แน่นอนว่าเวลานี้เย่เฟิงไม่คิดเล็กคิดน้อย การที่ฉินเยียนหรานจะช่วยเขามันไม่ใช่เื่ง่าย เขาเห็นนางถือหน้าไม้เล็กคันหนึ่ง มันส่งกลิ่นอายที่น่ากลัวออกมา ซึ่งลำแสงเมื่อครู่นี้ก็มาจากหน้าไม้เล็กคันนี้ ส่วนเย่เฟิงเตรียมหนีเฉินอ้าวเทียนก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที จากนั้นฉินเยียนหรานพยักหน้า ก่อนทั้งสองคนจะพุ่งตัวไปข้างหน้า
“คิดจะหนีมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!” เฉินอ้าวเทียนเห็นฉากนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะไล่ตามฉินเยียนหรานไป
เย่เฟิงใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อหนีไปด้วยความเร็วปานฟ้าแลบ ขณะที่ทะยานหนีก็เอ่ยถามฉินเยียนหรานที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “เ้าช่วยข้าทำไม หรือเ้าหายโกรธข้าแล้ว?”
“ฝันไปเถอะ!” สีหน้าของฉินเยียนหรานยังคงเ็าเช่นเคยพร้อมกล่าวต่อ
“ที่ข้าช่วยเ้า นั่นเพราะไม่อยากให้เ้าตายด้วยน้ำมือของคนอื่น ชีวิตของเ้าต้องเป็ข้าที่จัดการเอง”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้น รอยตีนกาหลายเส้นก็ปรากฏบนหน้าผากพลางคิดในใจ “หญิงผู้นี้ยังเ้าอารมณ์ไม่เปลี่ยน”
“เ้าอยากให้ข้าตายมากเพียงนี้เลยหรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถาม เริ่มแรกเขาเห็นฉินเยียนหรานอาบน้ำโดยบังเอิญ แต่ไม่คิดว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นหญิงผู้นี้ก็ยังคงไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ
“อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่คิด” ฉินเยียนหรานกล่าว
“เพราะเหตุใด? กำจัดข้าไม่ลงงั้นหรือ?” เย่เฟิงกล่าว ซึ่งเย่เฟิงก็ไม่รู้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปเป็คนหน้าหนาเช่นนี้ั้แ่เมื่อไหร่
“หลงตัวเอง!” ฉินเยียนหรานเห็นสีหน้าเฉยเมยของเย่เฟิงก็ก่นด่าเช่นนั้น แล้วพูดต่อ “เป็เพราะข้าอยากร่วมเดินทางกับเ้าเพื่อทำการทดสอบ”
“มีคนในที่แห่งนี้อยากฆ่าข้ามากมาย เ้าไม่กลัวจะโดนลูกหลงไปด้วยหรือ?” เย่เฟิงได้ยินคำตอบของฉินเยียนหรานก็รู้สึกเกินความคาดหมาย
“ไม่เป็ไร!” ฉินเยียนหรานตอบกลับ จากนั้นชี้นิ้วไปยังที่บางแห่งพร้อมกล่าวว่า “เ้าดูตรงนั้นสิ”
เย่เฟิงหันไปมอง ก่อนจะเห็นูเาปรากฏอยู่ไม่ไกลจากตรงหน้า ูเาแห่งนี้รายล้อมไปด้วยหมอกสีขาว ดูลึกลับอย่างมาก
“ที่นั่นก็คือสุดปลายขอบเขตของหุบเขาเทียนเสวียน แต่ว่ามันคือูเาอะไร?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“ที่นั่นคือเขาเทียนเสวียน ลือกันว่าถ้าขึ้นไปถึงบนยอดเขาลูกนี้ก็ถือว่าผ่านการทดสอบนี้” ฉินเยียนหรานกล่าว
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้!” เย่เฟิงเข้าใจทันที จากนั้นฝีเท้าอดเดินไปทางเขาเทียนเสวียนไม่ได้
