โม่เสวี่ยถงเจ็บไข้ครานี้ร้ายแรงนัก ถึงขั้นตัวร้อนทั้งคืน ทั่วทั้งร่างกายราวกับถูกไฟเผาจนไม่ได้สติ
สุขภาพของนางไม่ดีมาโดยตลอด ที่ต้องรั้งอยู่เมืองอวิ๋นเฉิงก็เนื่องมาจากปัญหาสุขภาพ ยามนั้นนางป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้น เมื่อมาพักรักษาตัวที่จวนฉินอาการถึงค่อยๆ ดีขึ้น แต่ร่างกายก็ยังอ่อนแอกว่าคนปรกติหลายส่วน ไหนเลยจะเคยแช่อยู่ในน้ำเย็นจัดท่ามกลางสภาพอากาศปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นดูหนาวเช่นนี้เล่า หลังจากนอนลงสาวใช้สองสามคนสาละวนช่วยกันผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แล้วก็สลบไสลไม่รับรู้เื่ราวใดอีก
รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัวราวกับปลาที่ถูกเผาอยู่บนเตาไฟ แม้จะไม่ได้สติแต่ก็ยังรู้สึกทรมานจนอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด ความร้อนที่แผดเผาอยู่ในกายแม้กระทั่งจะหายใจก็ยังลำบาก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด นางรู้สึกถึงกระแสเย็นสายหนึ่งซึมผ่านเข้ามาที่หน้าผาก ทำให้ความร้อนดั่งไฟที่แผดเผาอยู่ภายในร่างกายค่อยทุเลาลงอย่างช้าๆ และรู้สึกตัวขึ้น นางร้องเรียกเบาๆ โดยจิตใต้สำนึก “น้ำ... น้ำ...”
มีคนเข้ามาทันที ประคองนางขึ้น น้ำเย็นสดชื่นไหลพรูเข้ามาในลำคอที่ร้อนผ่าว เพียงชั่วพริบตาก็รู้สึกราวกับได้น้ำอมฤตที่ช่วยให้นางพ้นจากประตูผีมาได้ นางลืมตาเล็กน้อย มองเห็นคนที่อยู่ด้านหน้าไม่ชัดนัก ทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าสายตาล้วนเลือนรางเหมือนอยู่ในห้วงฝัน ใบหน้าของคนผู้นั้นดูเหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้าง แต่สมองกำลังมึนงงจึงคิดไม่ออกจริงๆ ว่าคือผู้ใด
คนผู้นั้นวางนางลงอย่างอ่อนโยน เอามือวางที่หน้าผากของนาง ััความร้อนในร่างกาย จิตใต้สำนึกของนางรู้สึกรำคาญจึงยื่นมือไปปัดมือที่วางอยู่บนหน้าผากของตนออก ริมฝีปากเล็กดั่งผลอิงเถามุ่ยยื่นออกมาบ่นพึมพำสองสามประโยค แล้วเบนศีรษะไปด้านข้าง หลับตาลงอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ดำดิ่งสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
การนอนหลับครานี้ไม่รู้สึกทรมานเหมือนก่อนหน้าอีก แต่คนผู้นั้นก็เพียรแต่จะจับนางให้นอนราบอยู่นิ่งๆ ไม่รู้ว่านางเอาแรงดื้อมาจากที่ไหน จะพลิกตัวนอนตะแคงไปด้านในท่าเดียว ต่อมาก็คว้าหมอนหนุนมากอดไว้เสียเลย นับได้ว่าดูดีขึ้น แต่ในที่สุดเรี่ยวแรงของนางก็ยังอ่อนแอมากอยู่ดี จึงถูกคนผู้นั้นพลิกกายกลับมาด้านนอกอีกครั้ง ในลำคอมีของบางอย่างไหลเข้ามา นางอ้าปากด้วยสัญชาตญาณแล้วดื่มน้ำเข้าไปอีกสองสามคำ
