึงกายนาง เสื้อผ้าล้วนเปรอะเปื้อนไปหมดแล้ว
“เหมียวๆ” เสี่ยวเฮยประท้วงไม่หยุด ล้วนเป็เพราะท่านให้ข้าพากลุ่มคนโง่เง่าเข้าไปในูเาอย่างไรล่ะ ข้าถึงได้กลายเป็สภาพเช่นนี้ ท่านยังรังเกียจข้าอีก
“…เอ่อ ฮ่าๆ เช่นนั้นพวกเขาล่ะ ทำไมไม่เห็นเงาคนเลย?” เจินจูใช้สองมือประคองมันไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มันถูไปบนตัวนางอีก
กู้ฉีกับผิงอันมาถึงยังหน้าประตูและชะโงกออกไปมองรอบๆ เช่นกัน
“เหมียว” เสี่ยวเฮยไม่อยากสนใจพวกเขาแล้ว วิ่งมาทั้งวัน แมวอย่างข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
“ยังอยู่ข้างหลังหรือ ทำไมเ้าไม่พาพวกเขากลับมาสักหน่อย ฟ้ามืดมิดเพียงนี้” เ้าแมวนี่ พาคนออกมาจากูเาแล้ว ตัวเองก็วิ่งกลับมาเลย ไม่คิดสักหน่อยเลยว่าพวกเขาเป็มนุษย์ที่ไม่คุ้นทาง แล้วนี่ยังเป็เวลาดึกดื่นค่อนคืนแล้วด้วย
“พวกเฉินเผิงเฟยอยู่ด้านหลังหรือ?” กู้ฉีหันกลับไปถาม
“อื้ม น่าจะใช่ เสี่ยวเฮยวิ่งกลับมาก่อน พวกเขาอาจยังอยู่ท้ายหมู่บ้าน” เจินจูยิ้มหน้าเหยเก เ้าแมวนี่ทำเื่ได้อย่างสุกเอาเผากินจริงๆ
“เจินจู ข้าไปรับพวกเขาที่ท้ายหมู่บ้านแล้วกัน ฟ้ามืดเกินไปแล้ว น่าจะมองไม่เห็นทางเป็แน่” หูฉางกุ้ยที่ไม่ทราบว่าหิ้วโคมไฟออกมาั้แ่เมื่อใดกล่าวขึ้น
“ท่านพ่อ ข้าจะไปกับท่านด้วย” ผิงอันกล่าวอย่างกระตือรือร้น
“ได้เ้าค่ะ เช่นนั้นพวกท่านไปดูหน่อยเถอะ น่าจะออกมาจากป่าหลังเขาแล้ว ไม่นานก็คงจะถึงเ้าค่ะ” ในหมู่บ้านพวกเขาคุ้นชินเส้นทาง มีโคมไฟไปด้วยทำให้สะดวกสบายขึ้น
สองคนขานรับและจากไป
ผ่านไปครึ่งเค่อ หูฉางกุ้ยกับผิงอันได้นำกลุ่มเฉินเผิงเฟยกลับมายังบ้านสกุลหู
เจินจูกวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่ง ห้าคนไม่ขาดเลยสักคน ทั่วทั้งร่างกายตกอยู่ในสภาพตกระกำลำบาก ทั้งเปื้อนดินทั้งเปียกน้ำ ยังดีที่ไม่แขนขาขาด หนึ่งในนั้นทั้งกายเต็มไปด้วยโคลนเลน แม้แต่ศีรษะไปจนถึงเท้าก็ล้วนเต็มไปด้วยโคลน ปรากฏออกมาเพียงลูกตาดำสองข้าง
“องครักษ์เฉิน พวกท่านาเ็หนักกันหรือไม่เ้าคะ ต้องไปเชิญท่านหมอในหมู่บ้านมาหรือไม่?”
