เหยียนอู๋อวี้เห็นสายตาผิดหวังในดวงตาเขาชัดเจน นางก้าวไปข้างหน้าพลางกล่าวอธิบาย “ข้าหลงทางมา”
นี่เป็เหตุผลที่ใช้ได้ดีสำหรับนางสนมที่เพิ่งเลื่อนตำแหน่ง แม้จวินอู๋เสียจะนึกสงสัย ทว่าหากไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เขาจึงกล่าวตอบเสียงราบเรียบ “ที่นี่เป็เรือนร้าง ได้ยินมาว่ามีิญญาเร่ร่อนล่องลอยอยู่ ท่านรีบกลับไปเถิด”
เหยียนอู๋อวี้ไม่ขยับกาย นางยืนนิ่งอยู่จุดนั้นพลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อพบองค์ชายแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะกล่าวขอบคุณองค์ชายได้พอดี”
จวินอู๋เสียสีหน้าเรียบเฉย เขาเอ่ยถามเสียงราบเรียบว่า “ขอบคุณเื่ใดหรือ?”
เหยียนอู๋อวี้มิได้หลบเลี่ยง นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อวานที่เรือนเตี๋ยฟาง หากองค์ชายไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย เกรงว่าวันนี้ข้าคงกลายเป็ิญญาไปแล้วกระมัง”
แววตานางมองเขา ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความซาบซึ้ง จวินอู๋เสียจิตใจสั่นไหว เขาหลบเลี่ยงโดยไม่รู้ตัว วันนี้คล้ายถูกภูตผีสิงเข้าให้แล้วจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะคิดถึงนาง ในเมื่อนางแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว เขาก็จะไม่ปิดบังอีกต่อไปเช่นกัน เขาจึงถามกลับไป “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
“วิชาตัวเบาขององค์ชายน่าทึ่ง หากเดาไม่ผิด คงจะเป็ศิษย์ของฉวี่ซิงเต้าเหริน”
ปีนั้นฉวี่ซิงเต้าเหรินเป็หัวขโมยที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพ ไม่รู้เหตุใดจึงดึงดูดความสนใจจากวังหลวง คืนนั้นนางบังเอิญไปหาศิษย์น้องพอดี เขาจึงถูกนางพบเข้าและนางก็จับตัวเขาได้พอดี
วิชาตัวเบาของฉวี่ซิงเต้าเหรินเป็ที่หนึ่งในใต้หล้า ทว่าฝีไม้ลายมือไม่ดีนัก เขาเพียงแค่อาศัยวิชาตัวเบาในการเอาชีวิตรอด
วันนั้นนางรู้สึกว่าทักษะแขนงนี้สุดยอดยิ่งนัก นางบังคับให้เขาสอนวิชาตัวเบาชุดนี้แก่จวินอู๋เสียโดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะไม่ถูกเปิดโปงและจับกุม นางเพียงแค่อยากจะให้จวินอู๋เสียมีวิชาเพื่อใช้หลบหนี
ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนมีเหตุและผล การกระทำโดยไม่ตั้งใจในวันนั้นกลายเป็ที่พึ่งสุดท้ายของเมื่อวาน ซึ่งเป็เื่ที่แปลกประหลาดเช่นกัน
จวินอู๋เสียถูกนางมองออกทะลุปรุโปร่ง ภายในดวงตายิ่งเต็มไปด้วยความสงสัย
เื่ที่เขามีวิชาตัวเบา นอกจากอาจารย์ผู้สอนทักษะให้เขาแล้วก็มีเพียงผู้เดียวที่รู้แน่ชัด ทว่าเหยียนอู๋อวี้เป็เพียงบุตรสาวเ้าเมือง นางมองที่มาของวิชาตัวเบาออกทะลุปรุโปร่งเพียงแค่คราเดียวได้อย่างไร?