หลังจากนั้นก็ล้มตัวกลับไปบนเตียงอีกครั้ง ครานี้ก็ไม่มีใครมารบกวนนางอีก
โม่เสวี่ยถงหลับยาวไปจนถึงยามดวงตะวันพ้นสามลำไผ่ จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนล้า
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเ้าคะ คุณหนูตื่นแล้วจริงๆ ด้วย!” น้ำเสียงดีใจเป็ที่สุดดังมาจากข้างกาย แค่ได้ยินก็รู้ได้ว่าเป็โม่อวี้
โม่เสวี่ยถงค่อยๆ ดื่มน้ำที่โม่อวี้ส่งมาให้คำหนึ่ง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เวลาไหนแล้ว”
“ผ่านไปแล้วหนึ่งคืน ตอนนี้เป็เวลาเที่ยงวัน เมื่อเช้าบ่าวไปสวดมนต์ให้ฮูหยินแทนแล้วเ้าค่ะ เดี๋ยวพอถึงยามบ่าย บ่าวก็จะออกไปอีกครั้ง” น้ำเสียงปนสะอื้นของโม่หลันลอยมาจากอีกด้าน นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูยอมลงไปซ่อนตัวในถังน้ำเพื่อตนเอง โม่เยี่ยพาคนไปด้วยได้เพียงคนเดียว คุณหนูกลัวว่าาแของนางจะเปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้ายจึงยอมลงน้ำเสียเอง
“โม่หลัน... อย่าร้องไห้ ไป... ส่งข่าวกลับไปที่จวน... บอกว่าข้าป่วยจนลุกจากเตียงไม่ขึ้น แม้แต่สวดภาวนาให้ท่านแม่ก็ไม่ไหวแล้ว...” โม่เสวี่ยถงปิดเปลือกตาลง พักสายตาทำสมาธิ แล้วเข้าไปใกล้โม่เยี่ยที่ประคองนางอยู่ แล้วกระซิบแ่เบา
“คุณหนู?”
“ไป” โม่เสวี่ยถงมิได้ลืมตา ขนตายาวเป็แพเรียงเส้นระอยู่บนใบหน้าขาวซีดไร้สีเื ดูคล้ายกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่บอบบางราวกับจะแตกสลายได้โดยง่าย ทว่าน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนล้ากลับแจ่มชัดทรงพลัง ทำให้คนไม่อาจขัดขืนได้
“เ้าค่ะ บ่าวจะให้ซวงเยี่ยไปส่งข่าวเดี๋ยวนี้” โม่อวี้ขยับเท้า หมุนตัวเดินออกไปด้านนอก
“กลับมา!” โม่เสวี่ยถงลืมตาขึ้นโดยพลัน ดวงตาคู่งามดั่งมีอำนาจบังคับ ดูไม่คล้ายคนป่วยที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาโดยสิ้นเชิง
โม่อวี้ที่เพิ่งจะยื่นเท้าออกไปหน้าประตู หันกลับมามองโม่เสวี่ยถงอย่างงุนงง
“ให้ชิวหลิงไป ซวงเยี่ยให้รั้งอยู่ที่นี่” ริมฝีปากแห้งแตกของโม่เสวี่ยถงเผยรอยยิ้มบางออกมาวูบหนึ่ง หากซวงเยี่ยไม่อยู่ ละครฉากต่อไปก็เล่นไม่ได้แล้ว
เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงที่แม้จะร่างกายอ่อนแอ แต่จิตใจกลับแข็งแกร่งยิ่ง โม่หลันก็รู้ว่าคุณหนูของตนมีแผนการในใจแล้ว ก็รีบส่งสัญญาณบอกใบ้ให้โม่อวี้เชื่อฟังแล้วไปถ่ายทอดคำสั่ง
...