“ไม่ขอรบกวน แม่นางหู พวกข้ามีสมุนไพรพันกันเองไว้แล้ว” เฉินเผิงเฟยทั่วทั้งศีรษะและใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นดิน รีบใช้มือข้างหนึ่งโบกไปมา แขนซ้ายของเขาปล่อยห้อยลงราวกับาเ็ไม่เบา
“เช่นนั้น พวกท่านจะทานข้าวกันก่อน หรืออาบน้ำก่อนดีเ้าคะ?” พวกเขาเหนื่อยล้ากันเกินจะทนไหว แต่ก็สกปรกอย่างยิ่งเช่นกัน
“ทานข้าวก่อนจะดีกว่า แม่นางหู พวกข้าหิวกันจนสามารถทานวัวได้ทั้งตัวแล้ว” เฉินเผิงเฟยอุปมาอย่างเกินความเป็จริง
เจินจูประดับรอยยิ้มขึ้น แล้วเตรียมไปยกอาหารมาให้พวกเขา
ขณะที่เฉินเผิงเฟยเข้าประตูบ้านมา กู้ฉีก็แลกเปลี่ยนสายตากับเขาอยู่แต่แรกแล้ว
ทราบว่าพวกเขาบรรลุเป้าหมาย ในใจกู้ฉีก็สงบลงเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าขณะนี้ภายในห้องไร้คน เขาจึงกดเสียงต่ำถามออกไป “รูปลักษณ์เป็อย่างไร?”
นี่เป็ปัญหาที่เขาให้ความสนใจที่สุด
เฉินเผิงเฟยมีความสุขจนยิ้มแย้มไปทั้งใบหน้าขึ้นทันทีและกล่าวเสียงเบา “ดีกว่าต้นเมื่อก่อนนัก อีกทั้งไม่ใช่แค่ต้นเดียวด้วยขอรับ ทั้งหมดที่ขุดออกมาได้มีห้าต้นเลยขอรับ”
ห้าต้น? แล้วยังรูปลักษณ์ดีกว่าต้นเมื่อก่อนอีก? กู้ฉีมองเฉินเผิงเฟยอย่างไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย กลัวมากว่าเป็ตนเองจะได้ยินผิดไป
โสมคนชั้นยอดหนึ่งต้นล้วนยากที่จะได้มา พวกเขากลับขุดได้ตั้งห้าต้นเชียวหรือ
หัวใจของกู้ฉี เต้นรัวเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่
ห้องครัวของสกุลหูเก็บอาหารไว้ให้พวกเขาแล้ว เอาออกมาอุ่นสักหน่อยก็สามารถทานได้
สีท้องฟ้ามืดค่ำลง หลี่ซื่อให้หูฉางกุ้ยกับผิงอันไปร้องเรียกแขกผู้ชายหน้าบ้านมาทานข้าว และห้ามให้เจินจูออกไปหน้าบ้านอีก
เจินจูเชื่อฟังแต่โดยดี ยิ้มแล้วจับเสี่ยวเฮยที่กินข้าวจนอิ่มแล้วไปอาบน้ำ
เสี่ยวเฮยที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน ถูกอาบน้ำอุ่นอย่างผ่อนคลาย ใช้ผ้าของมันโดยเฉพาะเช็ดจนแห้งสะอาด จากนั้นก็ไปนอนอยู่ในรังเล็กของมันแล้วหลับไปอย่างสบายใจ
เจินจูไม่ได้ถามพวกเฉินเผิงเฟยว่าขุดโสมคนได้หรือไม่ เพราะการแสดงออกของพวกเขาได้บอกทุกสิ่งออกมาชัดเจนแล้ว
หากขุดไม่ได้ จิตใจย่อมไม่มีทางสงบผ่อนคลายเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน
ดึกดื่นมากแล้วมีเื่อะไรควรเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน
แต่กู้ฉีกลับรอวันพรุ่งนี้ไม่ไหว เขารอเฉินเผิงเฟยทานอาหารเย็นเสร็จก็ให้เขาติดตามตนเองเข้าห้องรับแขกไป
เมื่อเขาเอาโสมคนห้าต้นนั้นออกมาจากในห่อผ้าอย่างระมัดระวัง กู้ฉีเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
โสมคนห้าต้น ขนาดหนาประมาณสามนิ้ว ยามนี้จัดวางอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยอยู่บนโต๊ะ บนรากฝอยของโสมคนยังมีเศษโคลนติดอยู่ไม่น้อย ไม่เพียงรูปร่างใหญ่กว่าต้นเมื่อก่อนเท่านั้น แต่สีม่วงที่กระจายออกมายังล้ำลึกมากกว่าเมื่อก่อนด้วย
“เหตุใดขุดได้มากถึงห้าต้น? เป็การขุดได้ในบริเวณเดียวกันหรือ?” ความแปลกใจระคนยินดีที่เหนือความคาดหมายนี้มากเกินไปแล้ว กู้ฉีรู้สึกว่าไม่ค่อยเป็ความจริงอยู่บ้าง
“ขอรับ คุณชาย ขุดได้บนพื้นที่เดียวกัน ท่านน่ะไม่ทราบ โสมคนอยู่ตรงไหล่เขาที่สูงและอันตรายมากเกินไปแล้วจริงๆ ข้ากับอี้เฟิงเสียเวลาอยู่นานมากถึงปีนป่ายขึ้นไปได้ขอรับ”
“คุณชาย อี้เฟิงเป็องครักษ์หนึ่งคนในหน่วยของพวกข้า ท่าทางการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเป็อย่างยิ่ง แต่สำหรับหน้าผาที่สูงและชันเช่นนั้นก็แสดงฝีมือออกมาไม่ได้เช่นกัน พวกข้าลองอยู่หลายวิธี ล้วนไม่สามารถสำเร็จได้ สุดท้ายยังเป็แมวดำตัวเล็กตัวนั้นมองอย่างรำคาญ มันใช้ปากคาบตะขอเกี่ยวของพวกข้าขึ้นไปและะโไปบนก้อนหินที่ยื่นออกมา ไม่นานก็เอาตะขอเกี่ยวไปแขวนที่ง่ามไม้หนึ่งต้นบนไหล่เขา ภายหลังข้ากับอี้เฟิงไต่ขึ้นไปตามเชือกที่ตะขอเกี่ยวไว้อย่างราบรื่น และปล่อยพวกเขาสามคนรออยู่ที่ด้านล่างหน้าผานั้น”
“แต่ต่อให้มีเชือกเส้นใหญ่ ผาสูงชันนั้นก็ทั้งสูงและเป็แนวดิ่ง พวกข้าปีนขึ้นไปล้วนเหนื่อยล้ากันแทบตาย จริงๆ นะ คุณชาย เสี่ยวเฮยเฉลียวฉลาดมาก ผาหินสูงและชันเพียงนั้น ไต่ขึ้นไปได้ว่องไวยิ่งกว่าการเคลื่อนไหวของลิงอีกขอรับ”
เฉินเผิงเฟยเล่าเื่ราวตลอดการเดินทาง แมวดำตัวนี้สร้างความประหลาดใจให้พวกเขาเกินไปแล้ว
ั้แ่ครั้งแรกที่กู้ฉีเจอเสี่ยวเฮย เขาก็รู้ได้ว่านั่นไม่ใช่แมวธรรมดาตัวหนึ่ง แต่คาดไม่ถึงเลยว่ามันไม่เพียงรู้จักโสมคนในูเาอย่างเดียว แต่ยังสามารถขึ้นไปบนกำแพงหินสูงชันได้อย่างเป็ธรรมชาติ คล่องแคล่วแข็งแรงเฉลียวฉลาดเพียงนี้ หาได้ยากจริงๆ
“ค้นพบโสมคนบนไหล่เขาหรือ?” กู้ฉีถามต่อ
