ติงเหว่ยยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางโบกมือให้แล้วพูดว่า “เ้าคือเฟิงจิ่วใช่หรือไม่? ต่อไปข้าอยากให้เ้าช่วยข้ารักษานายน้อยด้วยกัน ข้าแซ่ติงน่าจะอายุมากกว่าเ้านิดหน่อย หากเ้าไม่ถือสาจะเรียกข้าว่าพี่ติงก็ได้ ตกลงไหม?”
หนุ่มน้อยคนนี้น่าจะอายุเพียงสิบสี่หรือสิบห้าปี ถึงแม้เขาจะมีร่างกายที่ดูแข็งแรงกำยำ แต่ใบหน้าก็ยังเหมือนเด็กไร้เดียงสา เมื่อเขาได้ยินติงเหว่ยพูดเช่นนั้นก็หน้าแดงขึ้นมา แล้วตอบด้วยเสียงแ่เบาว่า “พี่ติง”
ติงเหว่ยก้าวไปข้างหน้าและตบที่ไหล่ของเฟิงจิ่ว จากนั้นนางก็ค่อยๆ เดินไปรอบๆ อ่างอาบน้ำทรงสี่เหลี่ยมทำจากหินแกรนิตที่ตั้งอยู่กลางห้องอย่างระมัดระวัง อ่างอาบน้ำถูกสร้างสูงจากพื้นขึ้นมาประมาณครึ่งตัว ใต้อ่างอาบน้ำเชื่อมกับปล่องไฟ ทำให้สามารถเติมถ่านเพื่อเพิ่มความร้อนได้ตลอดเวลาซึ่งนับว่าสะดวกไม่เลว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดติงเหว่ยจึงนึกถึงเื่ราวในวัยเด็กตอนไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ชนบทขึ้นมา ชาวบ้านก็อยู่ข้างเตาไฟเช่นนี้ทั้งฆ่าหมูและลวกหมู นางคิดไปคิดมาพอนึกถึงใบหน้าเ็าของกงจื้อิก็อดไม่ได้ที่จะะเิเสียงหัวเราะออกมา
เฟิงจิ่วกำลังนั่งยองๆ เพื่อเติมฟืนกำสุดท้ายเข้าไปในเตา เมื่อได้ยินเสียงเขาก็หันหน้ากลับไปมองติงเหว่ยที่กำลังหัวเราะอยู่พอดี เขาจึงกะพริบตาด้วยความสับสนทำให้ใบหน้าที่ดูไร้เดียงสาของเขายิ่งดูน่ารักขึ้นไปอีก ติงเหว่ยจึงหัวเราะต่อไม่หยุด
ในขณะที่คนหนึ่งกำลังหัวเราะและอีกคนหนึ่งกำลังขมวดคิ้ว ท่านลุงอวิ๋นก็เข็นนายท่านเข้ามาจากด้านนอกด้วยตนเอง จากนั้นก็พูดทักทายว่า “เสี่ยวจิ่วทำอะไรผิดอีกแล้วอย่างนั้นหรือ แม่นางติงเอ่ยออกมาได้เลย ให้ข้ากับนายน้อยได้หัวเราะด้วยสักหน่อยบ้างได้หรือไม่?”