จวนโม่
โม่เสวี่ยิ่คัดลอกบัญญัติคำเตือนสตรีอย่างรวดเร็ว จนถึงเช้าวันนี้ก็สามารถคัดลอกทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย เพื่อแสดงให้เห็นว่านางไม่ได้นอนทั้งคืน ทันทีที่คัดลอกเสร็จก็มาหาโม่ฮว่าเหวินที่ห้องหนังสือเป็การเฉพาะ
โม่ฮว่าเหวินกำลังสะสางงานราชการอยู่ที่ห้องหนังสือ แม้ว่าลำดับชั้นในตำแหน่งของเขาจะไม่สูงนัก แต่กลับได้รับใช้ใกล้ชิดโอรส์ จักรพรรดิจงเหวินตี้เรียกใช้งานเขาั้แ่ยังทรงเป็รัชทายาท ดังนั้นจึงเป็ที่ไว้วางพระราชหฤทัยเป็อย่างมาก เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีพระประสงค์เลื่อนตำแหน่งเขาให้สูงขึ้น ขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งขั้นสองจำนวนไม่น้อยล้วนต้องเกรงใจเขา
งานที่มอบหมายให้เขาจัดการล้วนแล้วแต่เป็งานที่มีคุณประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง ไม่ใช่งานจิปาถะที่มอบส่งๆ ให้พวกลูกหลานผู้สูงศักดิ์ที่ไม่มีอำนาจเ่าั้
“ท่านพ่อ” ในระหว่างที่กำลังหัวหมุนกับเอกสารราชการ ก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลที่แฝงไปด้วยความละอายดังขึ้นที่ประตู “ลูกเข้าไปได้ไหมเ้าคะ”
เมื่อเงยศีรษะขึ้น เห็นโม่เสวี่ยิ่ปรากฏตัวที่ประตู นี่คือบุตรสาวที่เขาภาคภูมิใจที่สุดเสมอมา แต่่นี้นางกลับทำเื่โง่ๆ บางอย่าง เขาได้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าประตูเมืองมาในภายหลัง ยังไม่ทันถามให้ชัดแจ้งว่าเื่เป็มาอย่างไร ก็เกิดเื่พาซือหม่าหลิงอวิ๋นเข้ามาในเรือนชั้นในของน้องสาวตนเองอีก
ทั้งหมดนี้ทำไปโดยไม่มีเจตนาจริงๆ หรือ ตำราพิณเล่มนั้นของถงเอ๋อร์เป็ของที่ลั่วเสียทิ้งไว้ให้ ผู้ที่รู้เื่เื่นี้นอกจากฟางอี๋เหนียงแล้ว จะมีใครปล่อยข่าวออกไปได้อีก และซือหม่าหลิงอวิ๋นจะรู้เื่นี้ได้อย่างไร
เห็นโม่ฮว่าเหวินสีหน้าครุ่นคิดไม่พูดจา โม่เสวี่ยิ่ก็แสดงสีหน้าละอายใจ คุกเข่าคารวะที่หน้าประตู เท้าไม่ย่างเข้ามาในห้องหนังสือแม้แต่ครึ่งก้าว ทั้งยังเอ่ยวาจาที่เปี่ยมไปด้วยความเศร้าสลด “ท่านพ่อ เื่นี้เป็ความผิดของิ่เอ๋อร์เอง ตอนนั้นไม่ควรพลั้งปากเล่าเื่ตำราพิณให้น้องสี่ฟังเลย ไม่รู้ว่าน้องสี่เอาไปเล่าให้ซื่อจื่อฟังั้แ่เมื่อไร แม้แต่น้องสามก็พลอยลำบากเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย ิ่เอ๋อร์ทำเกินไปจริงๆ เ้าค่ะ”
“เ้าพูดให้ฉงเอ๋อร์ฟังหรือ” โม่ฮว่าเหวินถามเสียงเข้ม