“ขอรับ บนไหล่เขามีพื้นที่เล็กๆ แห่งหนึ่งที่ป่าไม้รกปิดอำพรางอยู่ ข้างผาหินหลังป่าไม้รกนั้น มีโสมคนกระจัดกระจายอยู่บริเวณใกล้เคียงกันขอรับ” ในความเป็จริง พอพวกเขาปีนไปถึงจุดตะขอเชือก ยังต้องปีนป่ายขึ้นไปบนก้อนหินสูงต่ำไม่ราบเรียบหนึ่งผืนอย่างยากลำบากอีก แล้วอ้อมผ่านพื้นที่ตะไคร่น้ำสีเขียวเปียกชื้นจึงจะถึงป่าไม้รกผืนนั้นได้
“เช่นนั้นตรวจสอบพื้นที่ข้างเคียงโดยรอบอย่างละเอียดหมดแล้วหรือ?” ในเมื่อมีโสมคนมากถึงห้าต้น บริเวณใกล้เคียงอาจยังมีกระจัดกระจายอยู่อีกก็ได้
“ข้าน้อยกับอี้เฟิงล้วนตรวจสอบแล้วขอรับ ไม่มีโสมคนอื่นอีก อยู่บนนั้นอี้เฟิงยังถูกงูเหลือมที่ลำตัวหนายิ่งกว่าแขนรัดไว้ด้วย รอจนพวกข้าจัดการงูได้ เสี่ยวเฮยก็เร่งพวกข้าลงเขาอย่างหงุดหงิดแล้วขอรับ” เฉินเผิงเฟยคิดถึงเหตุการณ์ที่พวกเขาสองคนลงจากหน้าผา บนหน้าผาล้วนเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำเปียกชื้นเต็มไปหมด หากไม่ระวังสักนิด อาจกลิ้งร่วงหล่นหน้าผาลงไปได้ เขากับอี้เฟิงจึงเสียเวลาลงจากหน้าผามากกว่าตอนขึ้นเป็เท่าตัว
เสี่ยวเฮยไม่ใช่แมวที่มีความอดทนจริงๆ การแสดงออกของมันมักเย่อหยิ่งและเหยียดหยามอยู่เสมอ ท่าทางดูิ่สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งบนโลก กู้ฉีถูกดวงตาสีเขียวลุ่มลึกของมันทำให้หลงใหลในความหยิ่งยโสไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
“อาการาเ็ของเ้าเป็มาอย่างไร?” เขามองแขนซ้ายของเฉินเผิงเฟย คล้ายาเ็ไม่เบา
“ขณะทางกลับออกมา พวกข้าพักอยู่ที่ราบเรียบแห่งหนึ่ง กำลังทานเนื้อพะโล้ที่แม่นางสกุลหูให้ไป จู่ๆ ก็ถูกฝูงสุนัขป่าเข้าล้อม สุนัขป่าประมาณยี่สิบสามสิบตัวเห็นจะได้ ดวงตาสีเขียววาววับจ้องจะเอาชีวิตพวกข้า ไม่รอให้ทานเสร็จพวกมันก็โผกันเข้ามา ท่าทางโเี้อำมหิตนั่นราวกับไปปล้นเนื้อของพวกมันมาก็ไม่ปาน ข้าน้อยประมาทไปนิด เลยถูกสุนัขป่าหนึ่งตัวกัดเข้าขอรับ” เฉินเผิงเฟยคิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นขึ้น หัวใจยังคงหลงเหลือความหวาดกลัวเล็กน้อย
พวกเขาเลือกที่จะพักผ่อนบนพื้นราบแห่งหนึ่งที่เดินผ่านตอนขามา ที่ไม่ไกลออกไปมีลำธารูเาที่ใสจนเห็นพื้นด้านล่าง เฉินเผิงเฟยกับอี้เฟิงจึงสามารถชะล้างได้หน่อยพอดี เพราะในขณะที่ลงจากหน้าผาพวกเขาเลอะโคลนดินและตะไคร่น้ำเต็มไปทั้งตัว
รอจนพวกเขาล้างสะอาดดีแล้วก็กลับไปพื้นที่ราบเรียบ ทุกคนเริ่มทานเนื้อพะโล้ที่สกุลหูให้มาคำใหญ่ เสี่ยวเฮยก็นั่งแทะหางหมูของมันอยู่บนก้อนหิน