ศิษย์พี่ฉู่หานกำลังรอยารักษาจากเขา ตราบใดที่ขึ้นไปถึงยอดเขาลูกนี้ เย่เฟิงก็จะมีโอกาสได้สิ่งที่เขา้า แต่นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว เย่เฟิงจะเสียเวลาไม่ได้อีก เขาต้องทำเวลา
“นี่น่ะหรือเขาเทียนเสวียน!” เฉินอ้าวเทียนและผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ตามมาถึงก็เห็นูเาสูงเสียดฟ้าและต้องใราวกับมีบางอย่างดึงดูดพวกเขา ทำให้พวกเขาต้องเร่งฝีเท้า
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ก็มารวมตัวที่เชิงเขาเทียนเสวียน การที่มาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่มีแค่พร์ แต่ยังต้องมีพลังอันแกร่งกล้า
เฟิงเฉียน หลิวอวิ๋นเจี๋ย โจวมู่ไป๋ เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ และซ่างกวนหงต่างก็มาถึงแล้ว
“ที่นี่คือเขาเทียนเสวียน หากผู้ใดขึ้นยอดเขาสำเร็จก็จะถือว่าผ่านการทดสอบ ทุกคนจะมัวรออะไรอีก อย่าเสียเวลา!” ผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาคนหนึ่งกล่าว ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มใจร้อนขึ้นมา
ส่วนเย่เฟิงกับฉินเยียนหรานนำหน้าเป็คนแรก พวกเขาปีนขึ้นไปตามบันไดที่ปูด้วยหินคราม ซึ่งบันไดหินครามนี้กว้างขวาง เมื่อมองจากด้านล่างขึ้นบนก็เหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด
เมื่อเหล่าผู้ฝึกยุทธ์เห็นฉากนี้ พวกเขาก็ตามขึ้นไปและมองเย่เฟิงด้วยสายตาละโมบ ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นเย่เฟิงได้รับผลเทียนเสวียนไปคนเดียวถึงแปดผล จึงไล่ตามมาตลอดทางเพื่อ้าฆ่าเย่เฟิง บัดนี้เขาเทียนเสวียนปรากฏแล้ว ดังนั้นเหลือเพียงโอกาสสุดท้ายที่จะฆ่าเย่เฟิงได้
“สวบ!” เย่เฟิงและฉินเยียนหรานเดินขึ้นบันไดหินขั้นแรกพร้อมกัน
“วูบ!” เมื่อพวกเขายืนบนบันไดหินขั้นนั้นได้ก็มีแรงโน้มถ่วงมาเยือนพวกเขาสองคน ทำให้เข่าของทั้งสองคนงอเล็กน้อย
“บันไดหินนี้มีแรงโน้มถ่วงซ่อนอยู่ เขาเทียนเสวียนไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้” เย่เฟิงคิดในใจ เมื่อตัวยืนตรงก็ก้าวไปต่อ แต่เขาพบว่ายิ่งเดินหน้า แรงโน้มถ่วงก็ยิ่งรุนแรงขึ้น เพียงเวลาสั้น ๆ แรงโน้มถ่วงนั้นก็ไปถึงจุดที่น่าใ
ผู้คนด้านล่างต่างก็รับแรงโน้มถ่วงนี้เช่นเดียวกัน พวกเขายิ่งไต่ขึ้นสูงก็ยิ่งรับแรงโน้มถ่วงมากขึ้นเท่านั้น เมื่อหยุดพักก็ต้องหายใจถี่
“เ้าต้องทนให้ได้ แรงโน้มถ่วง่ท้ายจะน่ากลัวกว่านี้เยอะ” ฉินเยียนหรานกล่าวกับเย่เฟิง
“แน่อยู่แล้ว!” เย่เฟิงยิ้มให้ฉินเยียนหราน จากนั้นเดินขึ้นไปต่อ อีกอย่างเขายังัับางอย่างจากแรงโน้มถ่วงของบันไดหินได้ เขาพบว่าแรงโน้มถ่วงที่ทุกคนได้รับจะแตกต่างกัน ยิ่งพลังและระดับการบ่มเพาะสูง แรงโน้มถ่วงที่ต้องรับก็ยิ่งมากขึ้น แต่หากพลังและระดับการบ่มเพาะต่ำ แรงโน้มถ่วงที่ได้รับจะอ่อนแรงกว่า ดังนั้นแรงโน้มถ่วงของบันไดหินที่ทุกคนต้องรับจะเป็ไปอย่างยุติธรรม แต่จะแข่งขันที่ความสามารถและความอดทน