“หากท่านพ่อไม่เชื่อก็ไปถามน้องสี่ได้เ้าค่ะ สาวใช้ของน้องสี่กับสาวใช้ของข้าล้วนอยู่ด้วย สองคนยามว่างก็คุยเล่นกันไป แต่ก็แค่พูดคุยกันเท่านั้น ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดเื่ร้ายเช่นนี้ขึ้น ท่านพ่อ ิ่เอ๋อร์ผิดเอง ท่านพ่อตำหนิโทษก็ถูกต้องแล้วเ้าค่ะ” กล่าวจบก็นำบัญญัติเตือนสตรีที่คัดลอกเสร็จเรียบร้อยยกทูนขึ้นเหนือศีรษะ
คำพูดของนางฟังดูสัตย์ซื่อ สีหน้าก็ยังละอายใจถึงเพียงนี้ เส้นโลหิตแดงพาดผ่านอยู่ในดวงตาทั้งสองข้าง คัดลอกหนังสือออกมาได้เร็วขนาดนี้ ก็รู้ได้ว่านางต้องตรากตรำมาทั้งคืน เมื่อคิดถึงว่าแต่ไหนแต่ไรมานางก็เป็คนฉลาดเฉลียวรู้จักกาลเทศะ อุปนิสัยใจกว้างอ่อนโยน บ่าวไพร่ในเรือนต่างชื่นชมนางเสมอมา ไม่น่าจะทำเื่ที่เป็การใส่ร้ายน้องสาวที่เป็บุตรภรรยาเอกได้
“เข้ามาเถิด” สีหน้าของโม่ฮว่าเหวินเริ่มอ่อนลงแล้วผงกศีรษะ
“เ้าค่ะท่านพ่อ” โม่เสวี่ยิ่เกาะแขนโม่จิ่นประคองตนลุกขึ้นมา ขณะที่กำลังยืนขึ้น ร่างกายพลันเซถลาไปเล็กน้อยจนเกือบยืนไม่อยู่
“เป็อะไรไป” โม่ฮว่าเหวินเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรเ้าค่ะท่านพ่อ อาจเป็เพราะรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย” โม่เสวี่ยิ่กล่าวด้วยสีหน้าขาวซีด เดินเข้ามาในห้องหนังสือด้วยการประคองของโม่จิ่น แล้วคารวะโม่ฮว่าเหวินซ้ำอีกครั้ง
โม่ฮว่าเหวินเห็นบุตรสาวคนโตรักษามารยาทเคร่งครัดเช่นนี้ ความคลางแคลงใจก็ค่อยๆ ลดลงไปมาก เขาวางเอกสารในมือลงแล้วเอ่ยถาม “ิ่เอ๋อร์มาที่นี่มีธุระอะไรหรือ”
“หนึ่งมาเพื่อให้ท่านพ่อตรวจสอบบัญญัติข้อห้ามสตรีที่ลูกคัดลอกเสร็จแล้ว สองลูกไม่สบายใจเื่น้องสามที่ไปสวดขอพรให้ท่านแม่แทนข้า กลัวว่าน้องสามเพิ่งมาครั้งแรกจะไม่รู้เื่ต่างๆ จึงอยากขออนุญาตท่านพ่อให้ข้าไปรับน้องสามกลับมาเ้าค่ะ หากมีเื่อะไรจะได้ช่วยจัดการได้” ใบหน้าของโม่เสวี่ยิ่เผยรอยยิ้มอ่อนโยน แววตาที่มองโม่ฮว่าเหวินเปี่ยมไปด้วยน้ำใสใจจริง
ภาพลักษณ์พี่สาวแสนดีที่ห่วงใยว่าน้องสาวจะไม่รู้เื่ ทำให้ความเคลือบแคลงที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยภายในใจของโม่ฮว่าเหวินกลายเป็หมอกควันบางๆ ที่จางหายไป
“เ้าไม่ต้องเป็ห่วง แม้ว่าถงเอ๋อร์ยังเด็กแต่ก็รู้ประสีประสา ไม่มีเื่อันใดหรอก” โม่ฮว่าเหวินกล่าวปลอบโยนเสียงละมุน