ถึงอย่างไรนางก็เดาถูกจริงๆ
ั้แ่แยกกับเหยียนอู๋อวี้ เขามักสงสัยในใจว่าคืนก่อนที่ตัดสินใจไปค้นหาคำตอบที่ตำหนักเฟิ่งชัย ไม่คาดคิดเลยว่าทันทีที่เข้าไปจะเห็นเงาดำสองกลุ่มหลบๆ ซ่อนๆ ผ่านบนกำแพงของตำหนักเฟิ่งชัย ในใจเขาเกิดความสงสัยจึงวางเื่ทางนี้ลงชั่วคราวแล้วสะกดรอยตามไปตรวจสอบดู
เงาดำสองกลุ่มนั้นออกมาจากตำหนักเฟิ่งชัยและตรงไปยังตำหนักของฮวารั่วซี
เนื่องจากองครักษ์ลาดตระเวนผ่านมา เขาจึงไม่มีโอกาสตามเข้าไป ทำได้เพียงรออยู่ด้านนอก จนกระทั่งยามที่เขาคิดว่าพวกเขาจะไม่ออกมาอีกแล้ว เงาคนพลันปรากฏขึ้นอีกครั้งและยังคงปีนขึ้นไปบนกำแพง ก่อนจะหยุดอยู่ที่เรือนองค์หญิงใหญ่ เขาเห็นกับตาว่าคนชุดดำวางสร้อยไข่มุกเส้นหนึ่งไว้ใต้หมอนของทูตซวี่หรงแล้วจากไป ในใจเขาเข้าใจสถานการณ์เกินกว่าครึ่ง
แม้เขาจะสงสัยเหยียนอู๋อวี้อยู่บ้าง ทว่ากลับไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อฮวารั่วซีสักกระผีก นอกจากนี้นางยังเป็ศัตรูของอวิ๋นอู๋เหยียน เขาจึงไม่คิดที่จะให้นางทำสำเร็จ
การวางสิ่งของส่วนตัวของผินเฟยนางหนึ่งไว้ใต้หมอนผู้อื่นมีความหมายอย่างเดียว ไม่ต้องคิดให้มากความก็ชัดเจนแจ่มแจ้ง
เขาคิดว่าตนเองไม่มีอันใดให้ทำพอดีจึงอยากมอบบทลงโทษเป็การตักเตือนให้แก่ฮวารั่วซี ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแอบเข้าไปในตำหนักของนางสนมคนอื่นและหยิบของบางอย่างไปวางในที่พักของซวี่หรง
ฟ้าสางในวันรุ่งขึ้นจึงได้เห็นการแสดงที่ดีดังคาด
ขณะที่เหยียนอู๋อวี้พูดเื่อาจารย์ของเขาออกมาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด จวินอู๋เสียก็ระแวงขึ้นมาทันที เขาออกแรงมือเงียบๆ หากจำเป็ เขาจะหักคอบางๆ ของนางโดยไม่สนอันใดทั้งสิ้น
ทว่าภายนอกนางกลับไม่มีความผิดปกติใด เขาจึงเอ่ยปากถาม “เื่นี้รู้ได้อย่างไร?”
เหยียนอู๋อวี้ครุ่นคิดรอบหนึ่งจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลายปีก่อนสหายเก่าท่านหนึ่งบอกข้าว่านางจับนักพรตเต๋าตัวเหม็นไปสอนวรยุทธ์ให้เด็กคนหนึ่ง ข้ายังเดิมพันกับเขาด้วยว่าเด็กคนนั้นอาจจะเรียนไม่สำเร็จก็ได้”
“จริงหรือ?” จวินอู๋เสียมองนางด้วยแววตาสงสัย
สหายเก่าผู้นั้นที่นางพูดถึงคืออวิ๋นอู๋เหยียนหรือ? ใช่แล้ว เหยียนอู๋อวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “บุญคุณช่วยชีวิต ข้าต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”
สีหน้าสงสัยถูกกลบด้วยเจตนาสังหารทันที “ท่านรู้ความลับข้า ไม่กลัวข้าจะสังหารท่านหรือ?”
เหยียนอู๋อวี้ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด นางกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ฆ่าข้าเสียแล้ว ท่านก็ไร้พันธมิตร”
“ข้าเป็เพียงตัวประกันที่ราชวงศ์ใต้ลืมเลือนไปแล้ว ผลประโยชน์ในวังหลวง เป็การต่อสู้ในแคว้นเซวียนไม่เกี่ยวอันใดกับข้า” จวินอู๋เสียย่างเท้าเข้าไปใกล้นางพลางกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ส่วนความลับที่ท่านรู้นั้น เป็ความลับของข้า”
เหยียนอู๋อวี้ยกยิ้มและถามเขาว่า “ยามนี้ประมุขแคว้นของราชวงศ์ใต้เจ็บป่วยเกินเยียวยา องค์ชายไม่อยากกลับไปดูสักหน่อยหรือ?”
“ราชวงศ์ใต้อาจไม่มีที่ให้ข้าพึ่งพา” จวินอู๋เสียไม่ได้เปลี่ยนใจเพราะคำพูดนาง เห็นได้ชัดว่าเขารู้เื่นี้นานแล้ว
สำหรับจวินอู๋เสีย หลายปีก่อนนางไม่รู้นิสัยของเขาแน่ชัด หลายปีต่อมานางยิ่งไม่เข้าใจ ทว่าเื่ในศาลาเมื่อวานกลับทำให้นางเข้าใจเื่หนึ่ง เหยียนอู๋อวี้มองเขาพลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “สหายเก่าผู้นั้นบอกว่านางจะช่วยท่านออกไป ยามนี้ได้มอบหมายให้ข้ามาช่วยท่าน”
ในที่สุดเจตนาสังหารบนใบหน้าจวินอู๋เสียพลันหายสิ้น เขาเอ่ยถามโดยไม่รู้ตัว “นางยังมีชีวิตอยู่หรือ?”