เฟิงจิ่วก้าวไปข้างหน้าเพื่อเข้าไปรับรถเข็นด้วยใบหน้ารู้สึกผิด ไม่ต้องพูดถึงท่านผู้าุโหรอก แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังสับสนว่าตนเองได้ทำอะไรบกพร่องไป
ไหนเลยติงเหว่ยจะกล้าพูดว่านางเอานายท่านไปเปรียบเป็หมูสีขาวตัวหนึ่ง ดังนั้นนางจึงรีบหยุดหัวเราะ แล้วตอบอย่างคลุมเครือว่า “เสี่ยวจิ่วขยันขันแข็งตั้งใจทำงาน อุณหภูมิของน้ำก็กำลังร้อนได้ที่ เมื่อครู่ข้าก็แค่นึกถึงเื่เล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาเท่านั้นเอง”
หลังจากพูดจบ ติงเหว่ยก็รีบยกห่อของที่ตนเองเตรียมไว้ขึ้นมา หยิบผ้ากันเปื้อนออกมาหนึ่งชุด จากนั้นก็สวมเข้าไปเพื่อป้องกันชุดที่นางใส่อยู่ ทันใดนั้นจู่ๆ นางก็พบว่าตนเองมีท่าทางเหมือนพ่อค้าขายเนื้อหมูเสียยิ่งกว่าอีก ดังนั้นนางจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้จริงๆ
ทั้งนายและบ่าวของสกุลอวิ๋นทั้งสามคนต่างยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มจนแดงก่ำของติงเหว่ย พวกเขาจึงไม่พร้อมที่จะถามสาเหตุที่นางหัวเราะอีกต่อไป
……
ในตอนแรกกงจื้อิรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่หลังจากที่ถูกขัดจังหวะเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกผ่อนคลายลงมากจริงๆ
เฟิงจิ่วยกมือขึ้นช่วยถอดเสื้อผ้าและชุดด้านในของกงจื้อิออก เหลือเพียงกางเกงชั้นในหนึ่งตัว จากนั้นเขาก็ก้มตัวลงและอุ้มกงจื้อิเข้าไปในอ่างอาบน้ำ
ระดับของน้ำในอ่างสูงประมาณแผ่นอกของกงจื้อิพอดี และอุณหภูมิของน้ำที่เดือดเล็กน้อยก็ทำให้ิัของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีแดงในไม่ช้า
ติงเหว่ยแอบให้กำลังใจตนเองหนึ่งยก จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าและยืนอยู่ข้างอ่างอาบน้ำ นางเอื้อมมือไปตักน้ำขึ้นมารดตัวของกงจื้อิ รอจนกระทั่งแผ่นหลังและขาทั้งสองข้างของเขาเปลี่ยนเป็สีแดง นางจึงเริ่มนวดทุบและกดจุดจากไหล่ข้างซ้ายไปไหล่ข้างขวา จากต้นคอลงมาที่แผ่นหลัง แม้แต่บนศีรษะก็ไม่เว้น
ในคราแรกกงจื้อิอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ชายหนุ่มที่ยังกระฉับกระเฉงจะรู้สึกสงบนิ่งดั่งสายน้ำในขณะที่ถูกมือเล็กๆ นุ่มๆ ของหญิงสาวมาบีบนวดร่างกายของเขาได้อย่างไร โชคดีที่ฉือฮว่าเฟินจากครั้งนั้นเป็ของจริงจึงทำให้ร่างกายท่อนล่างของเขาไม่มีความรู้สึกแม้แต่นิดเดียว
เดิมทีท่านลุงอวิ๋นกับเฟิงจิ่วก็กังวลว่าติงเหว่ยจะรู้สึกกระอักกระอ่วนดังนั้นพวกเขาจึงคอยอยู่ข้างๆ เป็เพื่อนนาง แต่ผลปรากฏว่าภาพที่เห็นคือคนหนึ่งมีสีหน้าจริงจังราวกับหมอ อีกคนหนึ่งก็หลับตาลงอย่างเพลิดเพลิน ดูแล้วเข้ากันได้ไม่เลว ดังนั้นท่านลุงอวิ๋นกับเฟิงจิ่วจึงสบตากันไปมาครู่หนึ่งจากนั้นก็พากันถอยกลับไปยืนอยู่ที่มุมห้อง