ครึ่งชั่วยามต่อมา เย่เฟิงและฉินเยียนหรานก็มาถึงเกือบพันขั้นบันได ตอนนี้แรงโน้มถ่วงที่พวกเขาทนรับก็ได้ไปถึงจุดที่น่ากลัวอย่างมาก รู้สึกว่าตัวเองเหมือนแบกูเาไว้บนหลัง ย่างก้าวที่ขึ้นบันได บันไดก็ราวกับยุบตัว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เห็นร่องรอยของผู้คนด้านล่าง นั่นเพราะถูกทิ้งห่างมาไกลมาก หรือบางคนก็ถอนตัวเพราะมีพลังไม่เพียงพอ
เฉินอ้าวเทียน ซ่างกวนหง โจวมู่ไป๋ เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ เฟิงเฉียน และหลิวอวิ๋นเจี๋ย พวกเขาเกือบตามเย่เฟิงและฉินเยียนหรานทันแล้ว
“ไอ้สวะ ข้าอยากเห็นนักว่าเ้าจะทนไปได้สักกี่น้ำ?” เฟิงเฉียนมองเย่เฟิงด้วยแววตาที่เผยประกายเยือกเย็น
“วางใจเถอะ เขาไม่มีทางรอดไปจากูเานี้ได้หรอก!” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่กล่าวเสริม
แต่เฉินอ้าวเทียนดูสงบนิ่งมาก ตั้งใจเดินขึ้นบันไดโดยที่ไม่สนใจเย่เฟิง นั่นเพราะว่าเป้าหมายของเขามีเพียงหนึ่งเดียว คือผ่านการทดสอบครั้งนี้ และให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาเฉินอ้าวเทียนแข็งแกร่งเพียงใด
ซ่างกวนหงและโจวมู่ไป๋เหลือบไปมองเย่เฟิงในบางเวลา และจิตอาฆาตที่มีต่อเย่เฟิงก็ไม่น้อยไปกว่าสามคนก่อนหน้า
“พวกเ้าสองคนพูดมากจริง ๆ ข้าล่ะไม่เข้าใจว่าพวกเ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงกล้าพูดจาเช่นนี้?” เย่เฟิงกล่าวขณะก้าวไปต่อ จนทิ้งหลาย ๆ คนไว้ข้างหลัง แต่ขณะเดียวกันฉินเยียนหรานก็ตามขึ้นมาทันราวกับเงาตามตัวก็ไม่ปาน
“เ้าสวะนี่ช่างอวดดีเสียจริง เห็นทีถ้ามีโอกาสเ้ากับข้าคงต้องสั่งสอนบทเรียนให้เขาสักหน่อยแล้ว!” เฟิงเฉียนแสยะยิ้มชั่วร้ายขณะพูดกับเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่
“ได้ เช่นนั้นเ้ากับข้าเล่นกับเขาสักหน่อยแล้วกัน!” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่กล่าวด้วยท่าทีสนใจพลางดวงตาฉายแววกระหายเื กล่าวจบทั้งสองก็เดินขึ้นบันไดไล่ตามเย่เฟิง
เย่เฟิงไม่ปล่อยให้พวกเขามีโอกาส พลันพลังหยวนในร่างกายคำรามอย่างบ้าคลั่ง เขาก้าวไปต่อด้วยย่างก้าวมั่นคง คล้ายกับพึ่งพิงอำนาจฟ้าดิน เพียงเวลาสั้น ๆ เขาก็ทิ้งพวกเฟิงเฉียนห่างจนไกล ต่อมามีหลายคนเกิดศึกปะทะขึ้นอย่างดุเดือด
แรงโน้มถ่วงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เย่เฟิงรู้สึกว่าพลังกายของตัวเองเหมือนจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป ส่วนโครงสร้างของร่างกายก็ได้รับการขัดเกลาอย่างดี แต่ค่าตอบแทนในการขัดเกลาคือพลังกายถูกผลาญไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ตัวเย่เฟิงเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แม้เสียพลังงานไปมาก แต่เขาก็ยังคงอดทนไม่เปลี่ยน