แววตาเหยียนอู๋อวี้ลึกล้ำ น้ำเสียงไม่เปลี่ยนแปลง “ตายแล้ว”
“ข้าจะเชื่อใจท่านได้อย่างไร?” จวินอู๋เสียเก็บเจตนาสังหาร เปลี่ยนเป็ท่าทีสบายๆ และสุภาพอ่อนโยนดุจหยกล้ำค่า
“เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้วว่าข้าจะเป็พันธมิตรของท่าน” เหยียนอู๋อวี้กล่าวตอบ “ข้ามีเื่จะขอเช่นกัน มีเพียงท่านที่ช่วยข้าได้”
เจตนาสังหารที่จวินอู๋เสียมีต่อนางหายไป ทำให้นางโล่งใจ แม้ตอนนี้นางไม่รู้ว่าวรยุทธ์ของจวินอู๋เสียรุดหน้าไปขั้นใดแล้ว ทว่านางมั่นใจว่าหากเขาลงมือจริงๆ นางไม่มีโอกาสชนะได้เลย
ร่างกายภายนอกในปัจจุบันมิได้ใช้ง่ายเหมือนเมื่อก่อน ทำร้ายศัตรูหนึ่งพัน ทำลายตนเองแปดร้อย ได้ไม่คุ้มเสีย
ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่คิดจะเป็ศัตรูกับจวินอู๋เสีย
“แม้ตระกูลร้อยปีจะสูญสลาย ทว่าก็เป็แมลงร้อยขา ตายแต่ไม่แข็ง[1] ไม่กี่ปีสั้นๆ อำนาจซ่อนเร้นที่กระจายอยู่ภายนอกอาจไม่ได้ถูกขุดรากถอนโคนจนสิ้นซาก ตระกูลฉียิ่งมีคนไม่ถูกกับตระกูลอวิ๋น ท่านมาขอร้องข้า มิสู้ใช้ของที่สหายเก่าผู้นั้นทิ้งไว้ให้ท่าน คิดดูแล้วคงง่ายกว่า”
จวินอู๋เสียคอยระแวดระวังอยู่เสมอ ในคำพูดไม่เผยพิรุธใดแม้แต่น้อย
“องค์ชายยังไม่เชื่อข้าก็ไม่เป็ไร วันหนึ่งท่านจะเข้าใจน้ำใจของข้าเอง” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม การแสวงหาพันธมิตรเป็เพียงแผนชั่วคราวของนาง เดิมทีนางเพียงอยากรู้ข้อมูลจากปากเขาเล็กน้อย ทว่าในเมื่อเขาไม่เต็มใจจะพูด เช่นนั้นนางก็จะไม่ดึงดัน ยังมีโอกาสได้รู้จากที่อื่นอีก เพียงแค่ต้องใช้เวลาบ้างก็เท่านั้นเอง
นางเอ่ยจบเตรียมขอตัวลา ทว่านางกลับไม่คิดว่าเขาจะเปิดปากพูด “คนที่ใส่ร้ายท่านคือซูเฟย”
“ข้ารู้” นางอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ลวดลายถักบนสร้อยข้อมือเป็ฝีมือนาง ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าท่านรู้ได้อย่างไร” จวินอู๋เสียสบตานาง ในใจบีบรัดโดยไม่มีสาเหตุ เขาถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นให้นางฟัง
เหยียนอู๋อวี้ฟังจบก็เผยสีหน้างุนงง “ในเมื่อเห็น เหตุใดท่านไม่เอาสร้อยข้อมือไปด้วย หากเอาหลักฐานมาไม่ได้ก็ไม่มีเื่ต่อจากนั้นแล้ว!”
“ไม่มีเื่ต่อ จะมีความหมายอันใดอีก?” จวินอู๋เสียกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “วังต้องห้ามแห่งนี้ไม่เกิดเื่สักนิด ไหนเลยจะมีช่องโหว่? ดูจากตอนนี้ ซ่งอี้เฉินหาพบแล้วมิใช่หรือ?”
เชิงอรรถ
[1] แมลงร้อยขา ตายแต่ไม่แข็ง เป็สุภาษิตจีน เปรียบเปรยถึงอำนาจชั่วร้ายที่กำจัดได้ยาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้