ติงเหว่ยยุ่งอยู่ครู่หนึ่งและในขณะที่นางคิดจะตักน้ำขึ้นมา มือของนางกลับลื่นไปััแผ่นอกกว้างโดยไม่ได้ตั้งใจ นางเขินอายจนหน้าแดงทันที จากนั้นก็รีบตักน้ำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และในตอนนั้นเองััที่อบอุ่นและนุ่มนวลกลับเหมือนจะประทับอยู่ในใจของนาง มีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดซ่อนอยู่ แต่เหตุใดจึงรู้สึกคุ้นเคยนั้นนางเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
ติงเหว่ยไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้นางอยู่ใกล้กงจื้อิขนาดไหน กลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากตัวของนางยามถูกไอน้ำร้อนทำให้กงจื้อิลืมตาขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เหตุใดเหมือนเขาเคยได้สูดดมกลิ่นนี้ในความฝันมาก่อน? แต่เป็ความฝันเมื่อใดกันล่ะ…
ทั้งคู่ต่างรู้สึกสับสนเล็กน้อยและไม่สบายใจอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่าการััเมื่อสักครู่เสมือนได้เปิดกรงอะไรบางอย่าง และเปิดเผยความจริงบางอย่างที่น่าใออกมา…
ท่านลุงอวิ๋นคอยเฝ้ามองจากที่ไกลๆ ในขณะที่กระบวยตักน้ำในมือของติงเหว่ยกำลังจะตกลงบนศีรษะของนายน้อยเป็ครั้งที่แปด เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงก้าวไปข้างหน้าและพูดเตือนว่า “แม่นางติง นายน้อยน่าจะอาบน้ำเสร็จแล้วใช่หรือไม่?”
“เอ๋?” ติงเหว่ยเพิ่งจะรู้สึกตัวหลังจากที่ได้ยินเสียง นางจึงรีบวางกระบวยลงแล้วพูดว่า “ใกล้เสร็จแล้ว ท่านช่วยประคองนายน้อยออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จากนั้นนวดอีกสักรอบก็เสร็จแล้ว"
ขณะที่พูดอยู่ นางก็หลบออกไปอยู่ข้างนอก ท่านลุงอวิ๋นและเฟิงจิ่วช่วยกันปรนนิบัตินายท่านอย่างรวดเร็ว พวกเขาช่วยกันเช็ดน้ำที่เปียกอยู่และเปลี่ยนกางเกงที่เปียกโชกออกไป จากนั้นก็ประคองกงจื้อิไปที่เก้าอี้นุ่มๆ แสนสบายที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
ติงเหว่ยจึงเข้ามาอีกรอบและนวดเขาเป็เวลาสองเค่อเต็มๆ ถือเป็การเสร็จสิ้นการรักษาในวันนี้
ท่านลุงอวิ๋นยังอยากจะถามนางอีกสักหน่อย แต่เขาเห็นนางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเขาจึงไม่ได้พูดอะไร ติงเหว่ยจับมือของอวิ๋นอิ่งเดินกลับไปที่เรือนของนางพร้อมกับความสงสัยมากมาย เหลือไว้แต่เพียงกงจื้อิที่ไม่ใช่คนถูกหลอกง่ายๆ
หลังจากที่กงจื้อิเปลี่ยนเป็เสื้อผ้าสะอาดแล้ว เขาก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ในขณะที่ท่านลุงอวิ๋นกำลังจะขอตัว เขากลับส่งสายตาไปห้ามเอาไว้ “ท่านลุงอวิ๋น วันนั้นที่ข้าถูกพิษฉือฮว่าเฟิน ในขณะที่ข้าหลับไปกว่าครึ่งชั่วยามมีใครเข้ามาใกล้ข้าใน่เวลานั้นหรือเปล่า?”