เวลาผ่านไปทีละนิด ๆ จนผ่านไปเจ็ดวัน เย่เฟิงยังคงปีนขึ้นบันไดอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มีหลายคนต้องแบกรับแรงโน้มถ่วงหมื่นจินขึ้นไป ซึ่งพลังเช่นนั้นไม่ใช่ใครจะทนไหวได้ ทุกย่างก้าวของพวกเขาจะมีเสียงกระดูกดังลั่นราวกับจะแตกหักก็ไม่ปาน
ภายในแรงโน้มถ่วงที่หนักถึงหมื่นจิน พวกเขาสามารถอดทนได้นานเจ็ดวัน ซึ่งไม่เพียงแต่ทดสอบร่างกาย แต่ยังทดสอบจิตใจด้วย ว่าพวกเขาสามารถอดทนได้นานเพียงใด
ฉินเยียนหรานที่เป็ผู้หญิงคนเดียวก็ยืนหยัดจนมาถึงตอนนี้ ความทรหดของนางมีมากเกินกว่าผู้ชายทั่ว ๆ ไป ขณะนั้นพวกเขาอยู่ใกล้กับยอดเขา ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเขาเทียนเสวียนต่างแหงนหน้ามอง พวกเขาอยากรู้ว่าจะมีใครผ่านการทดสอบสุดท้ายนี้หรือไม่
เย่เฟิงและคนอื่น ๆ ขึ้นมาถึงบันไดหินขั้นสุดท้าย ซึ่ง้านี้เป็พื้นที่โล่งกว้างมีเมฆหมอกลอยไปมา ทั้งยังมีแปดรูปปั้นอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก รูปปั้นเหล่านี้มีลักษณะต่างกัน ทั้งยังมีพลังประหลาดแผ่ออกมา แปดรูปปั้นคล้ายดาวเหนือเจ็ดดวง เหมือนเชื่อมโยงกับดาวบนท้องฟ้า
“้าก็น่าจะเป็ยอดเขาเทียนเสวียน แล้วแปดรูปปั้นนั่นคืออะไร?” เฟิงเฉียนกล่าวขณะมองไปข้างหน้า เฟิงเฉียนสมกับเป็ผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 5 แห่งรายนามขั้นบ่มเพาะกายา เดินขึ้นบันไดหินจนถึงยอดเขา ทั้งความสามารถและความทรหดช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก
“พวกเราไปดูกันเถอะ” เฉินอ้าวเทียนเห็นทางด้านนั้นก็ตรงขึ้นไปยังบนยอดเขาทันที
“อำนาจฟ้าดินของที่นี่แข็งแกร่งมากทีเดียว รูปปั้นทั้งแปดรูปนี้ก็ลึกลับมาก” เย่เฟิงส่งเสียงผ่านจิตไปหาฉินเยียนหรานที่อยู่ข้าง ๆ
“ยอดเขาเทียนเสวียนคือจุดสิ้นสุดของการทดสอบนี้ อาจได้รับบางสิ่งบางอย่างจากที่นี่” ฉินเยียนหรานพยักหน้าให้เย่เฟิง
เฉินอ้าวเทียนคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทุกคน ทั้งยังมีฐานะไม่ธรรมดา เมื่อเฉินอ้าวเทียนเป็ผู้นำ คนอื่น ๆ ก็แสดงท่าร่างขณะเดินไปยังยอดเขาเทียนเสวียน
เย่เฟิงและฉินเยียนหรานก็ไม่มีข้อยกเว้น พวกเขาเดินไปถึงยอดเขาและอยู่ไม่ไกลจากรูปปั้นทั้งแปดนั่น ทำให้เห็นใบหน้าของรูปปั้นเ่าั้
พวกมันแบ่งเป็มีด ดาบ ทวนจันทร์เสี้ยว ต้าเผิง กิเลน หงส์แดง วานร และอสรพิษบุปผา
แต่ละประเภทล้วนมีเอกลักษณ์ต่างกัน แสงที่รายล้อมรูปปั้นก็ต่างสี แต่แฝงด้วยกลิ่นอายโบราณ
“วูบ!” ในขณะที่ผู้คนแหงนหน้ามองเหล่ารูปปั้น พลันมีม่านแสงมาเยือนจากฟากฟ้าและเข้าปกคลุมยอดเขาแห่งนี้ ทำให้ทุกคนอาบอยู่ท่ามกลางแสงโชติ่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้