เฉินเผิงเฟยเพิ่งทานได้สองสามคำ ฝูงสุนัขป่าก็ล้อมรอบขึ้นมาทันทีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ดวงตาปรากฏสีเขียววาววับ มองพวกเขาด้วยความโลภ
พวกเขาทั้งห้าคนใมาก ต่างคนต่างดึงอาวุธออกมาป้องกันตัว
เฉินเผิงเฟยยัดเนื้อพะโล้ที่เหลืออยู่เข้าไปเต็มปากภายในหนึ่งคำ ฝูงสุนัขป่าก็เริ่มจู่โจมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
ฝูงสุนัขป่าในสายตาของพวกเขาห้าคนนั้น ไม่นับว่าเป็ปัญหาใหญ่เท่าไร แต่ลักษณะท่าทางของพวกมันโเี้ไร้สติและไล่ตามอย่างบ้าคลั่งเล็กน้อย การเคลื่อนไหวดุร้ายป่าเถื่อนไม่กลัวความเป็ความตายเลยสักนิด
ห้าคนล้อมกันจนกลายเป็ครึ่งวงกลม ร่วมมือกันฆ่าสุนัขป่าที่จู่โจมเข้ามา พวกเขาฝีมือโดดเด่นร่วมมือกันเป็อย่างดี ฝูงสุนัขป่าถูกฆ่าจนตายเกลื่อนกลาด
ตำแหน่งที่เสี่ยวเฮยอยู่ เป็ด้านหลังของพวกเขาพอดี ขณะที่เห็นฝูงสุนัขป่าบุกเข้ามามันยังคงแทะหางหมูอย่างไม่ร้อนรนอยู่เช่นเดิม
สุนัขป่าจ่าฝูงไม่รู้ว่าวิ่งเข้าไปใกล้มันเมื่อไร จ้องหางหมูข้างปากของมันด้วยดวงตาละโมบ ดวงตาสีเขียวเข้มของเสี่ยวเฮยจ้องเขม็งไปที่สุนัขป่าจ่าฝูงที่คิดจะแย่งอาหารของมันด้วยความขุ่นเคือง มันหยัดกายลุกขึ้นยืน เริ่มโก่งตัวป้องกันการรุกราน ในปากก็ส่งเสียงร้องเตือนขู่ดังฟ่อๆ
สุนัขป่าจ่าฝูงจะสนใจการเตือนของมันเสียที่ไหน กระทำการพุ่งเข้าไปข้างก้อนหินอย่างฉับไว และอ้าปากกว้างไปทางเสี่ยวเฮยอย่างดุร้าย
เฉินเผิงเฟยที่คอยระวังเสี่ยวเฮยอยู่ตลอด หันกลับไปหนึ่งทีและใช้คมดาบแทงไปทางสุนัขป่าจ่าฝูง
สุนัขป่าจ่าฝูงสังเกตเห็นได้ถึงอันตรายจึงปล่อยเหยื่อตรงหน้า และเบี่ยงตัวหลบหลีกออกไป
มันเลี่ยงคมดาบแต่กลับถูกกรงเล็บของเสี่ยวเฮยที่เป็ดั่งสายฟ้าฟาด กรงเล็บแหลมคมวาดผ่านดวงตาและหน้าผากด้านซ้ายของมัน ก่อให้เกิดเืแดงฉานทันที
จ่าฝูงที่ได้รับความเ็ปส่งเสียงร้องโหยหวนดังสั่น
เสี่ยวเฮยร่วงลงยืนบนพื้น สายตามองสุนัขป่าจ่าฝูงด้วยความเหยียดหยาม
เฉินเผิงเฟยถูกการกระทำอันเฉียบแหลมของเสี่ยวเฮยทำให้ตะลึงงัน แมวหนึ่งตัวข่วนสุนัขป่าจ่าฝูงหนึ่งตัวตาบอดโดยที่ไม่ประหวั่นพรั่นพรึงเลยสักนิดเดียว!
เขาสติหลุดลอยไปชั่วครู่ จึงถูกสุนัขป่าพุ่งเข้ามาจู่โจมด้านข้าง และกัดเข้ากลางแขนด้านซ้ายอย่างจัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้