“เอ๋?” ท่านลุงอวิ๋นสะดุ้งใและเผลอก้มคอของเขาลงโดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็รีบกลับมาตั้งสติอย่างรวดเร็วและตอบกลับมา “นายน้อยเหตุใดจู่ๆ ถึงได้ถามเื่นี้ขึ้นมาล่ะ? วันนั้นข้ายืนเฝ้าอยู่นอกประตูตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีคนนอกเข้ามาเลย”
กงจื้อิหรี่ตาลงเล็กน้อยและมองคนรับใช้เก่าแก่ที่อยู่กับเขามานานหลายปีท่ามกลางแสงเทียนสลัวๆ ความภักดีของท่านลุงอวิ๋นแน่นอนว่ามีให้เขาผู้ไร้ประโยชน์คนนี้ แต่ไม่รู้เหตุใดเขากลับรู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติเป็แน่
“ช่างเถอะ เ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ขอรับนายน้อย พรุ่งนี้เช้าบ่าวจะมาช่วยนายน้อยฝึกมีดบินเช่นเดิม” หลังพูดจบท่านลุงอวิ๋นก็จ้องไปที่เงาของเฟิงจิ่วในมุมมืดแล้วกำชับว่า “ตอนกลางคืนเ้าอย่าได้นอนจนเหมือนกับตายไปแล้ว คอยดูแลจัดการน้ำชาให้นายน้อยด้วย”
“ขอรับ ท่านลุงอวิ๋น” เฟิงจิ่วได้รับสายตาที่ผู้าุโส่งมา ในใจก็เต็มไปด้วยความเคารพอย่างถึงที่สุด เขาจึงรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ท่านลุงอวิ๋นเป่าตะเกียงน้ำมันเบาๆ จากนั้นก็ถอยออกไป ภายในห้องตกอยู่ในความมืดสนิท แสงจันทร์ที่ซุกซนด้านนอกลอดผ่านรอยแยกของหน้าต่าง ส่องกระทบไปที่พื้นหินทำให้เห็นเป็แสงสีขาวแปลกตา กงจื้อิมองไปที่แสงสว่างนั้นเป็เวลานาน เขาทำได้เพียงเก็บความสงสัยเ่าั้ลงไปในก้นบึ้งของจิตใจอีกครั้ง…
……
พระอาทิตย์ขึ้นจากยอดเขาทางทิศตะวันออกและตกที่ด้านหลังูเาทางทิศตะวันตกทุกวัน ในชั่วพริบตาเดียวพระจันทร์ก็กลับมาแขวนอยู่กลางท้องฟ้าอีกครั้ง แต่ละวันหมุนเวียนผ่านไปเช่นนี้ไม่ทันไรก็เข้าสู่ฤดูร้อนของเดือนแปด อากาศร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ หากว่าฝนไม่ตกสักสองสามวันพืชผลในทุ่งนา ูเาและป่าไม้ที่อยู่รอบๆ คงพากันเหี่ยวเฉาไปหมดเนื่องจากแสงแดด
วันนี้ในขณะที่ผ่านเที่ยงวันไปได้ไม่นาน ประตูจวนสกุลอวิ๋นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมา เขาสวมชุดผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน ใบหน้าของเขาดูซีดขาวอย่างเห็นได้ชัดทว่ากลับมีรอยยิ้มอยู่เสมอ ทำให้ผู้พบเห็นต่างก็รู้สึกลดความหวาดระแวงในใจไปได้บ้าง
เสี่ยวฝูจื่อที่เดิมทีกำลังจะแอบงีบหลับอยู่ใต้เงาประตู เมื่อเห็นว่ามีแขกมาก็รีบลุกขึ้นไปทักทายแล้วถามว่า “พี่ชายท่านนี้มีเื่อะไรหรือเปล่า?”
พี่รองสกุลติงยิ้มพร้อมคำนับแล้วตอบว่า “น้องชายท่านนี้ เกรงว่าจะจำข้าไม่ได้ใช่หรือไม่? วันก่อนในขณะที่กำลังสร้างจวนสกุลอวิ๋น ข้าเองก็มาทำงานช่างไม้ด้วย และตอนนี้น้องสาวของข้าก็ทำงานเป็แม่ครัวอยู่ที่นี่”
“เอ๋” เสี่ยวฝูจื่อตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่แล้วเขาก็มีความสุขขึ้นมาและถามว่า “พี่ชายท่านนี้มาจากสกุลติงล่ะสิ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาแบบนี้?”