“ไม่ใช่อย่างนั้นเ้าค่ะ ลูกอยากไปเพราะจะได้ถือโอกาสไหว้พระขอพรให้ท่านแม่ เื่การสวดภาวนาเป็สิ่งที่ิ่เอ๋อร์ได้กล่าวขอต่อหน้าพระพุทธรูป หากไม่ไปก็ถือว่าไม่เคารพต่อพระพุทธองค์ ตอนนี้น้องสามก็อยู่ด้วย ลูกกับน้องสามจุดธูปต่อหน้าท่านแม่ร่วมกัน ท่านแม่จะต้องพอใจแน่นอนเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยิ่กล่าวด้วยความมุ่งมั่น
เมื่อเห็นบุตรสาวคนโตรู้เื่มีเหตุผลเช่นนี้ ก็นึกถึงลั่วเสียภรรยาผู้จากไป ภายในใจของโม่ฮว่าเหวินก็รู้สึกหดหู่อย่างประหลาด
“นายท่าน แย่แล้วขอรับ คุณหนูสามล้มป่วยอยู่ที่วัดเป้าเอิน ให้คนส่งข่าวมาว่าวันนี้กลับจวนไม่ได้แล้วขอรับ” บ่าวชายวิ่งเข้ามารายงานจากด้านนอก
ถงเอ๋อร์ป่วย? โม่ฮว่าเหวินลุกขึ้นยืนทันที เขาย่อมรู้ว่าสุขภาพของโม่เสวี่ยถงไม่ดีมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่าขึ้นเขาไปได้เพียงสองวันก็ล้มป่วยเสียแล้ว
“ท่านพ่อ ิ่เอ๋อร์จะไปเดี๋ยวนี้เลยเ้าค่ะ น้องสามอยู่คนเดียวบนูเาล้มป่วยก็ไม่มีใครดูแล ิ่เอ๋อร์จะไปดูช่วยแลนางดีหรือไม่” ภายใต้ก้นบึ้งดวงตาของโม่เสวี่ยิ่เผยความรู้สึกกระหยิ่มใจออกมาวูบหนึ่ง ดูจากสถานการณ์แล้ว่เวลานี้โม่เสวี่ยถงคงได้พบกับซือหม่าหลิงอวิ๋นแล้ว ยามค่ำคืนถูกคนพบว่านางนัดพบกับเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อ ต่อให้โม่เสวี่ยถงมีร้อยปากก็ไม่อาจแก้ตัวได้
เวลานี้จะต้องอยู่บนเขาคิดหาทางรับมืออยู่ นางต้องรีบไปก่อนที่โม่เสวี่ยถงจะคิดหาวิธีได้ ถึงเวลานั้นเื่ของโม่เสวี่ยถงกับซือหม่าหลิงอวิ๋นแม้คิดจะปิดบังอย่างไรก็ปิดไม่อยู่อีก นี่ถึงจะเป็เป้าหมายที่นางขึ้นเขาในครานี้
“ได้!” ครานี้โม่ฮว่าเหวินรับปากอย่างสบายใจ สิ่งนี้ยิ่งทำให้ความเกลียดชังภายใต้ก้นบึ้งดวงตาของโม่เสวี่ยิ่พอกพูนขึ้นอีกชั้นหนึ่ง
รถม้าเตรียมเสร็จเรียบร้อยรออยู่ที่ประตู รอเพียงโม่ฮว่าเหวินออกปากตกลงก็เดินทางได้เลย
“คุณหนูเ้าคะ สาวใช้ผู้นั้นยังต้องพาไปด้วยหรือไม่” สาวใช้โม่จิ่นที่ประคองโม่เสวี่ยิ่ขึ้นรถม้า กระซิบถามโม่เสวี่ยิ่พลางชี้ไปที่สาวใช้อีกคนซึ่งยืนก้มหน้าอยู่ข้างประตู
“สาวใช้ที่มาส่งจดหมายน่ะหรือ”
“เ้าค่ะ นางบอกว่าเมื่อคืนคุณหนูสามกลับมาดึกมาก หลังจากนั้นภายในเรือนหลักก็ดูเหมือนจะเกิดเื่ใหญ่ มีเสียงคนร้องไห้ อีกทั้งยังวุ่นวายกันยกใหญ่ นางกับสาวใช้ที่อี๋เหนียงส่งไปอีกคนหนึ่งถูกกันให้รอแต่ในเรือนข้าง แม้แต่ประตูก็ยังถูกลั่นกุญแจไว้ จึงไม่รู้รายละเอียดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ตะเกียงห้องคุณหนูสามสว่างไสวตลอดคืน จนกระทั่งเช้าวันนี้สาวใช้ข้างกายของคุณหนูสามมาบอกนางว่าคุณหนูสามไม่สบาย ให้นางกลับจวนมาแจ้งข่าวเ้าค่ะ” โม่จิ่นรู้นานแล้วว่าโม่เสวี่ยิ่จะต้องถามถึงเื่นี้ จึงได้ถามเอาความเป็การส่วนตัวจนรู้แจ้งไว้แล้ว