“ใช่แล้ว ข้าเป็ลูกชายคนรองของสกุลติง วันนี้ข้าเพิ่งกลับมาจากในเมืองและคิดว่าไม่ได้เจอน้องสาวมาหลายวันแล้ว ข้าเป็ห่วงว่านางจะเป็เช่นไรบ้างก็เลยเสียมารยาทมาเดินดูรอบๆ หากไม่ผิดกฎอะไรขอรบกวนน้องชายท่านนี้ช่วยไปรายงานที่ด้านในให้หน่อยได้หรือไม่?”
เสี่ยวฝูจื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนเขาจะไม่เคยได้ยินเื่ที่ไม่อนุญาตให้แม่นางติงพบกับครอบครัวของนาง ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “พี่ติง เชิญท่านนั่งรอตรงนี้สักครู่ ข้าจะเข้าไปถามสักหน่อย”
ติงเหว่ยในตอนนี้ก็นอนไม่หลับเช่นกัน ดังนั้นนางจึงนั่งอยู่ใต้ชายคาทางเดินและค่อยๆ ฆ่าเวลาด้วยการเย็บปักผ้า ตอนนี้นางตั้งครรภ์ได้เก้าเดือนแล้ว แม้ว่าซานอีจะตรวจชีพจรของนางทุกๆ สองสามวัน แต่ไม่ว่าจะเป็ในชาติก่อนหรือในชาตินี้นี่ก็เป็ครั้งแรกที่นางคลอดลูกในชีวิต จะไม่ให้กังวลได้อย่างไร? ดังนั้นยิ่งใกล้วันคลอดมากเท่าไรนางก็ยิ่งนอนหลับยากขึ้นเท่านั้น
เสี่ยวชิงยังเด็กอยู่ เมื่อไรที่นางรู้สึกง่วงนอนก็จะวิ่งเข้าห้องกลับไปนอนกรนคร่อกๆ มีเพียงอวิ๋นอิ่งที่คอยเอาใจใส่และนั่งพัดให้อยู่ข้างๆ ติงเหว่ย
พวกนางทั้งสองคุยกันไปเรื่อยๆ แต่ทันใดนั้นเมื่อได้ยินว่าพี่รองสกุลติงอยู่ที่หน้าประตูจวน ติงเหว่ยก็ดีใจลุกขึ้นจะออกไปทักทายเขา อวิ๋นอิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่นางก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร แค่ช่วยประคองไหล่ติงเหว่ยเพราะเกรงว่านางเดินเร็วเกินไปอาจล้มเอาได้
……
พี่ชายและน้องสาวได้เจอหน้ากันก็ต้องรู้สึกดีใจมากอยู่แล้ว เสี่ยวฝูจื่อยังให้พวกเขาสองคนเข้ามานั่งดื่มชาในจวนก่อน แต่แม่นางติงกลับปฏิเสธ แล้วขอเพียงให้เขาช่วยยกเก้าอี้หวายมาให้สองตัว พี่ชายและน้องสาวคนหนึ่งอยู่ด้านในอีกคนหนึ่งอยู่ด้านนอก พวกเขาพูดคุยกันผ่านประตูที่ขวางกั้นอยู่
เมื่อพี่รองสกุลติงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกขมขื่นในใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่อยากให้น้องสาวเศร้าใจ เขาจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “น้องหญิงเครื่องใช้ไม้รูปแบบใหม่ของบ้านเราถูกคนอื่นเลียนแบบไปแล้ว ทุกวันนี้การค้าขายที่ร้านแย่ลงไปมาก วันนี้ที่ข้ามาจึงอยากจะถามว่าเ้ายังมีแบบใหม่ๆ อีกหรือไม่?”