“พวกสวะไร้ประโยชน์ เื่แค่นี้ยังถามให้รู้ความชัดเจนไม่ได้ ให้นางอยู่รอที่นี่แหละดีแล้ว” โม่เสวี่ยิ่โบกมืออย่างหงุดหงิด ความเบื่อหน่ายไม่ได้ดั่งใจฉายวูบออกมาจากก้นบึ้งของดวงตา
รถม้าควบตะบึงออกไป ทิ้งฝุ่นคลุ้งอยู่ในอากาศ ทิ้งสาวใช้ที่ชื่อชิวหลิงยืนใจลอยอยู่ที่เดิม
โม่เสวี่ยิ่ใช้เวลาสองชั่วยามมาถึงวัดเป้าเอินที่อยู่นอกเมือง นางรีบลงจากรถม้าและวิ่งเข้าไปข้างในอย่างเร่งร้อน ระหว่างทางก็ชนถูกบุรุษผู้หนึ่ง โชคดีที่โม่จิ่นไหวตัวทัน เข้ามาป้องกันไว้ นางจึงไม่ล้มลงกับพื้น บุรุษผู้นั้นกล่าวแต่คำขอโทษไม่หยุด ยามนี้ใจของโม่เสวี่ยิ่ไปอยู่ที่โม่เสวี่ยถงหมดแล้ว ไหนเลยจะมีใจมาเอาความกับคนผู้หนึ่ง นางไม่ชายตาแลคนผู้นั้นด้วยซ้ำ ให้โม่จิ่นประคองลุกขึ้นแล้วเดินไปยังเรือนรับรองแขกภายในวัดทันที
“เป็อย่างไรบ้าง เรียบร้อยไหม” เมื่อโม่เสวี่ยิ่เดินไปไกลแล้ว ก็มีชายหนุ่มท่าทางหยิบหย่งผู้หนึ่งเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ข้างทาง
“ระดับนี้แล้วจะพลาดได้อย่างไร” ชายอัปลักษณ์ที่เดินชนโม่เสวี่ยิ่เมื่อครู่ ชูถุงหอมขึ้นมา แล้วโยนเล่นในมือสองสามครั้ง กล่าวอย่างลำพองใจ
“ดี เอามาเร็วๆ” ชายหนุ่มที่ดูไม่เป็โล้เป็พายผู้นั้นยื่นมือมา หมายจะคว้าเอาไป
ถุงหอมถูกดึงกลับเข้ามาในมือของชายอัปลักษณ์อีกครั้ง “ตกลงกันไว้ เงินมาของไป ยี่สิบตำลึงเงิน แม้แต่อีแปะเดียวก็ห้ามขาด”
“วางใจน่า ใครจะกล้าทำแบบนั้น เอ้านี่ ยี่สิบตำลึงครบถ้วน รีบเอาของมาให้ข้า” ชายหนุ่มหยิบเงินออกจากแขนเสื้อแล้วส่งให้อย่างรำคาญ หลังจากนั้นก็ยื่นมือไปคว้าถุงหอมกลับมา
ชายอัปลักษณ์พอรับเงินแล้วก็ยิ้มแป้นจนตาหยี ก้มศีรษะค้อมกายลงทันที “ขอบพระคุณนายท่าน วันหลังหากนายท่าน้าบริการแบบนี้อีกก็เรียกใช้ข้าน้อยได้เลย”
“ไสหัวไป”
“ขอรับ ข้าน้อยจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้ คราวหน้าถ้านายท่านถูกใจคุณหนูบ้านไหน เรียกใช้ข้าน้อยได้ทุกเมื่อเลยขอรับ” ชายอัปลักษณ์ยิ้มหน้าบาน หมุนตัวออกไปจากกำแพงวัดอย่างรวดเร็ว หันไปมองอีกทีก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว
ชายหนุ่มท่าทางเหลาะแหละผู้นั้นเก็บถุงหอมไว้ในอกเสื้อ แล้วหันกลับไปตามทางที่โม่เสวี่ยิ่เดินเข้ามาในวัดเมื่อครู่