ไม่ว่าจะที่ใดหากมีการซื้อขายย่อมมีการแข่งขัน อีกอย่างเครื่องใช้ไม้ก็ไม่ต้องใช้ฝีมือขั้นสูงอะไร แค่ให้ช่างไม้ที่พอมีทักษะอยู่บ้างมาดูสักสองสามครั้ง กลับบ้านไปก็สามารถทำลอกเลียนแบบได้เหมือนจนแทบไม่ต่างกัน ดังนั้นการที่ร้านเครื่องใช้ไม้สถานการณ์แย่ลงก็อยู่ในความคาดหมายของติงเหว่ยมาตั้งนานแล้ว
หากว่านางไม่ได้ยุ่งอยู่กับการดูแลกงจื้อิ่นี้ นางก็คงเริ่มเตรียมการรับมือไปตั้งนานแล้ว
“พี่รอง เวลาเปิดกิจการเื่ราวแบบนี้ต่างก็เป็สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เคยมีผู้มีประสบการณ์ด้านการค้าขายกล่าวไว้ว่า คนอื่นไม่มีแต่ของข้ามี คนอื่นมีแต่ของข้ามีมากกว่า คนอื่นมีมากกว่าแต่ของข้าคุณภาพดีกว่า ในเมื่อร้านของพวกเราโด่งดังจากเื่รูปแบบใหม่ๆ มิสู้เปลี่ยนวัสดุให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น หากชนชั้นสูงที่ร่ำรวยเ่าั้ถูกใจ ราคาต่างกันสักสามถึงห้าตำลึงก็ไม่เป็ไรขอแค่ซื้อกลับไปไว้ที่บ้านแล้วดูมีหน้ามีตาถึงจะสำคัญที่สุด
นอกจากนี้ เครื่องใช้ไม้ทั้งหมดที่ผลิตในร้านของเราจะต้องแกะสลักเครื่องหมายบางอย่างไว้ในจุดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัด ให้ดีที่สุดก็ต้องทำให้รู้ว่าของเหล่านี้มาจากร้านเครื่องใช้ไม้ของเราทันทีที่เห็น และเครื่องใช้ไม้ที่ผลิตจากร้านของเราล้วนเป็ของที่ดีและล้ำค่าที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปต่อให้มีเครื่องใช้ไม้แบบเดียวกันเต็มไปทั่วท้องถนน ชนชั้นสูงที่ร่ำรวยเหล่านี้ก็ยังคงซื้อเฉพาะที่ร้านเราเท่านั้น”
พี่รองสกุลติงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหลักการในการค้าขายเหล่านี้ แต่เขาก็ถือว่าฉลาดไม่เบา เนื่องจากเขาเองก็อยู่ในแวดวงนี้มานานหลายปี และตอนนี้ก็ยังเปิดร้านอยู่ในเมืองอีก อาจเรียกได้ว่าหลังจากที่ฟังน้องสาวพูดจบเขากลอกตาไปมาไม่กี่ครั้งก็เข้าใจหลักการพวกนี้ทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าติดๆ กันและตอบว่า “น้องหญิง ข้าจะจำเอาไว้ เ้าวางใจเถอะ”
ติงเหว่ยพยักหน้าและพูดว่า “ภายในสองสามวันนี้ข้าจะหาเวลาวาดภาพแบบร่างเพิ่มสักหน่อย จากนั้นข้าจะให้คนเอาไปส่งให้ที่บ้าน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้พี่รองสกุลติงยิ่งรู้สึกมีความสุขมากขึ้น เขาอยากจะพูดอะไรต่ออีกสักหน่อย แต่เขาเห็นเหงื่อบางๆ ปกคลุมอยู่บนหน้าผากของน้องสาว เขาจึงไม่กล้ายืดเยื้อให้นางต้องตากลมตากแดดไปมากกว่านี้ เขารีบส่งขนมสองสามอย่างในมือให้นางแล้วกำชับว่า “ร่างกายของเ้าสำคัญที่สุด เ้าจะต้องดูแลตัวเองให้ดี หากมีเื่อะไรก็ให้คนส่งข่าวไปที่บ้านด้วยล่ะ!”